ด้านหนิงซือซือนั้น นางถูกโจวเซิงปลุกขึ้นมาทำงานตั้งแต่เช้ามืด เขาใช้นางให้ไปหาบน้ำ หนิงซือซืองัวเงียเดินโซเซมาพร้อมกับถังใส่น้ำที่นางแบกเอาไว้บนบ่า เมื่อคืนนางได้กินเพียงหมั่นโถวสองลูก แล้วยังต้องตื่นแต่เช้ามาถูกทารุณเช่นนี้ ช่างบัดซบยิ่งนัก!!!
ยิ่งคิดถึงใบหน้าที่สวมหน้ากากปิดบังเอาไว้ อีกทั้งแววตาที่เกลียดชังนางอย่างไม่ปิดบัง ในใจของนางก็ยิ่งโมโหโทโส
หึ!!! สู่รู้ว่าคุณหนูรองอย่างข้าอ่อนแอเสียด้วย หึ!!! คงจะเตรียมการมาอย่างดีสิท่า!!!
หนิงซือซือแบกน้ำมาใส่ถังใบใหญ่จนเต็ม นางเดินวนไปกลับร่วมหลายรอบจนแทบจะเป็นลมล้มพับ นี่โชคยังดีที่ยามอยู่ในจวนนางซุกซนชอบช่วยบ่าวไพร่ทำงานนั่นนี่จนถูกท่านย่าดุ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาสเช่นนี้
"โอ๊ย!!! ไหล่ข้าจะหลุดแล้ว!!!"
"นี่ ตัวประกันหนิงเซียน เจ้ายังต้องซักผ้าต่ออีกกองหนึ่ง"
"ฮะ!!! ซักผ้าอีก นี่ท่าน ชื่ออันใดนะ? ข้าจำไม่ได้"
"โจวเซิงคนหล่อ"
หนิงซือซือลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะหันมาเอ่ยกับโจวเซิง
"ท่านโจวเซิง ข้าเหนื่อยแล้ว ขอพักกินข้าวก่อนจะได้หรือไม่ อิ่มแล้วข้าจะได้มีแรงไปซักต่อ"
"ไม่ได้ ลูกพี่บอกว่า หากตัวประกันหนิงเซียนทำงานไม่เรียบร้อย ไม่ต้องกินข้าว"
หนิงซือซือรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก พลางมองดูกองเสื้อผ้าขนาดเท่าภูเขาทับตัวคนได้ แล้วอยากจะกรีดร้อง
นี่สงสัยจะขนกันมาทั้งรังโจรเพื่อให้นางซักโดยเฉพาะเลยสิท่า!!!
ท้ายที่สุดหนิงซือซือก็ต้องซักผ้ากองนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางใช้ไม้ทุบผ้าไปปากก็บ่นไป
"ชีวิตข้านี่บัดซบจริง ๆ ต้องมาเจอเรื่องแย่ ๆ เช่นนี้ ข้าวก็ได้กินไม่อิ่ม โจรก็ชั่ว เจ้าโจรหน้ากากเหล็กใจชั่ว!!!"
"เจ้าแอบด่าข้าว่าชั่วหรือ?"
หนิงซือซือที่ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดชะงักไปทันที นางรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง ก่อนจะมองผ่านแม่น้ำที่ใสสะอาดก็พบเงาสะท้อนของมู่หรงเจวี๋ยที่ยามนี้สวมชุดสีดำ บนใบหน้ามีหน้ากากเหล็กปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง กำลังจ้องมองมาที่นาง
เป็นผีหรือไรกันโผล่มาไวจริงเชียว!!!
อดทนไว้หนิงซือซือ!!! หากอยากรอดเจ้าจะต้องอดทนไว้ก่อน!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หนิงซือซือจึงหันไปมองมู่หรงเจวี๋ยทันที
"ข้าไม่ได้ด่าท่านเสียหน่อย ข้าก็แค่บ่นไปเรื่อย"
"เช่นนั้นหรือ?"
มู่หรงเจวี๋ยเอ่ยพลางปรายตามองมือขาวนวลเนียนของนางที่ยามนี้บวมแดงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
หนิงซือซือเองก็รู้สึกเจ็บมือไม่น้อย อีกทั้งยังคันมากอีกด้วย เดิมทีนางก็แพ้ฝักจ้าวเจี่ยวที่คนนิยมนำมาใช้ซักผ้าเพราะมีกลิ่นหอม ผู้อื่นอาจจะชอบใช้มัน แต่กับนางมันคือของต้องห้าม เพราะนางแพ้มันจนคันไปทั้งมือ
จะไม่ให้นางเจ็บมือและคันมือได้เช่นไรกัน ใช้งานหนักถึงเพียงนี้
"มือเจ้าบวมแดงแล้ว อ้อ คงต้องซักเพิ่มจึงจะคุ้นชิน"
"นี่ท่าน!!! ข้าไม่ใช่ทาสของท่านนะ จะมารังแกกันเช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ!!!"
เส้นความอดทนของหนิงซือซือขาดผึงแล้ว ไม่สงสารนางยังไม่พอ ยังจะให้นางซักผ้าเพิ่มอีก ใช้งานเพิ่มอีก จิตใจของเขานี่มันทำด้วยอะไรกัน!!!
มู่หรงเจวี๋ยก้าวเดินเข้ามาใกล้หนิงซือซือ ก่อนจะโน้มกายลงมาหานาง พร้อมกับยื่นมือหนาใหญ่ มาบีบปลายคางของนางไว้อีกครั้ง หนิงซือซือพยายามขยับหนี แต่คนโรคจิตตรงหน้ากลับออกแรงบีบปลายคางของนางแรงขึ้นกว่าเดิม
"เจ้าคือทาสอารมณ์ของข้าหนิงเซียน"
"สารเลว!!!"
"ด่าอีกสิ ด่าอีก ข้ารับรองว่าเจ้าได้ลงไปนอนเล่นในแม่น้ำเป็นแน่ หากเจ้ากล้าด่าข้าอีกครา"
"โรคจิต บัดซบ!!!"
"อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำนะหนิงเซียน!!!"
"ป่าเถื่อน!!! จิตใจไม่ปกติ!!!"
"หนิงเซียน!!! โอ๊ย!!! เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยข้านะ!!!"
หนิงซือซืออาศัยช่วงที่เขาไม่ทันระวังตัว อ้าปากกัดเข้าไปที่มือของเขาอย่างเต็มแรง จนมู่หรงเจวี๋ยแหกปากร้องไม่เป็นภาษา เขาพยายามดึงมือของตนออกจากปากของนาง หนิงซือซืออยากจะกัดให้โจรเฮงซวยนี่นิ้วขาดไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด มู่หรงเจวี๋ยพยายามดึงมือออกมาจากปากนางได้สำเร็จ แต่ทว่าเพราะหนิงซือซือไม่ทันระวังตัวจึงทำให้นางหงายหลังตกแม่น้ำไปในทันที โชคดีตรงบริเวณที่นางตกลงไปนั้น น้ำไม่ลึกมากเท่าใดนัก นางจึงรีบว่ายน้ำตะเกียกตะกายขึ้นมาบนฝั่งทันที
ชีวิต!!! บัดซบกว่านี้มีอีกไหม
ในขณะที่หนิงซือซือกำลังจะสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น นางก็หันไปพบกับมู่หรงเจวี๋ยที่มองนางด้วยแววตาที่แปลกประหลาด คล้ายทั้งตกใจและทั้งรังเกียจในคราวเดียวกัน หนิงซือซือที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรู้สึกเย็นวาบที่หน้าอก นางจึงก้มลงมอง แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ชุดที่นางสวมใส่มันทั้งบางและไม่แน่นหนา ยามนี้เสื้อตัวนอกของนางขาดหลุดลุ่ย ส่วนเสื้อตัวในก็หลุดลงไปอยู่ที่เอว เผยให้เห็นหน้าอกขาวผ่องขนาดพอดีมือ นางรีบดึงเสื้อผ้าขึ้นมาปิดหน้าอกของตนพลางตะโกนด่าทอมู่หรงเจวี๋ยด้วยความอับอาย
"ว้ายยยย!!! โจรชั่ว โจรสารเลว!!! ฮือออ ไม่บอกข้าเล่า!!!"
"อัปมงคลต่อสายตาของข้ายิ่งนัก!!!"
นางเชื่อแล้วว่าชีวิตนางเกิดมาเพื่อพบเจอกับความบัดซบจริง ๆ!!!
เสียงบรรเลงดนตรีดังอึกทึกครึกโครม ผู้คนต่างมองดูเต็มสองข้างทาง เกี้ยวสีแดงสดกำลังเคลื่อนออกจากวังหลวงอย่างช้า ๆ โดยมีแม่ทัพใหญ่มู่หรงที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงนั่งอยู่บนหลังม้า นำขบวนเจ้าสาวด้วยท่าทีที่สง่างาม ฮ่องเต้หยางเฉวียนและหยางเซียวหลิ่นมองดูเกี้ยวของหยางซือหยวนจากไปจนลับสายตา ก่อนที่หยางเซียวหลิ่นจะหันมาเอ่ยกับผู้เป็นพระบิดา "เสด็จพ่อ น้องหญิงอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ ย่อมเข้าวังมาเยี่ยมเยียนเสด็จพ่อได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ""อืม เซียวหลิ่น เจ้าสั่งการลงไป ส่งหมอหลวงติดตามซือเอ๋อร์ไปให้มากหน่อย ได้ยินว่าหมอหลวงที่ชื่อจินเย่ว์นั่น สนิทสนมกับนาง ก็ให้ตามไปด้วยไม่ต้องเข้ามารับใช้ในวังหลวงแล้ว""พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อไม่ต้องทรงกังวล ทั้งหมอฝีมือดี และพ่อครัวที่ทำอาหารเลิศรส ล้วนติดตามน้องหญิงออกจากวังไปรับใช้หมดแล้ว""ดี ดี"หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็เป็นพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท และคุณหนูตระกูลมู่หรงขบวนสินเดิมยาวนับพันลี้ ผู้คนต่างแซ่ซ้องสรรเสริญไม่จบไม่สิ้น หลายเดือนต่อมา"โอ๊ย ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว มู่หรงเจวี๋ย!!!""ซือเอ๋อร์เจ้าอดทนเถิด หายใจลึก ๆ""ข้าทำแล้ว แต่มัน โอ๊ย มู่หรงเจวี๋ยเป็นเพร
วังหลวงคล้ายจะมีงานมงคลถึงสองงาน งานแรกคืองานแต่งงานของหยางเซียวหลิ่นและมู่หรงหลิน ส่วนอีกงานหนึ่งก็คืองานแต่งของมู่หรงเจวี๋ยและหยางซือหยวน หยางซือหยวนคิดถึงวันนั้นก่อนที่หนิงอวี้หรงจะจากไป เขามาร่ำลานาง ใบหน้ามีแต่ความยินดี เขาบอกกับนางว่า ในที่สุดก็จะได้ทำสิ่งใดตามใจตนเองเสียทีแล้ว หยางซือหยวนยิ้มส่งเขาทั้งน้ำตา พี่ชายที่แสนดีของนาง นางจะรอวันที่เขาได้กลับมาที่ไท่เหลียงอีกคราก่อนจะมีการประหารเพียงหนึ่งวัน หยางซือหยวนให้มู่หรงเจวี๋ยพานางมาที่คุกหลวง เดิมทีแรกเริ่มเสด็จพ่อไม่เห็นด้วย แต่ทนนางทัดทานไม่ไหวจึงสั่งให้มู่หรงเจวี๋ยมาเป็นเพื่อนนาง ภายในคุกหลวงค่อนข้างมืดทึบและอับชื้น เหล่าผู้คุมต่างรีบจุดไฟเมื่อเห็นว่าองค์หญิงเสด็จมา เมื่อเข้ามาด้านใน นางก็จ้องมองไปที่คุกหลวง ในห้องขังหนึ่ง หนิงเซียนถูกขังเอาไว้กับมารดาของนาง ยามนี้สภาพของนางไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งเฉกเช่นแต่ก่อนอีก เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา หนิงเซียนจึงหันมาสบตากับหยางซือหยวน เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็ดวงตาลุกวาว ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธแค้น "นังน้องชั่ว เหตุใดเจ้าจึงได้ดีกว่าข้า ไม่จริง ข้าต่างหากที่เป็นองค์หญิง ข้าคือจวิ
มู่หรงเจวี๋ยใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบร่วมสามเดือน จึงเดินทางกลับเมืองหลวงแคว้นไท่เหลียง ผู้คนต่างรอต้อนรับเขาเต็มสองข้างทาง แม่ทัพใหญ่มู่หรงผู้นำความสงบสุขมาแก่ราษฎร ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบว่าสงครามคราก่อนนั้น เป็นมู่หรงเจวี๋ยอีกเช่นกันที่ทำให้ทัพศัตรูแตกพ่ายไม่เป็นท่า จึงตกรางวัลให้มากมายราวกับสายน้ำ ยามนี้ตระกูลมู่หรงกลับมาคึกคักเช่นแต่ก่อนแล้ว เขาได้พาท่านพ่อท่านแม่กลับจวนอย่างสมเกียรติแล้วข่าวที่น่ายินดีมากกว่านั้นก็คือ มู่หรงหลินได้รับราชโองการให้เข้าวังหลวง และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคู่หมั้นของหยางเซียวหลิ่นองค์รัชทายาทอีกครา ตำแหน่งว่าที่ไท่จื่อเฟยท้ายที่สุดก็ตกเป็นของนางอย่างชอบธรรม "ท่านพี่ ท่านดูสิ ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวข้าเสร็จแล้ว ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าน่ะฝีมือหยาบกร้านไม่อาจปักเองได้อย่างงดงามเท่านางกำนัลฝีมือดีในวังหลวงเลย"มู่หรงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า มู่หรงเจวี๋ยมองดูน้องสาวของตนด้วยความรักใคร่ ก่อนจะหวนนึกถึงหยางซือหยวนที่ยามนี้อยู่ในวังหลวงขึ้นมาได้ยินมาว่าท้องของนางเริ่มใหญ่โตแล้ว จึงเดินเหินมิค่อยสะดวกนัก เห็นทีเขาคงต้องเข้าวังไปพบฝ่
ระยะนี้มู่หรงเจวี๋ยมักจะใช้ชีวิตอยู่ที่ค่ายทหารเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากฝึกฝนทหารแล้ว เขาก็จะแอบไปมองดูหนิงซือซือที่อุทยานหลวง พบว่านางมีชีวิตที่ดีไม่น้อย ใบหน้าดูดีขึ้นมากทีเดียว รวมถึงเหล่านางกำนัลก็ปรนนิบัติดูแลนางเป็นอย่างดี ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงรักพระธิดาองค์นี้เป็นอย่างมาก ทุกอย่างในแผ่นดินสิ่งใดที่นางอยากได้ ขอเพียงนางเอ่ยปาก ผู้เป็นพระบิดาก็หามาให้นางได้ทั้งหมด เพื่อชดใช้สิ่งที่นางขาดไปตั้งแต่วัยเยาว์ วันนี้ก็เช่นกัน เขามองดูนางกำลังนั่งดื่มชาชมสวนอยู่ที่อุทยานหลวง ยามนี้บุปผานานาพรรณเริ่มผลิดอก วังหลวงจึงดูงดงามราวกับแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน เขายิ้มให้นางคราหนึ่ง นางยังคงมีนิสัยที่เหมือนเดิม รักสหาย ดีต่อทุกคน จินเย่ว์และโจวเซิงมีชีวิตที่ดีในวังหลวง เด็ก ๆ ในรังโจรได้เรียนหนังสือมีความรู้เพราะนางจัดการให้ ผู้คนที่นั่นก็สามารถเข้าเมืองหลวงมาทำการค้าหาเลี้ยงชีพได้ เขาได้ยินว่านางทูลต่อฝ่าบาทว่าจะขอสร้างสำนักศึกษาสำหรับเด็ก ๆ ที่ยากไร้และกำพร้าบิดามารดา อีกทั้งยังจะสร้างสถานสงเคราะห์ให้แก่เด็ก ๆ ที่ไร้ที่พึ่งพิงอีกด้วย ซึ่งฮ่องเต้หยางเฉวียนก็ไม่ได้คัดค้านนางแต่อย่างใด กลับเห็นด้วยเป็นอ
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดหนิงซือซือก็สามารถมองเห็นได้แล้ว ยามนี้ร่างกายของนางดีขึ้นมาก เพราะได้ยาชั้นดีจากหมอหลวงทำให้ร่างกายของนางฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว "องค์หญิงเพคะ ทรงเสวยโอสถก่อนเถิดเพคะ""อืม"นางกำนัลนามว่าอิงเถา เป็นนางกำนัลที่เสด็จพ่อส่งมาคอยรับใช้นาง อิงเถาเป็นสาวใช้ที่มีอายุไม่น้อยแล้ว นางรู้งานเป็นอย่างดี อีกทั้งยังแนะนำสอนสั่งเรื่องกฎระเบียบในวังหลวงให้แก่นางอย่างตั้งใจอีกด้วย ไม่กี่วันต่อมานางก็ได้พบกับหนิงอวี้หรง เมื่อได้เห็นว่าพี่ชายสบายดี นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าหนิงอวี้หรงจะต้องถูกเนรเทศไปแดนไกล นางก็ทุกข์ใจไม่น้อย หนิงอวี้หรงบอกกับนางว่าไม่ต้องกังวล เขาจะต้องกลับมาพบกับนางอีกอย่างแน่นอนหนิงซือซือยกถ้วยยาขึ้นดื่ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับอิงเถา "ข้าอยากจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสียหน่อย ยามนี้คงประชุมยามเช้าเสร็จแล้วกระมัง""เพคะ ยามนี้ฝ่าบาท กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องทรงอักษร""เช่นนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปทีเถิด""เพคะองค์หญิง"หนิงซือซือถูกอิงเถาประคองนางเดินลงมาอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินออกมานอกตำหนัก นางก็มองดูไปโดยรอบ ยามนี้อากาศไม่หนาวมากแล้ว อีกทั้งต้นไม้ก็กำลังผ
หนิงซือซือลืมตาตื่นขึ้นมาอีกคราในวันที่สาม นางสลบไม่ได้สติไปถึงสามวันเต็ม ๆ เมื่อได้สติฟื้นคืนขึ้นมาจึงรู้สึกว่าดวงตาพร่าเลือน หัวสมองมึนงง อีกทั้งยังอ่อนเพลียมากอีกด้วย "อุแหวะ""องค์หญิง เร็วเข้า องค์หญิงทรงฟื้นแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า"หนิงซือซือลุกขึ้นมานั่งก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมดท้อง เมื่อนางค่อย ๆ มองไปโดยรอบ ก็เห็นเป็นเพียงภาพพร่าเลือน ใจของนางพลันเต้นตึก ๆ อย่างหวาดหวั่น มิใช่ว่านางตาบอดหรอกนะ แล้วที่นี่คือที่ใดกันนางพยายามจะขยับกายลุก แต่ทว่าราวกับโลกหมุนเคว้งคว้างจนทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ต้องล้มกายลงนอนไปบนเตียงที่นุ่มนิ่มอีกครา พลันได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้น "องค์หญิง อย่าทรงขยับพระวรกายอีกเลยเพคะ ยามนี้ร่างกายพระองค์อ่อนแอนัก"องค์หญิง?หนิงซือซือแค่นเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง นี่นางตายแล้วเลอะเลือนหรือไร จึงได้ยินวาจาแปลกประหลาดเช่นนี้"ที่นี่ที่ใด พวกท่านเป็นใครหรือ?"หนิงซือซือเอ่ยถามในขณะที่หลับตานอน นางกำนัลผู้นั้นยิ้มพลางมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นางอย่างใส่ใจ"ที่นี่คือวังหลวงเพคะ หม่อมฉันเป็นนางกำนัลขององค์หญิง หากมีสิ่งใดที่ทรงต้องการเรียกใ