บทที่ ๖
จะทนเห็นนางเจ็บปวดได้อย่างไร
วันต่อมายามซื่อ
ก๊อก! ก๊อก!
“เข้ามา”
ร่างสมส่วนวัยกลางคนของพ่อบ้านใหญ่จวนเสนาบดีกรมพิธีการก้าวเข้าไปด้านในห้องหนังสืออย่างรีบร้อน
“นายท่านขอรับ นายท่านสามมาถึงแล้วขอรับ”
ไช่ซิ๋งซ่านแปลกใจเล็กน้อยที่บุตรชายคนเล็กถึงเร็วกว่าทุกครั้ง กระนั้นก็ยังให้พ่อบ้านรีบเชิญเขาเข้ามา
ไม่นานร่างสูงใหญ่ของไช่เฟิงหยูก็เดินเข้ามาในครรลองสายตา ไม่ได้พบบุตรชายสามเดือน แต่เขาสัมผัสได้เลยว่าบรรยากาศรอบตัวไช่เฟิงหยูเปลี่ยนไป
“คารวะท่านพ่อขอรับ”
ไช่เฟิงหยูคำนับบิดาอย่างนอบน้อม ไช่ซิ่๋งช่านผายมือไปทางโต๊ะหนังสือเพื่อจะถามสารทุกข์สุกดิบ
“พ่อสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเจ้าดูเปลี่ยนไป ระดับพลังเพิ่มขึ้นหรือ”
“เมื่อไม่กี่วันมานี่เองขอรับ”
ไช่เฟิงหยูตอบด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปากเล็กน้อย ยามเวลาที่สนทนากับคนในครอบครัวเขาจะอ่อนโยนเป็นพิเศษ คนเครื่องหน้าอบอุ่น เพียงยกมุมปากสูงขึ้นบรรยากาศรอบกายก็ดูน่าเข้าใกล้แล้ว
“อาจารย์ที่เจ้าเชิญมาสอนเซียงฮวามาถึงแล้วเมื่อวาน ตงเฟยเฟยก็ทาบทามอาจารย์มาสอนปิงฮวาเอง เห็นทีเสนาบดีเช่นข้าจะไม่มีความสามารถพอจะหาอาจารย์เก่ง ๆ ให้หลานสาวสักคน”
คำพูดตัดพ้อถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ คล้ายไม่ได้จริงจัง แต่ไช่เฟิงหยูสัมผัสอารมณ์น้อยใจได้
“เห็นทีท่านพ่อจะต้องตัดพ้อข้าอีกครั้ง อาจารย์ที่ข้าทาบทามให้มาสอนพลังธาตุสายฟ้าของฮั่วฮวากำลังเดินทางมาขอรับ”
“ลำบากเจ้าเป็นธุระให้แล้ว”
เสนาบดีเฒ่าตบไหล่บุตรชายเบา ๆ แล้วกล่าวอีกหนึ่งประโยค
“ดีที่พรรคหยิ๋นมี่เป็นพรรคธรรมะ มิเช่นนั้นพวกขุนนางเจ้าเล่ห์ทั้งหลายไม่ปล่อยตระกูลเราไว้แน่”
“ลำบากท่านพ่อรับมือแล้ว”
“ไม่ลำบาก นี่คือเส้นทางที่เราเลือกเอง อย่างไรก็ต้องอยู่ชดใช้กรรมกันไป”
ไช่เฟิงหยูหัวเราะในลำคอแล้วถามถึงคุณหนูทั้งสาม
“เด็ก ๆ กำลังเรียนศาสตร์ของสตรีอยู่หรือ”
“ใช่ พ่อเกรงว่าจะเสียมารยาทต่ออาจารย์เกินไป หากให้พวกนางมาต้อนรับเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา”
“ข้าไม่ถือสา”
ไช่ซิ๋งช่านเงียบไปครู่หนึ่ง ชั่งใจว่าจะพูดเรื่องนี้ดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูด
“เซียงฮวาแปดหนาวแล้ว โตพอจะทราบเรื่องราวของผู้ใหญ่ เจ้าตัดใจจะบอกนางเมื่อไร”
“ลูก…” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ไช่เฟิงหยูก็หดหู่จนต้องถอนหายใจ “ลูกคิดว่าจะปิดบังนางไปทั้งชีวิต”
ไช่ซิ๋งช่านได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าเป็นเชิงไม่เข้าใจ
“ด้วยเหตุใด”
“ลูกจะทนเห็นนางเจ็บปวดได้อย่างไร หากนางรู้ว่ามารดาไม่อยู่แล้ว”
หนึ่งเค่อต่อมา…
ไช่เฟิงหยูเดินทางมาที่จวนอย่างเร่งรีบเพราะอยากเจอไช่เซียงฮวาเร็วขึ้น หลังจากที่ออกมาจากห้องหนังสือของไช่ซิ๋งช่าน สถานที่แรกที่เขามาก็คือสวนดอกไม้ใกล้เรือนส่วนตัวของไช่เซียงฮวา
ยิ่งเดินเข้าใกล้เรือนของนางมากเท่าไร ยิ่งได้กลิ่นหอมจรุงจมูกของบุปผาชัดขึ้นเท่านั้น
สวนดอกไม้ในภาพจำของคนทั่วไปคือดอกไม้ที่ถูกเหล่าภมรดูดกินน้ำหวาน
ทว่าสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าไม่ใช่!
ยามนี้เด็กสาวตัวเล็กเป็นจุดสนใจของเหล่าผีเสื้อที่กำลังบินวนล้อมรอบ บางตัวอาจหาญ เกาะตามร่างกายของนางไม่เว้นแม้แต่ใบหน้า
เหมือนมารดาของเจ้าไม่มีผิด
“ทำไมผีเสื้อไม่ไปตรงที่ดอกไม้อยู่เล่าอาเมี่ยว องค์ประกอบไม่สมบูรณ์สุด ๆ”
ไช่เซียงฮวาที่กำลังวาดภาพดอกไม้อยู่กล่าวกับซูเมี่ยวที่กำลังกางร่มให้ด้วยน้ำเสียงเจือความหงุดหงิด
“นั่นสิเจ้าคะ”
ซูเมี่ยวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จังหวะนั้นเองที่ดวงตาสะดุดอยู่ที่ร่างสูงของไช่เฟิงหยู
นางกำลังจะส่งเสียงเรียกแล้ว หากไม่ได้รับสัญญาณจากไช่เฟิงหยูเสียก่อน
ร่างสูงลงน้ำหนักเท้าแผ่วเบาเดินมาทางด้านหลังไช่เซียงฮวา มือหนาถือร่มแทนซูเมี่ยวแล้วโบกมือให้นางถอยห่าง ซูเมี่ยวที่รู้สถานการณ์จึงถอยห่างจากบริเวณนี้ ให้อาหลานได้ใช้เวลาร่วมกัน
ส่วนไช่เซียงฮวาที่รู้สึกว่าบรรยากกาศรอบตัวดูแปลกไปจึงละสายตาจากภาพวาด เงยหน้ามองคนที่กางร่มให้ตน
ดวงตากระจ่างใสสบเข้ากับดวงตาคู่คมมีประกายความอ่อนโยนอยู่ในนั้น ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มค่อย ๆ ฉีกกว้างขึ้นตามสภาพอารมณ์
“ท่านอา~”
นางเรียกท่านอาเสียงใส ละทิ้งทุกอย่างที่ทำอยู่แล้วกระโดดกอดไช่เฟิงหยูที่ถึงกับหัวเราะในท่าทางร่าเริงเหมือนหมาเด็กของนาง
“เซียงฮวา ห้อยโหนเป็นลิงเป็นค่างไปได้”
เสียงทุ้มของเฟิงหยูหัวเราะออกมาเบา ๆ มือหนาข้างหนึ่งที่กำลังถือร่มอยู่ทิ้งลงที่พื้นทันทีที่เซียงฮวาน้อยกระโดดเกาะขาตน สองมือแกร่งแกะลิงน้อยออกมาจากขา แล้วอุ้มนางมาไว้ในอ้อมอกอ้อมแขนประหนึ่งแม้ให้นมลูก
ไช่เฟิงหยูกลั้วหัวเราะในลำคอ เขายอมทิ้งร่มเลือกประคองไช่เซียงฮวาที่กระโดดเกาะขา เพราะกลัวนางจะเผลอปล่อยมือจนได้รับอันตราย
“คิดถึงท่านอาที่สุด ไม่เจอกันสามเดือนเหมือนสามปี” เสียงใสฉอเลาะท่านอาไม่หยุด ใบหน้าน้อยถูไถไปมาบนร่างของไช่เฟิงหยู
คนถูกอ้อนมีหรือจะไม่ใจละลาย เปลี่ยนเป็นอุ้มนางแล้วพาเดินไปนั่งศาลาเพราะกลัวแสงแดดจะทำอันตรายผิวอ่อน
“ท่านอามาถึงนานแล้วหรือเจ้าคะ”
“คารวะท่านปู่เสร็จก็ตรงมาหาเจ้าทันที”
“ชื่นใจ”
ว่าแล้วนางก็ซบอกอุ่นต่อ แต่เมื่อคิดได้ว่ามีเรื่องต้องบอกท่านอาก็เงยหน้าสบตาเขา
“ลืมไปเลยเจ้าค่ะ เช้านี้ข้าต้องส่งภาพวาดพู่กันให้อาจารย์หลิว หลังจากรับมื้อเที่ยงแล้วท่านอาจารย์หวางจะมารับไปฝึกวิชาพลังธาตุ ไม่เกินยามโหย่วถึงจะมาส่งข้าที่จวนเจ้าค่ะ แพลนของท่านอาวันนี้คืออันใดบ้างเจ้าคะ”
เฟิงหยูที่ได้ยินคำว่า ‘แพลน’ ของเซียงฮวาบ่อยเสียจนบางทีหลงลืมแล้วนำไปใช้กับลูกน้องได้บอกแพลนของตัวเองให้นางฟัง
“เวลาของอาทั้งหมดเป็นของเจ้าผู้เดียว ดีหรือไม่”
ไช่เซียงฮวาดวงตาเบิกกว้าง ตกใจยิ่งกว่าตอนที่ได้เงินก้อนโต
“จะไม่ดีได้อย่างไรกันเจ้าคะ ค่าตัวท่านอาแพงถึงเพียงนี้ ดียิ่งเจ้าค่ะ” พยักหน้ารัว ๆ ตรงคำว่าดียิ่ง
“เจ้าลิงน้อย”
ไช่เฟิงหยูก้มลงมองไช่เซียงฮวาด้วยแววตาอ่อนโยน แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่ทั้งหมดในชีวิตของเขาคือการทุ่มเทฝึกยุทธ์และพลังธาตุ
แต่ถ้ามีเวลาเพียงนิด เขาจะไม่พลาดที่จะมาให้เห็นถึงช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของนาง
ตั้งแต่นางลืมตาดูโลก เริ่มคลาน ตั้งไข่ เดินไปไหนมาไหนได้ จวบจนตอนนี้ที่มานั่งต่อปากต่อคำกับเขาก็เป็นเวลาแปดปีแล้ว
แปดปีมาแล้วอีกเช่นกันที่นางจากข้าไป
“ท่านอาดูนิ้วของข้าสิเจ้าคะ วันก่อนเรียนดีดพิณกับท่านอาจารย์จนนิ้วแดงไปหมดเลยเจ้าค่ะ”
นิ้วไม่แดงแล้ว แต่คนอยากอ้อน อยากแดงก็ต้องแดง
ไช่เฟิงหยูเองก็รู้แกวแล้ว ยกมือเล็กขึ้นมาแล้วเป่า
“เพรี้ยง~หาย!” ตามที่นางเคยสอนไว้
เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากนางได้ทันที!
“หยกที่ฝากเฮยหลงมาให้เจ้าล่ะ”
ไช่เซียงฮวาตอบอ้อมแอ้มเมื่อนึกถึงหยกสีนิลอันนั้น
“เอ่อ ข้ากลัวทำหายจึงเก็บไว้ในเรือนนอนเจ้าค่ะ ขออภัยที่ไม่ได้พกติดตัวไว้”
“ไม่ต้องขอโทษ แต่ต่อไปนี้ห้ามห่างกายเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านอา”
ไช่เฟิงหยูพยักหน้าพอใจ นึกถึงหยกสีนิลอันนั้น ของวิเศษจากแดนสวรรค์ที่เขาเพิ่งได้มา สามารถปกปิดซ่อนพลังเร้นลับได้ แม้คนผู้นั้นจะมีพลังธาตุระดับสิบก็ตาม
คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาคู่คมก็หลุบมองข้อมือเล็ก ยามนี้ปานสีฟ้าชัดเจนยิ่งกว่าแปดปีที่แล้ว
ข้าเริ่มหวั่นใจแล้วสิ
เขามองเห็นปานบุปผาของไช่เซียงฮวา!