ตอนที่
[9] กลับมาแล้ว เยว่จินยืนหอบของพะรุงพะรังมากมายยืนอยู่ที่หน้าเรือนนา นางเห็นว่ามีแสงสว่างลอดออกมาจากด้านใน แต่ทว่าเคาะอย่างไรคนที่อยู่ในนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดประตูเสียที แม้ว่าของเหล่านี้จะเพิ่งเอาออกมาจากดินแดนอนันต์ตอนที่กำลังจะพ้นจากเขตชายป่า แต่ทว่าเมื่อหอบเอาไว้เยอะ ๆ มันก็หนักไม่น้อย ไหนจะพวกเครื่องนอนชิ้นใหญ่และหนานี่อีก คิดแล้วจึงได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปเคาะประตูไม้ไผ่อีกครั้ง ก๊อก ก๊อก ก๊อก “นี่ท่าน ได้ยินหรือไม่ เปิดประตูให้ข้าที ข้า…...” แอ๊ด ยังไม่ทันได้กล่าวจบเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น โดยที่มือของเยว่จินยังคงค้างไว้อยู่อย่างนั้น เมื่อเห็นดวงตาดุดันของคนด้านใน เยว่จินจึงยิ้มแหย ก่อนจะบอกให้เขาหลีกทาง “ท่านหลบไปก่อนได้หรือไม่ ข้าจะเอาของเข้าไป” แม้จะบอกไปเช่นนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาจะยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อย ๆ หลีกทาง เยี่ยนซีมองดูหญิงสาวนำของมากมายไปวางไว้มุมที่เป็นมุมที่นอนของนางด้วยความไม่เข้าใจ เหตุใดนางจึงกลับมา นางมีโอกาสได้ออกไปจากที่นี่ มีเงินที่น่าจะพอไปหาเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ไม่ยากแล้วทำไมถึงกลับมา “ท่าน กินอะไรแล้วหรือยังเจ้าคะ” เยว่จินถามพลางมองไปยังบนโต๊ะกินข้าวที่ยังมีลูกพลับที่อีกฝ่ายยังกินไม่หมดอยู่ “ท่านรอข้าสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปทำอาหารมาให้กิน” “ดะ…” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธ เยว่จินรีบหยิบเอาอุปกรณ์ที่ซื้อมาใหม่มา ก่อนจะออกไปนอกเรือนโดยเลือกทำที่ข้างเรือน ด้วยด้านในมีพื้นที่ไม่มากนักจึงทำให้หากจะทำอาหารนั้นอาจจะดูไม่สะดวกไปทำด้านนอกจึงน่าจะสะดวกกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นการดีที่นางจะได้หยิบเอาอุปกรณ์จุดไฟออกมาใช้ เพราะนางนั้นจุดไฟด้วยวิธีโบราณเป็นที่ใดกัน คิดแล้วก็เริ่มดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว วันนี้นางจะทำหมูผัดพริก และต้มจืดหมูสับซดร้อน ๆ อากาศเย็น ๆ แบบนี้น่าจะอร่อยไม่น้อย แค่คิดก็น้ำลายสอแล้ว ทว่าก่อนอื่นนางจะต้องหุงข้าวก่อน อืม หุงข้าวด้วยวิธีโบราณ นางเคยหุงตอนที่อยู่ต่างจังหวัด ดูเหมือนจะไม่ยากเท่ากับการจุดไฟ เยว่จินทำอาหารไปด้วยความเพลิดเพลิน พลางคิดว่าวันนี้จะได้กินข้าวขาวแสนอร่อยในใจก็รู้สึกเบิกบานเป็นอย่างมาก ด้านเยี่ยนซีนั้นมีคำถามมากมายที่อยากจะถามเยว่จิน แต่หญิงสาวไม่เปิดโอกาสให้เขาเลยแม้แต่น้อย เดิมทีเขาคิดจะเข้าห้องไปและไม่สนใจนาง แต่ด้วยท่าทางกระตือรือร้นที่บอกว่าจะทำอาหารมาให้เขากินจึงทำให้เขาไม่อยากทำเช่นนั้น แต่ทว่าร่างสูงก็ใช้ไม้ค้ำพยุงตนเองเข้าห้องไป เพื่อหยิบผ้าคลุมมาคลุมใบหน้าตนเองเอาไว้ เขาไม่อยากให้นางที่กลับมาเหนื่อย ๆ ต้องกินข้าวไม่ลงเพราะสภาพของเขา แม้ว่านางจะไม่เคยแสดงท่าทีเช่นนั้นก็ตาม ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามเยว่จินก็ทำอาหารเสร็จ จากนั้นจึงได้นำอาหารใส่ถาดและยกเข้าไปในเรือนนา แม้ว่าเยี่ยนซีจะพยายามบอกตนเองว่าอิ่มแล้ว และจะนั่งคุยกับนางเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่กลิ่นของอาหารที่นางทำมาก็ไม่อาจจะที่จะฝืนร่างกายต่อไปได้อีก โครกกกกกกก เสียงท้องร้องอันดังลั่นของเยี่ยนซีดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเชียบทำให้เยว่จินได้ยินอย่างชัดเจนก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้าง ด้านชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นแทบอยากจะเอาหน้ามุดพื้นดินลงไปแล้ว ช่างน่าขายหน้านัก ยิ่งเห็นว่าในถาดอาหารนั้นมีข้าวขาวหนึ่งในสาเหตุท้องร้องของเขาอยู่ด้วยก็ยิ่งกลืนน้ำลาย เขาไม่ได้กินข้าวมานานเท่าใดแล้วนะ “เรารีบกินข้าวกันเถิดเจ้าค่ะก่อนที่มันจะเย็น ข้าทำแค่สองอย่าง เพราะกลัวว่าหากทำมากกว่านี้จะใช้เวลานาน แต่ทั้งสองอย่างนี้ก็ทำมากเชียวละ ข้าวขาวก็หุงไว้มาก รับรองว่าอิ่มแน่นอน” เยว่จินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม มือบางจับตะเกียบเตรียมคีบอาหาร ทว่าเมื่อเห็นคนตรงหน้ายังคงนั่งนิ่งจึงได้วางตะเกียบของตนเองลง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบของเยี่ยนซีแล้วยัดใส่มือของเขา ไวเท่าความคิดเยี่ยนซีชักมือกลับอย่างรวดเร็ว เยว่จินจึงยิ้มแหย เข้าใจว่าเขาคงไม่ชอบให้นางไปแตะเนื้อตัวของเขา หารู้ไม่ที่เขาทำเช่นนั้น เพราะกลัวว่าตุ่มหนองที่อยู่บนผิวของตนจะทำให้นางเปรอะเปื้อนเสียมากกว่า “ขออภัย ข้าเพียงอยากให้ท่านกินข้าวด้วยกันก็เท่านั้น แล้วนี่มืดค่ำแล้ว เหตุใดต้องคลุมผ้าที่หน้าด้วยเล่าเจ้าคะ” “เจ้า….” ดวงตาใสเอียงคอรอคอยคำตอบที่คนตรงข้ามกำลังจะเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยความตั้งใจ กิริยาเช่นนั้นทำให้เยี่ยนซีรู้สึกว่าในใจตนเองเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง “เจ้ารีบกินข้าวเถอะ อย่าสนใจข้า” แต่ทว่ากลับตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งไม่น่าฟังสักนิด เยว่จินนั้นไม่ถือสา เพราะยามนี้นางหิวมากจริง ๆ คิดแล้วจึงได้ตักหมูสับที่ปั้นเป็นก้อนวางบนถ้วยข้าวของเยี่ยนซี ก่อนจะจ้วงข้าวขาวเข้าปากของตนก่อนเป็นอันดับถัดมา “อืม นุ่ม” จากนั้นจึงตักหมูผัดพริกมาวางบนข้าวและคีบเข้าปากไปพร้อมกัน ใบหน้างามหลับตาพริ้มเมื่อรับรู้ถึงความอร่อยที่แผ่ซ่านในปาก ก่อนจะใช้ช้อนที่ซื้อมาซดน้ำแกงเข้าปากอีกคำใหญ่ คล่องคอนัก เยี่ยนซีที่มองภาพตรงหน้าก็รู้สึกทำให้อดที่จะลงมือกินอาหารบ้างไม่ได้ จากที่จะชิมเพียงคำสองคำ ไป ๆ มาๆ อาหารที่นอกจากเยว่จินจะนำมาขึ้นโต๊ะในวันนี้แล้ว ที่มีอยู่ในหม้อ ทั้งสองก็ช่วยกันกวาดลงท้องจนหมดด้วยความหิวโหย ต้องใช้เวลานั่งย่อยกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เยี่ยนซีจะเป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยคำถามที่ตนสงสัยมาตลอดออกมา “เหตุใดเจ้าจึงกลับมาหรือ” ซึ่งนั่นกลับเรียกสายตาสงสัยจากเยว่จินได้เป็นอย่างดี ทว่าเยี่ยนซีกลับสนใจรอฟังในสิ่งที่ตนสงสัยเท่านั้น ว่าเหตุใดนางถึงกลับมา ดูจากของที่นางนำกลับมา และวัตถุดิบที่นางนำมาทำอาหารในวันนี้ นางคงทำเงินจากการค้าได้ไม่น้อย ไม่ยากหากจะจากไป “ก็ที่นี่คือบ้าน จะไม่กลับมาได้อย่างไรเจ้าคะ” ทว่าเขาไม่คาดคิดว่าคำตอบของอีกฝ่ายจะทำให้คาดไม่ถึงได้เช่นนี้ บ้านเช่นนั้นหรือ เยว่จินหลับตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าตนตอบอันใดผิดไปเขาจึงได้แน่นิ่งเช่นนั้น ก่อนจะนึกได้ว่า วันนี้ตนมีเรื่องจะพูดคุยกับเขาเช่นกัน “คือว่าที่จริงแล้วข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่านเช่นกันเจ้าค่ะ” เยี่ยนซีที่กำลังตกอยู่ในภวังค์รีบปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นเป็นปกติ เพื่อรอฟังสิ่งที่หญิงสาวจะกล่าว เยว่จินพยายามทำสีหน้าให้จริงจังที่สุด ทว่าภายในใจคือต้องแสดงให้แนบเนียนมากที่สุดเขาจะได้เชื่อนาง “ในตอนที่ข้าเดินทางไปขายลูกพลับที่ตำบลนั้น ได้เดินผ่านป่ามากมาย ทำให้ระหว่างนั้นความทรงจำบางส่วนของข้ากลับมา” “…..” ทันใดนั้นร่างกายของชายหนุ่มพลันแข็งทื่อ หากว่าความจำนางกลับมานางก็จะจากไปแล้วใช่หรือไม่ ทว่าในประโยคถัดมาก็ทำให้เขาพรูลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว “แต่ว่าจำได้ไม่หมดหรอกนะเจ้าคะ จำได้แค่บางส่วนเท่านั้น” “แล้ว…อย่างไร?” เยว่จินนำมือเข้ามาประสานกันแล้วยืดกายให้ตรงขึ้น “ในความทรงจำที่กลับมา มันนำพาความสามารถของข้ากลับมาด้วย” ว่าแล้วพลางจ้องไปในดวงตาของคนตรงข้าม “แท้จริงแล้ว ข้าเป็นหมอที่สามารถรักษาเกี่ยวกับโรคผิวหนัง และ…. กล้ามเนื้อรวมถึงกระดูกด้วยเจ้าค่ะ” ประโยคแรกคือความจริง ทว่าด้านกล้ามเนื้อและกระดูกอะไรนั่นไม่จริงสักนิด แต่เพราะว่าในดินแดนอนันต์มียาที่จะช่วยทำให้รักษาเขาได้ นางจึงต้องบอกไปเช่นนี้ หวังว่าเขาจะเชื่อและยินยอมให้นางรักษา “เจ้า เป็นหมอ??” เยี่ยนซีเอ่ยด้วยความคาดไม่ถึง ดูจากภาพลักษณ์ภายนอก เยว่จินไม่เหมือนกับหมอเลยสักนิด “แม้ว่าท่านจะไม่เชื่อ แต่ว่าข้าเป็นหมอจริง ๆ และที่ข้าคิดจะรักษาท่านนั้น ก็เพราะอยากให้ท่านหายดี เพื่อตอบแทนที่ท่านให้ข้าอยู่ที่นี่ นอกเหนือจากนั้นข้าไม่ได้หวังอะไรมากจริง ๆ” ถ้อยคำหนักแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจทำให้นัยน์ตาของชายหนุ่มสั่นไหว ทว่าคนที่อยู่ในดินแดนอนันต์ “นอกเหนือจากนั้นข้าไม่ได้หวังอะไรมากจริง ๆ” เสียงของผู้อาวุโสอี้ที่แฝงด้วยความล้อเลียนดังขึ้นในโสตประสาทของเยว่จินอย่างชัดเจน เยว่จินอยากจะเข้าไปต่อปากต่อคำกับเขานัก แต่ติดที่ต้องทำให้บุรุษตรงหน้าตกลงเสียก่อน “เจ้า รักษาได้จริงหรือ” เยี่ยนซีถามในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อาการเขามิใช่ธรรมดา นอกจากเสียว่านางจะเป็นหมอเทวดาที่ฝีมือไม่ธรรมดาจึงจะสามารถรักษาได้ เรื่องนี้นอกจากเขาไม่อยากจะให้ความหวังตนเองแล้ว เขายังไม่อยากให้นางต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เพื่ออยู่รักษาเขาอีกด้วย ดูแล้วเยว่จินมิใช่คนเลวร้าย ออกจะมีไหวพริบ หากนางไปมีชีวิตของตนเองน่าจะก้าวหน้าได้เร็ว “ข้ารักษาได้ และรับรองว่าท่านจะต้องหายแน่ เชื่อมือข้าเถิด” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นก่อนจะกำมือเพื่อเรียกความเชื่อมั่น “และท่านไม่ต้องคิดไล่ข้า หากท่านไม่หายดี ข้าก็ไม่คิดจะจากไปที่ใด” “อืม ข้าขอคิดดูก่อน” แม้ว่าจะกล่าวไปเช่นนั้นแต่ในใจของชายหนุ่มนั้นลิงโลดไม่น้อย เมื่อนางกล่าวว่าจะไม่จากไปที่ใดหากว่าเขายังไม่หายดี ด้านเยว่จินแม้จะรู้สึกผิดหวังที่เขาไม่ยอมรับข้อเสนอในทันที แต่เมื่อคิดว่ายังมีเวลาอีกมาก ไม่ต้องรีบร้อน ต้องแสดงความจริงใจให้เขาเห็นเขาจะได้ยอมรับนางเร็ว ๆ “ข้าไปนอนก่อน” บรรยากาศยามนี้ต่างคนต่างไม่พูดอันใด เยี่ยนซีจึงเป็นฝ่ายกล่าวขึ้น “เดี๋ยว ๆ ข้าขอเปลี่ยนที่นอนให้ท่านก่อนเจ้าค่ะ” “นั่น เดี๋ยว” ชายหนุ่มจะห้ามไว้ก็ไม่ทันแล้ว เมื่อเยว่จินรีบไปคว้าเครื่องนอนแล้วผลักเข้าไปในห้องของเขาทันที กึก! เอ๋ ใบหน้าของหญิงสาวฉายความแปลกใจ นางนึกว่าในห้องนี้จะมีอะไรเสียอีก ทว่านอกจากฟูกและผ้าห่มผืนเก่าเก็บหนึ่งผืนก็ไม่มีอะไรอีก เยี่ยนซีไม่รอช้ารีบใช้ไม้ค้ำพาตนเองตามหลังเยว่จินไปทันที “ห้องนี้มันอับมาก ขออภัย” สีหน้าของเขาย่ำแย่นัก หากแต่เยว่จินกลับยิ้มแย้ม “เดี๋ยวข้าเปลี่ยนที่นอนกับผ้าห่มให้ท่านสักครู่” ว่าแล้วนางก็รีบไปดึงของเดิมออก ก่อนจะนำของใหม่ทั้งหมดเข้าไปแทนที่ ของเหล่านี้เป็นของในดินแดนอนันต์ หาใช่ของที่ซื้อมาจากตลาดวันนี้ ที่ซื้อก็เพื่อเพิ่มความแนบเนียนหากมีการซักไซ้ถึงที่มาก็เท่านั้น เมื่อจัดการทุกอย่างจนเสร็จแล้ว เยว่จินก็ยืดตัวตรงบิดกายไปมาก่อนจะหันมายกยิ้มให้กับคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ท่านนอนอย่างสบายได้เลย” “อะ อืม ขอบใจนะ” เยี่ยนซีไม่รู้จะกล่าวอันใด ทั้ง ๆ ที่ก็มีหลายอย่างอยากจะพูดคุยกับนางอีก “อ้อ ยังมีอีกเจ้าค่ะ” เยว่จินเหมือนจะเพิ่งนึกถึงบางอย่างได้ นางรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากห้องอีกครั้ง ไม่นานก็มาพร้อมผ้าหลายพับในมือ “นี่คือชุดใหม่ รองเท้าใหม่ ที่ข้าซื้อมาให้ท่านเจ้าค่ะ เอาไว้ใส่สับเปลี่ยนกัน นอกจากนั้นยังมีแปรงสีฟัน ยาสีฟัน ไม่รู้ว่าท่านใช้เป็นหรือไม่” จากนั้นเยว่จินก็สอนอีกฝ่ายเลยทันที ระหว่างนั้นเยี่ยนซีไม่พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย จวบจนการสอนวิธีการแปรงฟันเสร็จสิ้นเขาจึงกล่าวขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว” “เก่งมากเจ้าค่ะ” “นอนหลับฝันดีนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าขอตัวไปจัดการพวกจานชามแล้วก็อาบน้ำก่อน “เดี๋ยวข้าช่วย” “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ท่านพักผ่อนเถิด เตรียมพร้อมร่างกายให้ดี หากท่านตกลงเราจะได้เริ่มรักษากัน” เผยรอยยิ้มงามอีกหนึ่งครั้งก่อนจะเตรียมออกจากห้องไป ทว่า “เยว่จิน ข้ามีนามว่าเยี่ยนซี” ชายหนุ่มแนะนำตนเองโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้จักชื่อเขาแล้วจากผู้อาวุโส “เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าพี่เยี่ยนซีได้หรือไม่เจ้าคะ” เยี่ยนซีไม่คาดคิดว่าการที่เขาจะเปิดเผยชื่อของตนเองจะนำมาสู่ผลลัพธ์เช่นนี้ “อะ อืม ตามใจเจ้า” “นอนหลับฝันดีเจ้าค่ะ พี่เยี่ยนซี” เยว่จินเผยรอยยิ้มสดใสอีกครั้งก่อนหมุนกายออกจากห้องไปพร้อมกับปิดประตูให้เขาเรียบร้อย ทว่าหญิงสาวคงไม่รู้ว่าหลังบานประตูนั้นกำลังมีคนผู้หนึ่งกำลังยืนเผยรอยยิ้มบางเบาออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ตอนพิเศษที่[3]ทำรากบัวเชื่อมกัน หลังจากที่แต่งงานกันมาหลายปีสามีก็เอ่ยว่า อยากจะพานางไปที่ที่หนึ่ง ซึ่งรับรองว่านางต้องชอบเป็นแน่ นางจึงตกลงไปด้วยความตื่นเต้น “เอ๋ สระบัวหรือเจ้าคะ” ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยดอกบัวที่งดงามมากมายมีส่วนที่เป็นสระน้ำและส่วนที่เต็มไปด้วยดอกบัวที่เกิดขึ้นกลางดินนางรู้สึกคุ้นเคยและแปลกใจก่อนจะหันไปมองหน้าเขา “ตอนที่อยู่ที่หมู่บ้านซินเฉียว พี่ไม่ค่อยได้ช่วยเจ้าทำรากบัวเลย มาวันนี้มีโอกาสและนึกขึ้นได้ว่าครอบครัวมีที่ดินที่มีสระบัวงดงามอยู่ผืนหนึ่ง จึงคิดอยากจะชวนเจ้ามาทำรากบัวเชื่อมกัน ให้เจ้าช่วยสอนพี่ทำแล้วจากนั้นค่อยเอาไปแจกจ่ายทุกคนดีหรือไม่” “ดีเจ้าค่ะ” นางก็ไม่ได้ทำรากบัวเชื่อมนานแล้ว ครั้งล่าสุดก็ตั้งแต่อยู่ที่ท้ายเรือนนา คิดแล้วก็อยากกินเหมือนกัน แต่ทำไมนางจึงรู้สึกว่าสายตาของสามีนั้นมีความวาววับบางอย่างนะ มันดูแปลก ๆ แค่ทำรากบัวเชื่อมเหตุใดต้องดูตื่นเต้นถึงเพียงนั้นแต่ดูเหมือนว่านางจะคิดไปเอง เพราะหลังจากที่ตกลงกัน นางและเขาก็ช่วยกันทำรากบัวกันอย่างจริงจัง เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือขุดรากบัว…รากบัวที่นี่มีขนาดหัวใหญ่มาก ใหญ่กว่าที่หมู่บ้านซินเฉียวเส
ตอนพิเศษที่[2]อวี๋ซิ่ง อวี๋หรูกับชีวิตที่ไม่คาดฝัน อวี๋ซิ่งและอวี๋หรูหรูนั้น พวกเขาคิดว่าชีวิตของพวกเขาคงจะอยู่ได้แค่ในหมู่บ้านซินเฉียวเท่านั้น ด้วยท่านย่าก็แก่ชราแล้วยากที่จะมีโอกาสได้ออกไปสัมผัสโลกภายนอก พวกเขาไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้เข้าไปในตลาดตำบลด้วยซ้ำ ชีวิตจึงวนอยู่กับการช่วยท่านย่าหารายได้และขึ้นไปหาของป่าเพื่อประทังชีวิตกัน แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อได้พบกับสตรีผู้งดงามและใจดีอย่างพี่เยว่จิน พี่สาวผู้นั้นเป็นราวกับเทพธิดาลงมาโปรด ทำให้พวกเขามีรายได้ด้วยตนเองเป็นครั้งแรก ได้กินของอร่อย ได้ไปเที่ยวตลาดในตำบลกับท่านย่า ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ ได้นั่งรถม้าคันใหญ่โต นอกจากนั้นยังได้ย้ายออกไปอยู่บ้านใหม่ที่หลังใหญ่โตมาก ทั้งชีวิตไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้อยู่ที่นี่แม้ว่าก่อนออกมาจะพบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักเพราะท่านย่านั้นต้องบาดเจ็บ แต่ก็เป็นพี่สาวผู้นั้นที่เป็นผู้รักษาให้พวกเขาจึงคิดเอาไว้ว่านางนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีพระคุณกับพวกเขา ในอนาคตพวกเขาสองพี่น้องจะต้องรักและตอบแทนนางให้จงได้ แม้ต้องตายแทนก็ยอม…ต่อมาพวกเขาก็ต้องพบเรื่องไม่คาดฝันอีกครั้งเพราะพี่
ตอนพิเศษที่[1]ความเจ้าคิดเจ้าแค้นของเซี่ยเยว่จิน เยว่จินไม่ใช่คนที่ปล่อยวางอะไรได้ง่ายถึงเพียงนั้น โดยเฉพาะเมื่อหากตอนที่โดนรังแกหรือเมื่อคนที่รักถูกรังแก ไม่ว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนางไม่เคยที่จะปล่อยมันไปโดยง่าย จะต้องหาทางระบายเพื่อให้ความคับข้องใจให้หายไปและในคืนนี้ก็เช่นกัน…. หลังจากที่ทุกคนได้แยกย้ายเข้าพักในห้องของตนในบ้านหลังใหม่หลังออกจากหมู่บ้านซินเฉียวแล้ว ในช่วงค่ำของคืนนั้นเยว่จินได้เตรียมอำพรางตัว ก่อนที่จะลอบเดินเท้าด้วยรองเท้าพิเศษกลับไปที่หมู่บ้านอีกครั้ง ในตอนที่ทุกคนหลับใหลและไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น หญิงสาวยกยิ้มขึ้นราวกับมีแผนการบางอย่าง… เยว่จินแอบหยดบางอย่างลงไปในน้ำของชาวบ้านที่มาหาเรื่องตนและท่านย่าในวันนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้นำหมู่บ้านที่ไร้จริยธรรมและบ้านหานที่ไร้น้ำใจ นอกจากนั้นนางยังเอาฉี่แมวที่ให้ผู้อาวุโสอี้ไปรวบรวมนำมันไปราดที่หน้าบ้านของแต่ละคน เจ้าแก้แค้นเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ผู้อาวุโสอี้ กลิ่นฉี่แมวนั่นกลิ่นแรงฉุนเตะจมูกนัก นางในโลกก่อนก็เคยเลี้ยง จึงได้คิดว่ากลุ่มคนที่มีจิตใจสกปรกเช่นพวกเขา ก็ต้องได้รับอะไรที่สาสมกันเช่นนี้ เมื่อทุก
ตอนที่[36]บทสรุปความสุขที่หอมหวาน (ตอบจบ)บุรุษที่อยู่เรือนนาผู้นั้น ที่แท้เป็นถึงซ่งกั๋วกงและที่เขาเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าถูกพิษ บัดนี้ชุนเยว่เกิดความละอายใจไม่น้อย กับความคิดของตนด้วยตนนั้นก็อัปลักษณ์แต่มีสิทธิ์อันใดไปตัดสินและรังเกียจผู้อื่นเช่นนั้น โดยที่ไม่รู้จักเขาดีเลยสักนิด“พี่เยี่ยนซีไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนั้นหรอกเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องคิดมาก แล้วท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ” ล่าสุดที่รู้คืออีกฝ่ายกระโดดน้ำตายไปแล้วยามนั้นชุนเยว่จึงได้นึกเรื่องราวในวันนั้นก่อนจะเล่าออกมา“วันนั้นข้าตั้งใจที่จะกระโดดน้ำให้ตายไป ด้วยเสียใจที่ถูกบังคับและเสียใจที่ท่านพ่อท่านแม่ทำราวกับข้ามิใช่ลูก เพราะว่าข้าเกิดมาเป็นคนอัปลักษณ์ แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าในขณะที่ร่างของข้าลอยออกไปและกำลังจะหมดลมหายใจ กลับมีคนผู้หนึ่งมาดึงข้าขึ้นจากน้ำ…”“คนผู้นั้นนอกจากจะไม่รังเกียจข้า ยังให้กำลังใจและยอมรับทุกอย่างที่ข้าเป็นอย่างไม่นึกรังเกียจ เขาพาข้าเดินทางมาเริ่มชีวิตใหม่ที่เมืองหลวง รู้ตัวอีกทีก็มีบุตรกับเขาสองคนเสียแล้ว” ชุนเยว่ลูบท้องของตนไปมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรักใคร่และความสุขยามพูดถึงสามีที่รออยู
ตอนที่[36]บทสรุปความสุขที่หอมหวาน (ตอบจบ)ปกติหญิงสาวมักจะไม่ปล่อยเรื่องราวพวกนี้ไปโดยง่าย แต่เหตุใดวันนี้จึงได้เอาแต่ยกยิ้มแปลก ๆ อยู่เช่นนั้น ทว่า“จัดการอยู่เบื้องหลังสนุกกว่าอยู่เบื้องหน้าอีกนะเจ้าคะท่านพี่” เมื่อได้ยินภรรยากล่าวเช่นนั้นเขาก็รู้แล้วว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างตาเห็น เมืองหนี่หรู่เป็นเมืองสุดท้ายที่พวกเขาจะบริจาคสิ่งของ แล้วจากนั้นก็จะได้เดินทางกลับเมืองหลวงเสียที ก่อนที่จะเดินทางกลับจึงเป็นเวลาที่พวกเขาจะได้ต่างแยกย้ายไปพักผ่อนกันก่อน แน่นอนว่าสองสามีภรรยาแห่งจวนตระกูลซ่งนั้นเลือกที่จะไปรำลึกความหลังกันที่บ้านเช่าหลังนั้น… พวกเขาได้ขอเช่าจากเจ้าของบ้านเป็นเวลาสามวันและให้บ่าวรับใช้ไปปัดกวาดเช็ดถูก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะเข้าไปอยู่ “ท่านพี่ อ๊ะตรงนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ” เสียงหวานเอ่ยทักท้วงก่อนที่จะน้ำเสียงจะแปรเปลี่ยนเป็นความเย้ายวนบางประการเมื่อสามีพยายามสัมผัสจุดอ่อนไหวของนาง ซ่งเยี่ยนซีเอาวนอยู่กับร่างกายหอมของภรรยาอย่างไม่รู้เบื่อพวกเขาใช้เวลาอยู่ที่บ้านเช่าหลังนั้นอย่างเต็มที่และคุ้มค่ามากที่สุด องค์รัชทายาทที่รู้ว่าสหายและภรรยานั้นหนีไปทำอันใดกันก็ได้แต่เขี่ย
ตอนที่[36]บทสรุปความสุขที่หอมหวาน (ตอบจบ) ด้านเถาเจียที่ได้ยินคนพูดถึงชื่อของสตรีผู้หนึ่งที่ตนไม่ได้ยินมานานและไม่ชอบหน้าจนกระทั่งกุข่าวลือที่ไม่ใช่เรื่องจริงเพื่อใส่ความอีกฝ่ายจนเกิดการแพร่กระจายออกไปช่วงหนึ่ง ก็ชะงักแข็งค้างไปครู่หนึ่ง เพราะความทรงจำครั้งล่าสุดจากสตรีผู้นี้ไม่ดีนัก ในค่ำคืนนั้นที่สตรีผู้นี้ย้อนกลับมาเล่นงานตน…‘ถ้าไม่อยากหน้าเน่าแล้วก็ปากเน่าก็อย่าเที่ยวเอาปากไปพูดจาสกปรกที่ใดอีก’ คำพูดนี้น่ากลัวนัก จากที่คิดว่าวันนี้จะได้ทำตัวโดดเด่นเพื่อไปเตะตาองค์รัชทายาทและซ่งกั๋วกงให้มากที่สุดก็เป็นอันต้องพับเก็บไป ได้แต่พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนมากที่สุด สตรีผู้นั้นจะได้ไม่เห็นนาง หากเป็นไปได้นางอยากจะกลับหมู่บ้านไปด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถกลับได้ เพราะต้องรอรับของบริจาคก่อน ทั้งไม่มียานพาหนะกลับไปอีก “สตรีไร้น้ำใจผู้นั้นเหตุใดจึงได้ไปนั่งในรถม้าของผู้สูงศักดิ์เช่นนั้น” ชาวบ้านหมู่บ้านซินเฉียวผู้หนึ่งยังไม่หายสงสัย ที่จู่ ๆ เห็นเยว่จินมากับผู้สูงศักดิ์จึงพากันเอ่ยความสงสัยของตนออกมา ทว่ามีหนึ่งในชาวบ้านหมู่บ้านที่ได้ยินพวกเขากล่าวไม่ค่อยดีเท่าไรนักจึงได้รีบเอ่ยขึ้น
ตอนที่[35]การจากลา“ข้าขอบคุณเจ้าอีกครั้งนะนังหนูที่ช่วยเหลือข้า แม้เจ้าจะขี้บ่นและดื้อไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามแต่โดยดี ไม่สิ ดีกว่าที่คาดไว้มาก ข้าต้องขอบคุณจริงๆ”“ก็ท่านชอบกวนอารมณ์ข้านี่เจ้าคะ แถมยังชอบให้ทำอะไรแปลก ๆ ด้วย” เยว่จินกล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าในใจรู้สึกวูบโหวงไม่น้อยที่คนตรงหน้ากำลังจะจากไป “เจ้าดูแลตัวเองด้วย เห็นหรือไม่ข้าบอกแล้วว่าเจ้าจะมีอนาคตที่ดี นี่ก็มีจริง ๆ ข้าไม่ได้ผิดคำพูดนะ” เขาเอ่ยเย้า“ไม่เปลี่ยนใจอยู่ต่อจริง ๆ หรือเจ้าคะ” ทว่าเซี่ยเยว่จินกลับกล่าวอีกเรื่อง“ไม่ได้แล้ว เบื้องบนเรียกตัวข้าแล้ว แต่หากมีโอกาสคงได้พบกันใหม่” “เช่นนั้นข้าขอให้ท่านพบแต่ความสงบสุขนะเจ้าคะ ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือข้ามาโดยตลอด” เซี่ยเยว่จินกล่าวด้วยใบหน้าจริงจังนัยน์ตากลมโตเริ่มแดงเรื่อขึ้น“พูดเช่นนี้ก็เป็นด้วย ข้าแทบน้ำตาไหลแน่ะ” ทว่ากลับถูกเย้าอีกเสียได้“ท่านนี่นะ” เซี่ยเยว่จินส่ายหัวด้วยความอ่อนใจ “เจ้าหนุ่มเยี่ยนซี ข้าเห็นเจ้ามาตั้งแต่เด็กและก็คิดว่าเจ้านั้นมีพรสวรรค์และเจ้าก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ด้วย ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยเหลือหลานชายข้ามาโดยตลอด” “เป็นหน้าที่ของกระหม่อมพ่ะย
ตอนที่[35]การจากลา อี้ห่าวเมื่อเห็นว่าคนที่เขารอคอยมาถึงเขาก็รีบหมุนตัวกลับไปก่อนที่จะเข้าไปสวมกอดคนทั้งสองทันที “พวกเจ้ามาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้างสบายดีหรือไม่”เมื่อได้ยินเสียงของผู้ที่จากไปนาน จิ้นกว่างฮ่องเต้ก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที “เสด็จพ่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง แล้วที่นี่คือที่ใด ท่านอยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือ…” “ข้าสบายดี และใช่ข้าอยู่ที่นี่มาตลอด ยังไม่ได้ไปเกิดที่ใดเลย” “เพราะเหตุใดกันเล่า ทุกปีกระหม่อมจะต้องทำพิธีรำลึกถึงพระองค์ ขอให้พระองค์มีความสุขบนสรวงสวรรค์และที่นี่ใช่สวรรค์หรือไม่” “ไม่ใช่ที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ ข้ามันเรียกว่าดินแดนอนันต์ซึ่งนี่เป็นของนังหนูเยว่จิน” จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ เล่าเรื่องทุกอย่างให้ทั้งสองฟังโดยละเอียด “ข้ารอวันที่เยว่จินมาถึง เพื่อต้องการให้นางได้ช่วยเหลือเยี่ยนซี จากนั้นเขาจึงจะได้ไปช่วยเหลือพวกเจ้าได้” “เหตุใดจึงต้องเป็นเยี่ยนซีหรือเสด็จปู่” องค์ชายสามเอ่ยถามเสด็จปู่ของตนด้วยความไม่เข้าใจ เข้าใจว่าซ่งเยี่ยนซีคือผู้ช่วยคนสำคัญของเขา แต่เขารู้สึกว่ามันมีนัยที่มากกว่านั้น“หากไม่มีเยี่ยนซีพวกเจ้าจะผ่านเรื่องราวพวกนี้ไปไม่ได้” “เสด็จพ่อกล่าวว่าห
ตอนที่[34]วันมงคลที่รอคอยราวดังฝัน….ไม่นานก็มาถึงวันมงคลของนางกับพี่เยี่ยนซีเสียแล้ว ในตอนที่เข้าหอใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราพร้อมทั้งมองนางด้วยแววตาฉ่ำเยิ้ม และหลังจากที่ดื่มสุรามงคลเขาก็เอาแต่พร่ำบอกรักนางซ้ำไปซ้ำมา“จินเออร์ พี่รักเจ้า รักเจ้ามากที่สุด รักแค่คนเดียวเท่านั้น เจ้าเป็นคนเดียวที่ไม่เคยรังเกียจพี่และดูแลพี่เป็นอย่างดีทั้งชีวิตนี้ คงหาสตรีเช่นเจ้าจากที่ใดไม่ได้อีก” นางถูกอ้อมกอดอันอบอุ่นจนถึงขั้นร้อนของเขาดึงเข้าไปสวมกอดเอาไว้แน่น เยว่จินในตอนแรกคิดว่าอยากจะช่วยเหลือเขาเพื่อให้ได้มีชีวิตดี ๆ ก็เท่านั้น แต่ต่อมาเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ ได้สัมผัส ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนางก็พบว่าตนเองใจเต้นแรงกับบุรุษผู้นี้นับครั้งไม่ถ้วน คิดอีกทีก็อยากอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปเช่นนี้เสียแล้ว “เช่นนั้นต่อไปก็ดูแลข้าให้ดี ๆ นะเจ้าคะ”“ด้วยชีวิตของพี่ พี่สัญญาว่าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด และจะมีเจ้าเพียงคนเดียวในชีวิตนี้” กล่าวจบไม่รอช้าชายหนุ่มก็โน้มใบหน้าลงประกบริมฝีปากของตนลงที่ริมฝีปากงามของเยว่จินด้วยความอ่อนโยน ค่อย ๆ ลิ้มรสความหอมหวานนั้นอย่างใจเย็น ก่อนที่ไม่นานจะแปรเปลี่ยนเป็นความดุดันด