“ปะป๊าหนู กะ กลัว”
เสียงสั่นเทาจากคนข้างกายเขา เธอสะกิดเขาไม่หยุดเพราะเจ้าหล่อนนั้นเกิดกลัวหนังที่ตัวเองเลือกมา เธอกลัวฉากที่หวาดเสียวแทงกันเลือดสาดนั่นจนมือสั่น รีบหันหน้าหนีไปยังฝั่งที่ปะป๊าสุดหล่อของเธอทันที อย่างคนหาที่พึ่ง
“แต่หนูเป็นคนเลือกเองนะ”
ส่วนเขาก็ยังคงเอ่ยเสียงเรียบ และมองดูหนังที่ฉายอยู่เบื้องหน้า ท่าทีดูเหมือนไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายที่เกาะเเขนเขาแน่น เขาไม่ได้จะเย็นชาใส่เธอเลย เพียงแค่อยากแกล้งนิดหน่อย แต่ไม่เกินสิบวิก็ใจอ่อนอยู่ดี
มือหนาสองข้างยื่นมาปิดหูคะนิ้งไว้ พร้อมกับดึงเธอเข้ามาสบตา ทำให้สาวน้อยลดอาการหวาดกลัวลงได้มากเลยจริง ๆ เธอสบตาเข้ากับดวงตาคู่คมตรงหน้า มองลึกเข้าไปก็ยิ่งหลงใหลจนไม่สามารถอธิบายได้
“ปะป๊า~” คะนิ้งเพียงเอ่ยเรียกชื่อเขา ไม่นานก็มีจูบเบา ๆ แตะลงริมฝีปากเรียวสวย แน่นอนว่าเขาทำแบบนี้ได้เพราะไม่มีใครเห็น ในนี้มีคนนั่งดูหนังไม่ถึงสิบคน แต่ละคนนั่งห่างออกไป
“เมื่อไหร่จะเลิกขี้กลัวนะ ถ้าไม่มีป๊าจะทำยังไง”
เขาพูดเหมือนบ่นเล็กน้อย สิ่งที่เขาห่วงมากที่สุดในตอนนี้ก็คือคะนิ้ง เธอใสซื่อและอ่อนไหวเกินไป ส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะเขาที่เฝ้าประคบประหงมเธอมาตลอด ไม่ผิดเลยที่เธอจะเป็นเช่นนี้
“หนู…หนูไม่รู้ค่ะ” คะนิ้งตอบเขาเสียงเบา เธอตอบตามความรู้สึกในตอนนั้น แน่นอนว่าเธอนึกไม่ออกจริง ๆ หากวันใดวันหนึ่งไม่มีเขาให้พึ่งพาแล้ว ชีวิตเธอจะเป็นในแนวทางไหนก็ไม่อาจนึกออกได้
“หมดแล้ว” ภูผาเอ่ยปากบอกอีกคนพร้อมกับลดมือลง เปลี่ยนมานั่งในท่าปกติ
“ขอบคุณนะคะป๊า”
คะนิ้งเอ่ยขอบคุณชายหนุมเสียงหวาน พร้อมกับขยับตัวเข้าชิดอีกฝ่ายมากขึ้น หน้าอกหน้าใจที่มีขนาดใหญ่เกินตัวจนกระดุมชุดนักศึกษาแทบปริแตก ก็ถูกดันเข้าหาเเขนแกร่ง เธอจงใจกระแซะเบียดกายเข้าหาเขาอย่างเอาใจ พร้อมกับเกาะแขนข้างซ้ายเขาไว้แน่น ศีรษะเอียงซบไหล่หนาราวกับหาที่พึ่ง เพื่อแอบหลับพักสายตาสักหน่อย
“ชวนมาให้หนังดูอีกแล้ว”
คนแก่แบบเขาก็ได้แต่บ่นพึมพำไปอย่างนั้น ให้ขัดใจหรือปฏิเสธเธอ คงไม่มีทางเป็นไปได้ เขาเต็มใจยื่นไหล่ให้เธอซบแถมยังลูบเรือนผมนุ่มให้เธอหลับสบายมากขึ้น ถือซะว่าเป็นของแถมให้เด็กน้อยของเขาก็แล้วกัน
ภูผายังคงนั่งดูหนังต่อจนจบ ส่วนคะนิ้งน่ะหรือนั่งหลับให้หนังดู แทบจะทุกครั้งเวลามาดูหนังด้วยกัน หรือแม้กระทั่งดูอยู่บ้านเธอก็มักจะเป็นแบบนี้ เขากลับไม่ได้มองว่าเป็นข้อเสียแต่มองว่าน่ารักต่างหาก ในสายตาเขาคะนิ้งยังเป็นเด็กวัยกำลังกินกำลังนอนด้วยซ้ำ
.
.
.
“เดี๋ยวหนูไปเข้าห้องน้ำนะคะ”
หลังจากออกจากโรงหนังมาเธอก็เกิดปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ จึงเอ่ยปากบอกเขา ภูผาพยักหน้าทันที เขายินดีที่จะยืนรอเธออยู่บริเวณด้านหน้านี้
“ได้ครับ เดี๋ยวป๊ารอหนูอยู่ตรงนี้นะ”
“ค่ะ”
คะนิ้งรีบเดินออกมาเพื่อเข้าห้องน้ำ หลังจากที่เธอทำธุรเสร็จเะป็นที่เรียบร้อยก็ออกมาล้างมือหน้ากระจก และไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ เมื่อคนที่ยืนส่องกระจกเติมหน้าอยู่คือเพื่อนในคณะของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สนิทกันเท่าไรนัก แต่สาวเจ้าคนนั้นก็บังเอิญอยากทักทายเธอขึ้นมาซะอย่างนั้น
“อ้าว คะนิ้งมาดูหนังเหรอ?”
“อ๋อ ใช่ ๆ เพิ่งดูจบจะกลับแล้วแหละ” คะนิ้งตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มให้สาวผมยาวอีกคนเป็นมารยาท
“มากับใครเหรอ? เมื่อกี้เห็นมีผู้ชายยืนอยู่ด้วย”
นี่คงไม่บังเอิญแล้วสินะ แสดงว่าเพื่อนในคณะเธอต้องเห็นเข้าแล้วว่าเธอมากับใคร แต่ก็ไม่มีอะไรน่าปิดบังนี่นา เธอกับเขาคบกันไม่ใช่เรื่องผิดอะไร คะนิ้งจึงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยโทนเสียงเดิม
“มากับปะป๊าน่ะ”
“พ่อเหรอ?!” อีกฝ่ายคงจะลืมตัวเผลอแสดงสีหน้าตกใจขั้นสุด ไม่แน่ว่าอาจจะสนใจเรื่องของเธอจริงจังเข้าเเล้ว
“เปล่า แฟน ไม่ใช่พ่อ”
เธอหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เมื่อเจออีกฝ่ายยิงคำถามแบบนั้นมา มองอย่างไรถึงคิดว่าเขาเป็นพ่อเธองั้นหรือ เอ๊ะ! หรือเป็นเพราะสรรพนามที่เธอใช้เรียกแทนชื่อเขากันนะ
“เอ้าเหรอ? ดีจัง เพิ่งรู้นะเนี่ยว่านิ้งมีแฟนรุ่นใหญ่ด้วย เห็นเงียบ ๆ มาตั้งนาน”
เธอฟังดูแล้วไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นคำชมเลยสักนิด กลับรู้สึกว่าสีหน้าและแววตาที่มองมากระทั่งคำพูดก็ดูเหมือนหยันเธอซะมากกว่า คงมองว่าเธอร้ายเงียบแอบมีแฟนรุ่นใหญ่ไว้คอยเลี้ยงดูสินะ
“ก็คบกันนานแล้วนะ ส่วนมากคนที่สนิทถึงรู้ ส่วนคนที่ไม่สนิทก็คงไม่แปลกที่ไม่รู้” คะนิ้งตอบกลับเสียงเรียบ ไม่มีคำไหนไม่สุภาพแต่อีกฝ่ายกับหุบยิ้ม
“งั้นเราขอตัวก่อนนะ ป๊าจะรอนานน่ะ” คะนิ้งบอกอีกฝ่ายก่อนจะยกมือบ๊ายบาย เธอเดินออกมาจากห้องน้ำตรงดิ่งมายังร่างสูงใหญ่ที่รอเธออยู่
“ไปไหนต่อไหมครับ?”
เพียงแค่เดินมาถึงชายที่ยืนรอเธออย่างกับพ่อรอลูกเข้าห้องน้ำ ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนหน้านี้คะนิ้งไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่พอมาเจอใบหน้าหล่อกระชากใจตรงหน้าก็ทำให้เธอลืมความรู้สึกนั้นไปเลย เปลี่ยนมาเป็นยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายอย่างเช่นปกติ
“กลับบ้านก็ได้ค่ะ หนูอยากกลับไปอยู่กับป๊า” หญิงสาวเอ่ยเสียงออดอ้อนพลันเกาะแขนเขา
“ได้สิครับ” ภูผาพยักหน้ารับทันที เขาไม่มีทางขัดใจสาวน้อยข้างกายได้อยู่แล้ว
ดีซะอีก เขาเองก็อยากกลับบ้านไปอยู่กับเธอเเล้วเหมือนกัน เขาทนคิดถึงเธอตั้งหลายอาทิตย์กว่าจะเคลียร์งานเสร็จและกลับมาหาเธอได้ เมื่อคืนที่เขายังไม่ได้ทวงค่าความคิดถึงก็เพราะคะนิ้งมีเรียนเช้า ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เขาคง…
“ป๊าเมามากแล้วหนูขอพาป๊าไปนอนก่อนนะคะ”คะนิ้งขออนุญาตเฮียอาทิตย์ที่นั่งดื่มกันอยู่ เมื่อตอนกลางวันปะป๊าพาเธอไปจดทะเบียนสมรสอย่างที่ว่าจริง ๆ บทจะใจร้อนก็ห้ามไม่อยู่ พอกลับมายังบ้านพักหลังเดิมก็ฉลองกันยกใหญ่ ส่วนคุณแม่เข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว“ครับ เอามันไปนอนเถอะ” เฮียอาทิตย์มองน้องชายเพียงแวบเดียวก็ยกยิ้มบนมุมปากทีหนึ่ง เหมือนกับมองบางสิ่งบางอย่างออก“เอิ้ก~~”“อย่าเพิ่งอ้วกนะคะ”คะนิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงฟังดูเป็นห่วง เธอแบกร่างหนาที่หนักมากเข้ามาในห้องนอนได้สำเร็จ แต่กว่าจะมาถึงได้ก็เล่นเอาเธอเหงื่อไหลซิก เหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน“เดี๋ยวหนูถอดชุดให้นะคะ”“อื้ม~~”คะนิ้งลงมือถอดเสื้อผ้าเขาออกทีละชิ้นอย่างบรรจง ภูผาก็เอาแต่นอนแผ่หลารอรับการปรนนิบัติจากเธอ เขานอนตาปรือแต่ทว่ากลับยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คะนิ้งถอดส่วนบนเสร็จก็ต่อด้วยส่วนล่างทันที กางเกงขายาวสีดำถูกถอดออก เหลือเพียงกางเกงตัวในที่ปกปิดเจ้าภูผาสาขาย่อยไว้ อีกนิดเดียวก็จะถอดสำเร็จแล้ว แต่...
สามเดือนผ่านไป...“คุณแม่ไม่ต้องกลัวนะคะ เฮียอาทิตย์กับพี่ผาจะอยู่ช่วยคุณแม่ตลอดแน่นอน” คะนิ้งเอ่ยให้กำลังใจผู้เป็นแม่แฟนซึ่งนั่งวีลแชร์อยู่ตอนนี้ท่านอาการดีขึ้นมากแล้ว แม้จะยังเดินเหินไม่สะดวกแต่ก็พูดจาได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ทุกคนต่างเฝ้ารอวันนี้ วันที่จะได้ขึ้นศาลเอาผิดคนชั่วซะที“แล้วนิ้งล่ะลูก?”“หนูจะนั่งรออยู่ข้างหลังค่ะ ไม่หนีไปไหนแน่นอน ถ้าทุกอย่างจบแล้วเรากลับบ้านกันนะคะ”เธอดูแลคุณแม่ดีจนท่านรักและเอ็นดูเธอมาก เมื่อก่อนเธอไม่มีโอกาสได้ดูแลแม่แท้ ๆ ตัวเอง น่าเสียดายอยู่บ้าง เธอเห็นคุณแม่เวลาพูดจากับลูกก็มักจะน่าฟังอาจจะมีดุบ้างบางคราว แต่แววตาดูรักใคร่ ต่างจากเธอที่ในสายตาผู้เป็นแม่มีแต่ความเกลียดชังแต่ช่างเถอะ...อย่างไรตอนนี้เธอก็นับว่าเป็นคนโชคดีคนหนึ่งแล้ว มีแม่แฟนก็รักและเอ็นดูเธอเหมือนลูกในไส้“หนูนั่งรอก่อนนะ” ภูผาที่ยืนอยู่ข้างกันเอ่ยขึ้น ข้างกายเขาก็มีเฮียอาทิตย์ยืนเคียงข้างกันด้วยท่าทีน่าเกรงขาม สองพี่น้องนี้หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่มาก บุคลิกก็ยังเหมือ
หลังจากที่เธอส่งคุณแม่เข้านอนเรียบร้อย ห่มผ้าเสร็จสรรพ คะนิ้งเองก็เตรียมตัวนอนพักเตียงที่อยู่ไม่ห่างกันมากนัก ตอนนี้เธอรับหน้าที่ดูแลคุณแม่ของปะป๊า ทั้งอาหารการกินและคอยช่วยทำกายภาพบำบัด เธอเรียนรู้ทุกอย่างด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม“เอ๊ะ”จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ เธอลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่ไหนสักที่ หลังจากที่โทรส่งข่าวโมเดลที่ตามหาเธอให้วุ่น พอรู้ว่าเธอสบายดีและปรับความเข้าใจกันได้ก็บ่นอุบ บ่นว่าตัวเองจะไปเลือกกินอาหารเม็ดยี่ห้อนั่นบ้างนี่บ้าง เธอเองก็ได้แต่ยิ้มเก้อ ก็ตอนนั้นทะเลาะกันบ้านแทบแตก เพื่อนก็เข้าช่วยสุดกำลัง สรุปดีกับผัว? จบข่าว...เธอเดินออกมายังไม่ถึงห้องครัวด้วยซ้ำ ทว่ากลับรู้สึกเยือกเย็นแปลก ๆ ขนกายต่างลุกซู่ขึ้นมา นี่เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ไฟในบ้านไม่ได้เปิดจนครบทุกดวง ทำให้แสงสว่างไม่มากพอจะเห็นทุกอย่างชัดถนัดตาทว่าเธอกับเจอเข้ากับบางสิ่ง!“อุ้ย! ป๊ามายืนอะไรตรงนี้คะเนี่ย หนูนึกว่าผีหลอกซะอีก”“...”“มายืนทำไมตรงนี้คะ?”“มาดักรอ”“ป๊ามารอ
“หนูจะรอป๊านะคะ”น้ำเสียงบวกกับสายตาแน่วแน่คู่นั้นแล้ว ทำให้หนังหน้าแก่ ๆ ของเขาเกิดร้อนผ่าวขึ้นมาจนได้ เขาเขินเมียตัวเองวันละไม่รู้กี่รอบ“ป๊าเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? หน้าแดงเชียว” คะนิ้งเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้“ป๊าแค่รู้สึกว่าหนูสวยขึ้น สวยขึ้นทุกวันเลย”เขาว่าพลันใช้นิ้วเกลี่ยปอยผมที่หล่นปิดใบหน้าสวยที่เขาหลงใหล แววตาอ่อนโยนการกระทำอันอบอุ่นนี้ช่างเหมือนตอนจีบกันใหม่ ๆดูไม่เหมือนคนเพิ่งทะเลาะกันราวกับจะฆ่าจะแกงกันก็ไม่ปาน ตอนนี้เธอกับเขาปรับความเข้าใจกันเเล้ว ไม่แปลกหากจะกระหนุงกระหนิงกันบ้าง“ป๊าก็หล่อขึ้นทุกวันเลยค่ะ” เธอเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าชมเขาไม่หยุดปากเช่นกัน ทำเอาอีกคนเขินจนตัวแดงไปหมด“ไม่ให้ป๊ารักยังไงไหวเนี่ย ฟอด~”เขาว่าพลันหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ สักพักจึงนึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่เขาอยู่ จึงรีบดึงตัวคะนิ้งให้ลุกขึ้น“ป๊าว่าเราไปอาบน้ำดีกว่าจะได้สบายตัว เดี๋ยวป๊าพาหนูไปหาแม่ป๊านะ”“จริงเหรอคะ?”
ภูผาที่ใบหน้าปรากฏรอยขีดข่วน สีหน้าบ่งชัดถึงอาการไม่พอใจขั้นสุด ทั้งอึมครึมจนน่ากลัว แต่ทว่าพอเห็นว่าเธอตื่นเเล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที ราวกับไม่ใช่คนคนเดียวกัน“หนูตื่นแล้วเหรอ” รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา เวลานี้ยิ่งทำให้ใจเธอสั่นไหว“...”“อย่าไปโกรธไอ้ผามันเลย มันรักหนูมากเลยนะ หายใจเข้าออกก็มีแต่หนู” อาทิตย์ดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่าง จึงเอ่ยดักขึ้นก่อน“เฮียบอกแล้วเหรอ?” ภูผาถามพี่ชาย“อือ คุยกันเองนะ เฮียไปดูแม่ก่อน”“ครับ”ภูผาพยักหน้ารับ พอพี่ชายตนเดินออกไปยังห้องของผู้เป็นมารดาซึ่งนอนอยู่ข้างกัน ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าเธอ ท่าทางใจเย็นของเขายิ่งทำให้คะนิ้งกำมือเเน่นขึ้น เธอไม่กล้ามองหน้าเขาตรง ๆ เพราะไม่อยากเห็นรอยแผลที่ตัวเธอเองเป็นคนสร้างขึ้น“หนูยังไม่หายโกรธป๊าเหรอ?”“...” ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับภูผาสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะยึดมือเธอมากุมไว้แน่น พลันเอ่ยเสียงเบาอย่างคนรู้สึกผิดและขอโทษไปในที
“โอ๊ย โอ๊ย! ป๊าเจ็บจริงนะเนี่ย”พอเขาพาเธอเข้ามาในรถเรียบร้อย ใช่ว่าจะง่ายอย่างที่คิด คะนิ้งแผลงฤทธิ์ขั้นสุดเช่นเดียวกัน เธอทั้งทุบทั้งตีเขาจนเริ่มเจ็บเข้าแล้วจริง ๆ“ก็ปล่อยหนูไปสักทีสิ!” คะนิ้งยังกัดฟันทุบอีกฝ่ายเป็นเบาะรองมือ จนอีกฝ่ายทนไม่ไหวต้องโทรเรียกใครบางคนทันที“มาขับรถให้เฮียที เร็ว ๆ ”ขืนเป็นแบบนี้เขาคงขับรถไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ หากไม่จับตัวเธอไว้มีหวังขับรถไปแหกโค้งกันพอดี คนที่เขาโทรหาเมื่อกี้คือเลขาเขาเอง ก่อนหน้านี้ไม่เคยโผล่มาหรอก เพราะหากมาที่นี่เขาจะให้หาโรงแรมพัก เพราะเขานั้นต้องอยู่กับคะนิ้ง ไม่อยากให้หมอนั่นมาเห็นเข้า“นิ้ง นิ้ง หนูใจเย็น ๆ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้นี่ครับ ตีป๊าแบบนี้บาปนะ”เขาถึงขั้นต้องเอาเรื่องบาปบุญมาอ้าง เพราะคะนิ้งยังทุบตีเขาไม่ยั้งมือ เธอเก็บกดอะไรขนาดนั้นกัน เธอไม่เคยทำตัวก้าวร้าวแบบนี้มาก่อนนี่?“เหอะ! บาปงั้นเหรอ?”“แล้วคนที่มันนอกใจเมียตัวเองมามีคนอื่นล่ะ? แล้วลากคนที่มันไม่รู้เรื่องอะไรให้เป็นคนเลวไปด้วย แบบนี