บุรุษหนุ่มค่อยๆ เยื้องเท้าเดินออกมาจากความมืด รูปร่างกำยำน่าเกรงขาม เนื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่างเป็นเนื้อผ้าชั้นดี ตั้งแต่เขาย่างเข้ามาในหออิงถงแห่งนี้ บรรดาเสี่ยวเอ้อร์ต่างออกมาต้อนรับทักทายเอาใจใส่อย่างดี หน้าตาชายหนุ่มหล่อเหลาคมเข้ม ดวงตาเป็นประกาย เห็นชัดว่าดวงหน้านี้เพิ่งจะไปทำอะไรที่มีความสุขมา แม้แต่ริมฝีปากเรียวบางยังไม่หุบยิ้มขณะที่มือใหญ่ข้างหนึ่งกลับกุมข้างแก้มไว้
“ได้ความหรือไม่น้องสาม”
ทันทีที่ชายหนุ่มเดินขึ้นไปบนชั้นสามของยอดหออิงถงนั้น ก็พลันมีเสียงบุรุษเอ่ยถามขึ้นมาก่อน เขาเลยหันไปทางต้นเสียง
“เป็นอย่างที่พวกเราคาดการณ์ไว้จริงๆ พี่ใหญ่ เป็นนางจริงๆ ไม่ผิดตัวแน่” ชายหนุ่มกล่าวตอบออกไป มือใหญ่ที่กุมแก้มไว้นั้นได้ปลดลงมา เผยให้เห็นแก้มแดงเด่นชัดไปด้วยรอยนิ้วมือน้อยทั้งห้า แต่ใบหน้ายิ้มที่มีสุขนั้นกลับสวนทางกันนัก
“หรงจวิ้น เจ้าไปทำอันใดมา ใช่เรื่องที่ดีหรือไม่” พี่ใหญ่หรือฝูอี้เจิ้งถามอย่างอดไม่ได้ พร้อมเสียงหัวเราะน้อยๆ ของเขาดังตามมา
“เรื่องนั้นช่างเถิดพี่ใหญ่ ข้าตามหาตัวนางแล้วแต่กลับหลบหน้า คงระแวงเราแล้วเป็นแน่”
ชายทั้งสอง หนึ่งพี่ชาย หนึ่งน้องชายพากันครุ่นคิดปรึกษากันอย่างเงียบเชียบในห้องพิเศษชั้นสามซึ่งเป็นห้องของผู้ที่นับว่ามีฐานะไม่น้อย
“คงต้องทำเช่นนี้แล้วจริงๆ”
“ข้าก็คิดไว้เช่นนั้นพี่ใหญ่” ทั้งสองมองสบตากันอย่างรู้ในสิ่งที่อยากจะสื่อออกมา
ในยามนั้นทั่วทั้งเมืองหมาน ได้เสียสถานที่ซึ่งมากด้วยอาหารอร่อย สูตรเมืองหลวงไปในพริบตา หออิงถงทั้งหลังหายไปได้อย่างไรกัน! ทุกคนได้แต่คิดแต่ก็ไม่พบคำตอบที่ต้องการ
พอเสวี่ยเหมยรู้เข้าก็ค่อนข้างเสียใจ ถึงแม้หออิงถงเป็นศัตรูทางการค้าของท่านตา แต่นางกลับชอบรสอาหารของที่นั่น พ่อครัวแม่ครัวล้วนมาจากเมืองหลวงเชียวนะ น่าเสียดายจริงๆ ...
ณ เมืองเฉอกง ทิศบูรพา
“ท่านทั้งสอง ได้โปรดเร่งรถม้าให้เร็วกว่านี้ได้หรือไม่” ยามนี้แม่นางที่นั่งในรถม้ากำลังร้อนใจกระวนกระวายยิ่งนัก อยากจะไปกระชากบังเหียนมาบังคับเสียเองใจจะขาด
นางก็คือ ‘เหนียนถง’ เป็นเถ้าแก่เนี้ยของหออิงถงที่ไปเปิดอยู่ในเมืองหมานเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนแรกที่เห็นชายหนุ่มทั้งสองมายังหออิงถงของนาง เหนียนถงก็เกิดกลัวว่า ‘สามี’ สารเลวนั่นสั่งให้คนมาตามหาหรือไม่ เลยรีบพาตัวเองหลบซ่อนตั้งแต่เนิ่นๆ หากแต่ได้ยินเสี่ยวเอ้อร์รีบร้อนมารายงานว่า ชายหนุ่มทั้งสองนั้นแจ้งว่าสามีของนางถูกพิษเกรงว่าอยู่ได้ในอีกไม่นาน พอนางได้ยินดังนั้นสิ่งที่เคยโกรธกลับหายไปจนหมด นางรีบร้อนอพยพคนรื้อถอนร้านทิ้งทันที จิตใจร้อนรนรีบยัดเสื้อผ้าใส่ห่อผ้าตามบุรุษทั้งสองเข้าเมืองหลวงทันที
“แม่นาง หนทางยากบังคับ โปรดใจเย็นๆ เถอะ” หรงจวิ้นตอบกลับเสียงหนักแน่นและชัดเจน
พวกเขาทั้งสองนั้นรู้ดีว่านี้เป็นแค่แผนการหลอกล่อสตรีนางนี้ให้ยอมออกมาก็เท่านั้น หากไม่ทำเช่นนี้ก็เกรงว่าทหารขุนม้าเอก หน่วยปีกอินทรีย์ของเมืองหลวงจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายไปเสียก่อน เขาตรอมใจหาภรรยาที่ ‘หนี’ ออกจากจวนทหารเอก ทั้งยังลั่นสัจจะว่าจะไม่ขอเป็นทหารขุนม้าเอกอีกหากตามหานางไม่เจอ สิ่งที่พวกเขาแจ้งนั้นก็ไม่ได้โป้ปด ก็นับว่าเขาถูกพิษจริงๆ
พิษรักอย่างไรล่ะ!
เสด็จพ่อพวกเขาทรงเห็นว่าทหารม้าของเขาเป็นเอามากขนาดนี้ ในตอนแรกทหารเอกนายนี้จะชิงออกเมืองหลวงมาตามหาเสียเอง ฮ่องเต้เกรงว่าเขาจะไปแล้วไม่กลับเสียนี่ ทั้งยังไม่อยากเสียขุนพลฝีมือดีเช่นเขาไป เลยต้องให้ฝูอี้หรงจวิ้นและฝูอี้เจิ้งออกโรงแทน
ตามที่ได้ยินมาเรื่องราวนับว่าวุ่นวายนัก ทหารขุนม้าเอกหรือ ‘จูอาน’ นั้นถูกภรรยามาเห็นภาพเขายืนปลอบใจหญิงอื่นอยู่ นางจะไม่คิดอะไรหากไม่พากันไปที่ลับตาเช่นนั้น ถึงจะรู้มาจากปากจูอานว่าสตรีที่เขาปลอบนั้นเพียงเป็นญาติห่างๆ ของเขา นางกำลังเสียใจเรื่องที่ท่านพ่อนางจะให้ออกเรือนเท่านั้น เหนียนถงนั้นเป็นคนขี้หึงเขาจึงต้องจำใจไปปลอบที่ลับตาเพราะเช่นนี้ หรงจวิ้นคิดแล้วก็ส่ายหัวด้วยความไร้สาระ มีภรรยางี่เง่าเช่นนี้ สู้ไม่มีเลยไม่ดีกว่าเล่า
ในตอนนั้นพวกเขาเดินทางร่อนเร่มาหลายวัน และก็ไม่ได้ให้องครักษ์ติดตามมาด้วย สองหนุ่มพากันมาจนถึงเมืองหมาน ได้ข่าวว่ามีเรือนอาหารมาเปิดใหม่ในเมือง พวกเขามั่นใจกันหลายส่วนว่าอาจเป็นฮูหยินของทหารเอกจูอาน เพราะก่อนหน้านี้ในเมืองฟาไฉ่นางก็เปิดหอสุรา ร้านอาหารใหญ่ๆ อยู่ไม่น้อย และที่สำคัญที่ทำให้หรงจวิ้นมั่นใจคือ ยามเมื่อเขาเห็นลูกแมวน้อยทั้งสี่ที่ตอนนี้เหนียนถงอุ้มอยู่ในรถม้าก็เลยลงความเห็นเอาเองว่าไม่ผิดตัวแน่ ลูกแมวพวกนั้นจูอานมอบให้ฮูหยินเป็นเพื่อนเล่นและลายบนตัวล้วนมีตำหนิประหลาด ดวงตามีเอกลักษณ์แตกต่างไม่เหมือนแมวทั่วไป ว่ากันว่าเขาซื้อมาจากพ่อค้าเปอร์เซียที่ร่อนเรือมาจากทางทะเล
เขาเพียงมาทำภารกิจให้เสด็จพ่อ แต่กลับได้สิ่งตอบแทนที่คุ้มค่านัก นับว่าคุ้มค่าแล้ว....
หรงจวิ้นลูบกำไลของคนงามน้อย ที่เก็บไว้ในอกเสื้อเบาๆ ราวกับกลัวสิ่งของของนางจะเจ็บอย่างไรอย่างนั้น เขาหลับตาลงอดคิดถึงลักยิ้มแก้มซ้ายของนางไม่ได้ ฉับพลันดวงตาที่หลับอยู่ลืมขึ้นเป็นประกายเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
เสวี่ยงั้นหรือ...
ช่างดูคุ้นนัก... คงไม่ใช่ว่าบุตรสาวท่านแม่ทัพเสวี่ยทิศทักษิณหรอกนะ เป็นไปไม่ได้ หรงจวิ้นส่ายหน้าช้าๆ ก็ยามนั้นน้องสี่บอกเองมิใช่ว่านางดูเหมือนบุรุษและจะต้องไม่มีผู้ใดอยากได้เป็นภรรยาแน่นอน แต่สาวน้อยคนนั้นของเขากลับงดงามและน่ารักนักถึงจะปลอมเป็นบุรุษแต่ก็ปิดความงามของนางไม่ได้ แม่นางน้อยของเขาจะเป็นบุตรสาวผู้ใดเขาก็ไม่ถือหรอก
ว่าแล้วก็อดยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองอีกไม่ได้ มุมปากหนุ่มหล่อยิ้มกว้างขึ้นมาเอง เขาคงบ้าไปแล้วจริงๆ อยากจะโดนนางตบอีกทีเสียอย่างนั้น
หลังจากเหตุการณ์นองเลือดในจวนแม่ทัพสือจบลงชินอ๋องก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กำราบชนเผ่าหลาเหม่าจนสิ้น ไม่ให้เหลือรอดมีชีวิตแม้แต่คนเดียว องค์หญิงฝานฮุ่ยเองก็ไม่กลับวังหลวงของแคว้นตัวเองแต่เลือกที่จะอยู่เป็นฮูหยินแม่ทัพอยู่ที่เมืองเหอเถิงชินอ๋องหนุ่มกลับจวนมายามใดเป็นอันต้องกรอกสุราเข้าปากไม่จบไม่สิ้น บางวันถึงขั้นไม่อาบน้ำนอนอยู่ศาลาที่มีหิมะตกลงมาเป็นสาย หมัวมัวและเสี่ยวจูที่ยังร้องจนสองตาปูดบวมอยู่ก็ยิ่งร้องหนักเข้าไปอีกที่ชินอ๋องเป็นเช่นนี้พระชายาจากไปแล้วไม่หวนกลับ นี่คือเรื่องจริง...หลิงหมัวมัวอุ้มเสี่ยวซื่อจื่อน้อยไว้อย่างดี เด็กน้อยไม่รู้สักนิดว่ายามนี้จวนแห่งนี้กำลังอยู่ในบรรยากาศโศกเศร้า ได้แต่หัวเราะคิกคักชี้ดอกเหมยที่ปลิวไปมาตามสายลมดอกเหมยกลีบหนึ่งร่วงลงมาสัมผัสบนใบหน้าชินอ๋องที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ ฉับพลันน้ำตาเขาก็ไหลลงมาไม่หยุด ดอกเหมยกลีบนี้เสมือนภรรยาเขาที่กำลังมาปลอบโยนเขาเช่นทุกครั้ง แต่ดอกเหมยกลีบนี้กลับไม่อบอุ่นเหมือนอ้อมกอดของนางสักนิดไม่มีนางเขาอยู่ไม่ได้ ขอแค่คืนนางกลับมา...“คืนนางมาให้ข้า...” เสียงแหบแห้งแทบไม่ได้ศัพท์ร้องบอกเบื้องบนหวังว่าจะมีสักคนที่ไ
ในฤดูร้อนที่เมืองหมานของอาณาจักรแคว้นฝูหยวนคนต่างเมืองมักจะชอบมาเที่ยวกันจนเมืองหมานที่ใหญ่เกือบเท่าเมืองหลวงแออัดไปในทันที เสวี่ยเหมยที่ยามนี้เพิ่งจะห้าขวบแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นครั้งแรกเพื่อเปิดหูเปิดตาบ้าง ผู้ใดใช้ให้จางเหว่ยกับจางเหล่ยทิ้งนางไปฝึกวรยุทธ์กัน ส่วนซิงซิงเองก็ทอดทิ้งนางไปปักผ้าอะไรก็ไม่รู้ เมื่อสาวใช้ผู้นั้นมาส่งนางในห้องแล้วทำเป็นกล่อมนางเข้านอน นางแค่แกล้งหลับตาซิงซิงก็ติดกับแล้ว!เสวี่ยเหมยแอบหยิบถุงเงินที่ท่านตาชอบมอบให้เวลาไปเยี่ยมบ้านนู้นที่นางซุกซ่อนไว้อย่างดีออกมาด้วย นางมองเห็นร้านขนมน้ำตาลปั้นมาแต่ไกล สองตาเล็กก็ลุกวาวด้วยความอยากกินมานาน อยู่ในจวนซิงซิงมักสั่งห้ามนาง บอกว่าเป็นสตรีกินเดือนละครั้งก็พอ ไม่อย่างนั้นสุขภาพฟันจะไม่ดีนางรู้วิธีรักษาหรอก! บังอาจมาบังคับให้เด็กอายุห้าขวบเช่นนางงดกินของโปรดงั้นหรือแต่ใกล้ๆร้านนั้น กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนเหม่อลอยอยู่ สายตาของเขากวาดมองผู้ใดอยู่นางก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ก็ยอมมองตามเขาก่อนจะพบว่าเขามองผู้คนถือขนมแล้วกินกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ช่างน่าสงสารนัก!“ท่านลุงๆ เอาขนมรูปกระต่ายสองไม้เจ้าค่ะ” พ่อค้าขายขนมได้ยินแต่เ
เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงจวนแม่ทัพ เสวี่ยเหมยที่นั่งอยู่ในรถม้าเพียงคนเดียว ก้าวลงมาช้าๆ เหมือนเหตุการณ์เดิมทุกอย่างขาดแค่บุรุษเคียงข้างกายเท่านั้น ยามนี้เขาอยู่ซุ่มรอโจมตีกับพวกทหารในใต้บังคับบัญชา แอบแฝงตัวอยู่รอบจวนแม่ทัพโดยที่ซ่อนตัวอย่างดีไม่ให้ใครได้รู้“เกี้ยวแต่งงานขององค์หญิงฝานฮุ่ยแคว้นชุนไห่เสด็จมาถึงแล้ว!”เสวี่ยเหมยมองไปยังขบวนยาวเหยียด ที่ยามนี้เจ้าสาวในเกี้ยวโผล่หัวออกมามองด้านนอกอย่างกับเด็กซนๆ ผู้หนึ่ง สือหลุนอี้ไม่ได้ผงะให้กับเจ้าสาวของเขาอีกต่อไปแต่ทว่าดวงตาบุรุษฉายแววมีความสุขและความอาลัยจนมากล้น“เซียนข้าว!!” ฝานฮุ่ยเห็นร่างที่คุ้นเคยผ่านผ้าคลุมสีแดงผืนบาง แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมผ้าคลุมอยู่นางก็จำสหายได้ เพราะอยู่ด้วยกันมานานเกือบสามเดือน จึงโบกมือให้นางมาแต่ไกล “ข้าอึดอัดจะแย่!”“กลับเข้าไปซะ!” หญู๋เติ้งข่านบังคับม้ามาข้างเกี้ยว ดันหัวน้องสาวกลับเข้าไปตามเดิม นางอายุสิบเก้าแล้วแท้ๆ ยังดื้อดึงไม่เปลี่ยนเลยสักนิดนางมองเหตุการณ์ที่ดำเนินไปอย่างเหมือนเดิมทุกอย่างเงียบๆ ขอแค่ผ่านตรงนี้ไปได้ทุกคนจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ขอแค่ผ่านมันไปได้ก็พอหลังจากผ่านพิธีกราบไหว้ฟ้าดินแล
เสวี่ยเหมยพิจารณาชายหนุ่มอย่างละเอียดอีกครั้งแต่ดูแล้วเขาไม่ได้มีท่าทีสนิทกับนางเลยสักนิด อาจจะพูดว่าทำตัวห่างไกลเสียด้วยซ้ำ แถมแววตาก็ดูมีความเคารพนางเสียส่วนใหญ่ไม่ใช่!หากเป็นเขาจะต้องเรียกนางอย่างอ่อนโยนว่าเหมยเอ๋อร์ เขาไม่เคยเรียกชื่อนางลักษณะนี้ด้วยซ้ำนอกจากเวลาโกรธ แววตาคู่นั้นก็ไม่ได้มองมาราวกับรักนางอย่างลึกซึ้งเช่นเขา แต่แล้วพอชายหนุ่มตรงหน้าค่อยๆ ถอดผ้าปิดปากออกเผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นนางก็แทบจะสลบไปทันที“แม่ทัพสือ”นางจำได้แล้ว! ชายที่ถูกรถชนพร้อมกับนางเป็นเขาย่อมไม่ผิดแน่ ยามนั้นนางเห็นเขาสวมผ้าปิดปากเช่นตอนนี้ แต่ว่าตอนนั้นทั้งคู่ก็สองตาพร่ามัวล้วนจำใบหน้ากันไม่ได้ แต่ยามนี้พอได้เห็นอีกฝ่ายที่เคยพบกันในแคว้นฝูหยวนต่างก็เดาเรื่องราวและจำกันได้ทันทีทั้งสองจึงหาที่นั่งคุยกันพร้อมกับเปิดใจหาคนรักที่โลกอีกโลกหนึ่ง นางได้ยินสือหลุนอี้เล่าว่าเขาเป็นเพียงพ่อครัวคนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่ากลับชอบมีแฟนคลับมากมายมาล้อมหน้าล้อมหลังเสมอ จนเขาต้องสวมผ้าปิดปากไว้ไม่ให้เด่นจนเกิดไป พอกลับมาโลกเดิมเขาวิ่งมาที่ขายไอศกรีมเป็นที่แรกแต่พบว่ามันไม่มีเหตุการณ์เหมือนเดิมแล้ว เขาอยากกลับไปห
“ไม่!” เสวี่ยเหมยหายใจเฮือกใหญ่แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทว่าตัวนางในยามนี้กำลังอยู่บนเครื่องบิน! ไม่ถูก นี่มันไม่ถูกต้อง“ลิสา อย่าเสียงดัง ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ ฝันร้ายหรือ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งสะกิดไล่นางเบาๆ แต่ว่าทำไมช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน ไม่จริง! นี่มันไม่จริงล่ะมั้ง“ผิง”เสียงเอ่ยตอบเพื่อนสาวแผ่วเบาออกมาจากปากเล็ก รูปร่างหน้าตาทุกอย่างเหมือนกับเสวี่ยเหมยในแคว้นฝูหยวนทุกอย่าง แต่นางไม่เข้าใจว่าทำไมหน้าตาเช่นนี้จึงกลายเป็นโฉมสะคราญในโลกยุคนั้นได้ ทั้งที่ยุคสมัยปัจจุบันนี้คนหน้าตาสวยกว่านางมีมากถมไป“ไม่สบายเหรอ” ขนมผิงรีบเอามือแตะหน้าผากตัวเธอแล้วก็เพื่อนสาวที่ร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยไปพร้อมกัน “ตัวไม่ร้อนนี่นา”เสวี่ยเหมยได้แต่คิดว่าหรือเรื่องทั้งหมดนางแค่ฝันไป หากแต่ถ้าเป็นความฝันไยต้องร้องไห้ออกมาทันทีที่ตื่น หากเป็นความฝันไยต้องเจ็บหน้าอกที่ถูกธนูยิงผ่านไม่จางหาย หากเป็นความฝันใช่ว่านางจะติดอยู่ยาวนานตั้งแต่เกิดจนอายุยี่สิบปีเชียวหรือ! มันย่อมไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง เพียงตื่นขึ้นมาก็เกือบจะจำสหายทั้งสามคนไม่ได้แถมนางยังฟังภาษาของนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เ
เผลอครู่เดียวฤดูเหมันต์จะผ่านไปอีกแล้วเสวี่ยเหมยนั่งอยู่ในรถม้าคันใหญ่พลันคิดเงียบๆ ผู้เดียว เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก ทั้งที่เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่นางก็รู้สึกว่ามันดำเนินไปเร็วจริงๆเส้นทางคดเคี้ยวไปมาก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าจวนหลังใหญ่ที่ประดับด้วยผ้าแดงมงคลเต็มไปหมด แม่ทัพสือหลุนอี้แต่งอาภรณ์สีแดงยืนอยู่หน้าจวนแม่ทัพ เวลาผ่านมาเพียงสองปีแต่รูปร่างเขากลับกำยำขึ้นมาไม่น้อยหิมะขาวโพลนตกลงมาไม่หยุด ทั้งที่ปีก่อนปลายเหมันต์หิมะก็เริ่มเบาบางลงมาแล้ว ชินอ๋องหนุ่มนั่งกอดภรรยาที่เหม่อลอยครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ไม่รู้ แต่เขาก็ไม่อยากไปรบกวนนางได้แต่ตระกองกอดไว้แนบแน่นให้ความอบอุ่นผ่านกายใหญ่ไปสู่กายเล็กแสนบอบบาง“หรงจวิ้น เราก็ลงกันเถอะ” นางได้สติก่อนจะหันไปหาสามีที่นัยน์ตาเริ่มทอประกายเร่าร้อนขึ้นมา เสวี่ยเหมยจึงรีบตัดความคิดเขาทันที “ลงกันเถอะ!”“เมื่อครู่จะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้ว แต่ถูกเสี่ยวอี้ขัดขวางเสียได้” เขาพูดพร้อมกับใช้มือใหญ่ล้วงเข้าไปในอาภรณ์ร่างบาง นางสั่นสะท้านน้อยๆ ก่อนจะหันไปหาเขา ให้ชายหนุ่มเปิดผ้าคลุมครึ่งหน้าออกแล้วสอดเรียวลิ้นเย็นเฉียบเข้ามาในโพรงปากควานหาน้ำหวานใน