“เอาละค่ะบอกครูสาหน่อยว่า ถ้าวันนี้เด็กชายมีได้เงินมาโรงเรียน 20 บาท ฝากเงินไว้กับครู 5 บาท แบ่งไปซื้อขนมอีก 10 บาท เด็กชายมีจะเหลือเงินกี่บาท”
“...”
“ว่าไงคะ มีใครตอบครูสาได้ไหมเอ่ย” ครูสาวที่เป็นคนตั้งโจทย์ให้กับนักเรียนถามขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เด็กชายมีจะเหลือเงิน 5 บาทครับ”
“เก่งมากค่ะ ปรบมือให้เพื่อนด้วยค่ะ”
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีนักเรียน 15 คนดังไปทั่วห้อง ครูสาวที่เรียกตัวเองว่าครูสา มองไปยังนักเรียนของเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ครูสาวมีชื่อว่า สามินี ธรรมโชติ หรือ ครูสา ที่เด็ก ๆ หลายคนเรียกกัน เธอเป็นครูที่สอนประจำที่นี่ เดิมทีเธอไม่ได้เรียนสายอาชีพครู แต่ระหว่างเรียนมีโอกาสเข้าร่วมโครงการครูจิตอาสามาแล้วหลายครั้งและนานถึงสามปีเมื่อเรียนจบจากสายที่เรียนอยู่ เธอจึงตัดสินใจเรียนครูอีกหนึ่งปี เมื่อเรียนจบจึงได้ตัดสินใจสอบเข้ารับราชการและบรรจุครูอยู่ที่นี่นั่นเอง
ย้อนไปก่อนที่สามินีจะมาทำอาชีพนี้ เธอก็เป็นเพียงนักศึกษาที่ชอบความสะดวกสบาย ครั้งเมื่อได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการครูจิตอาสาบอกตามตรงเลยว่าครั้งแรกเธอไม่ได้ต้องการไปทำหน้าที่ในฐานะครูอาสาเท่าไหร่นักเพราะเป็นคนติดความสบายของเมือง แต่ที่ไปเป็นเพราะ
เพื่อน ๆ ชักชวนทั้งนั้นเมื่อได้ไปเป็นครูจิตอาสาตามพื้นที่ชนบทและห่างไกลต่าง ๆ บ่อยครั้ง จากไม่ชอบก็เริ่มชอบ พอนานวันเข้าได้พบกับความสงบไม่วุ่นวายเหมือนอยู่ในเมืองหลวง เธอก็ยิ่งรู้สึกชอบวิถีชีวิตเรียบง่ายแบบนี้มากขึ้น
ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มที่เด็ก ๆ มอบให้เธอตลอดช่วงระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการครูจิตอาสา สามินีก็จะมีความสุขทุกครั้งที่มีโอกาสได้เป็นผู้ให้ และนั่นแหละจึงทำให้เธอตัดสินใจที่จะเป็นครูคอยมอบความรู้มอบโอกาสอย่างที่ครูคนหนึ่งจะมอบให้ได้แก่ลูกศิษย์
ปัจจุบันสามินีมาเป็นครูประจำสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้เกือบหนึ่งปีแล้ว และสนิทกับคนในพื้นที่ในระดับหนึ่ง
“ครูสาคะ แล้ววันนี้จะมีการบ้านไหมคะ” สามินีหันไปตามเสียงเรียกของเด็กหญิง เมื่อเจอคนที่เรียกถามเธอแล้วจึงแล้วพูดว่า
“มีค่ะ แต่เพียงห้าข้อเท่านั้น” ครูสาวรีบพูดเมื่อเห็นหน้าของเด็กนักเรียนแต่ละคนที่ทำท่าเหมือนถูกสั่งให้กินยาขม
“เอาละ ได้เวลาเลิกเรียนแล้ว วันจันทร์เปิดมาการบ้านต้องเสร็จเรียบร้อยวางอยู่บนโต๊ะครูนะคะ”
“ค่า/ครับ”
“เลิกเรียนได้จ้ะ”
“นักเรียนเคารพ”
“ขอบคุณค่ะ/ขอบคุณครับคุณครู”
คล้อยหลังเด็กนักเรียนเดินออกไปแล้ว สามินีก็เก็บของของตัวเองบ้าง ก่อนจะตรงไปยังห้องพักครูเพื่อตรวจงานที่ค้างไว้ และเนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ครูที่ประจำอยู่ที่นี่จึงอยู่ในห้องนี้ทั้งหมดนั่นเอง
“ปล่อยเด็กแล้วเหรอจ๊ะน้องสา” คนถามคือครูหมิว ครูรุ่นพี่ที่ประจำที่โรงเรียนแห่งนี้มาหลายปีแล้ว
“ค่ะพี่หมิว แล้วนี่พี่หมิวเคลียร์งานใกล้เสร็จแล้วเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ พรุ่งนี้วันหยุดพี่อยากนอนพักอยู่บ้านกับครอบครัวแบบไม่ต้องกังวล”
สามินียิ้มให้ครูรุ่นพี่ก่อนจะหันมาทำงานของตัวเองต่อ ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบจนกระทั่งหญิงสาวรับรู้ถึงสายตาที่มองมาจึงได้เงยหน้าขึ้นดู ก็พบกับครูหมิว ครูวุ้น ครูวิทย์ และครูสงวนมองหน้าเธออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวเลิกคิ้วแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ... คือ”
“พูดมาเถอะค่ะ” สามินีพูด เธอไม่ชอบให้คนมาอึกอักถ้าจะถามก็รีบถามเลยดีกว่า ไม่ใช่มานั่งจ้องหน้ากันแบบนี้
“พวกเราแค่อยากรู้ว่าระหว่างน้องสากับเอ่อ... หลานชายเถ้าแก่ฮวงเป็นอะไรกันน่ะค่ะ”
สามินีนึกคิดอยู่เพียงครู่ก็ตอบออกมา “หลายชายเถ้าแก่ฮวงใช่หมายถึง คุณจอมพลหรือเปล่าคะ”
“ใช่ ๆ คนนั้นแหละ” ครูรุ่นพี่ที่เอ่ยปากถามพยักหน้ารับและตอบพร้อมกัน
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ แค่คนรู้จักธรรมดา”
“ไม่ได้เป็นแฟนและคนรักใช่ไหมครับ” ครูวิทย์เป็นคนเอ่ยปากถาม
“ค่ะ ไม่ได้เป็นคนรักกัน”
“อืม... แล้วคุณจอมพลเขามีท่าทางที่จะจีบน้องสาบ้างไหมคะ”
ครูวุ้นถามอย่างสงสัย“ไม่รู้สิคะสาไม่ได้สนใจ” สามินีตอบตามความจริง เพราะเธอไม่ได้สนใจว่าจอมพลจะจีบเธอหรือเปล่า
“ดีแล้วล่ะครับ ครูสาต้องระวังตัวมาก ๆ นะครับ พวกเราพูดมากไม่ได้ แต่จะไม่พูดเลยก็ไม่ได้ เอาเป็นว่ารักษาระยะห่างไว้ดีกว่าครับ”
ได้ยินคำพูดเหมือนต้องการเตือนเธอกลาย ๆ น้ำเสียงมีความห่วงใยปะปนมา ก็ทำเอาครูสาวอย่างสามินีขมวดคิ้วมุ่นมองไปทางครูรุ่นพี่อย่างสงสัย แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่จะเปิดปากบอกให้เธอคลายความสงสัยลง
จอมพล ที่ถูกพูดถึงคือชายหนุ่มหน้าตาดี ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ประดับเป็นเอกลักษณ์ เขาเป็นหลานชายของเถ้าแก่ฮวง ที่ถือสัมปทาน
ป่าไม้ที่มีพื้นที่มากที่สุดและเป็นเจ้าของปางไม้ตีตราที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอที่เธออาศัยอยู่ ส่วนตัวของจอมพลก็อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ด้วยเช่นกันแม้สามินีจะยังไม่เคยเห็นปางไม้ที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอที่ครูรุ่นพี่และชาวบ้านพูดกัน แต่เธอก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันคงใหญ่จริง ๆ และต้องมีสัมปทานป่าไม้และปางไม้ตั้งอยู่ที่พื้นที่หมู่บ้านที่เธอเป็นครูประจำแน่ ๆ เพราะไม่อย่างนั้นจอมพลคงไม่มาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านห่างไกลตัวอำเภอแบบนี้
ย้อนกลับมาที่คำตักเตือนของครูรุ่นพี่ที่ทำให้หญิงสาวสงสัย สำหรับคนอื่นเธอไม่ค่อยแน่ใจว่าจอมพลเป็นคนอย่างไร แต่สำหรับเธอเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ถ้าถามว่าเธอรู้สึกชอบหรือรู้สึกพิเศษกับเขาบ้างไหม
หญิงสาวตอบเลยว่าไม่เธอจัดตำแหน่งและความสำคัญของจอมพลไว้เพียงแค่คนรู้จักเท่านั้น ส่วนจอมพลจะจัดให้เธออยู่ในตำแหน่งไหน ก็สุดจะแล้วแต่เขาหญิงสาวไม่ได้สนใจ
“ขอบคุณนะคะเอาเป็นว่าสาจะระวังตัว” หลังจากครุ่นคิดถึงฐานะของจอมพลแล้ว สามินีก็ขอบคุณรุ่นพี่และบอกว่าเธอจะระวังตัวเพื่อให้พวกเขาสบายใจ
หลังจากได้รับคำตอบจากหญิงสาวว่าเธอจะระวังตัวแล้ว ครูรุ่นพี่ทั้งหมดก็หันกลับไปทำงานของตัวเองบ้าง ใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ แน่นอนว่าสามินีก็กลับด้วย
บ้านพักครูที่ถูกจัดตั้งในพื้นที่ของโรงเรียนใช้เวลาไม่นานหญิงสาวก็เดินถึง หลังจากถึงบ้านพักครูของตัวเองแล้ว หญิงสาวก็ทำธุระและเข้านอนตามปกติ ทว่าในหัวก็ยังคงคิดถึงคำเตือนของครูรุ่นพี่ไปพลาง ๆ
ตอนแรกเธอก็ไม่คิดจะใส่ใจ ทว่าพอมีคนเตือนมาก ๆ เข้า หญิงสาวก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้ ว่าเพราะอะไรกันแน่ทุกคนถึงได้พยายามเตือนเธอให้ออกห่างจากผู้ชายที่ชื่อจอมพลคนนั้น แต่ไม่ว่าคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
หญิงสาวจึงได้สลัดความคิดนั้นทิ้ง ก่อนที่เธอจะนอนหลับไป3 เดือนต่อมางานแต่งงานระหว่างร้อยเอกปราบดากับสามินีก็ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายตามความต้องการของเจ้าบ่าวเจ้าสาวบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่นอบอวลเต็มไปหมด แขกที่มาร่วมงานและอวยพรแสดงความยินดีให้คู่บ่าวสาวล้วนมีแต่คนสนิทและเพื่อนเจ้าของงานทั้งสิ้น“เหนื่อยไหมครับ” ผู้กองปราบเอ่ยถามเจ้าสาวของเขา เพราะเธอยืนบนรองเท้าส้นสูงมานานแล้ว“นิดหน่อยค่ะ พี่ปราบล่ะคะเหนื่อยไหม” สามินีตอบก่อนจะถามเขากลับ“ไม่ครับพี่ไม่เหนื่อย สาทนหน่อยนะเดี๋ยวอีกไม่นานก็ถึงฤกษ์ส่งตัวเจ้าสาวเจ้าบ่าวแล้ว ถึงตอนนั้นพี่จะนวดให้สาเอง” ผู้กองปราบพูดส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้จนสามินีต้องส่งค้อนวงโตให้เขา เสียงหัวเราะของสองหนุ่มสาวทำให้แขกในงานเดินเข้ามาหา ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนผู้กองของปราบดาและเพลิงนั่นเองที่มีชื่อว่า ชาติชาย“หัวเราะอะไรเสียงดังเลยครับคุณเพื่อน” เขาเอ่ยทักผู้กองปราบด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งส่งยิ้มล้อเลียนไปให้“คนมีความสุขก็ต้องหัวเราะสิวะ” ผู้กองปราบไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาเขาตอบกลับไปตามปกติ“เดี๋ยวอีกสักพักจะถึงเวลาส่งตัวเข้าหอ หวังว่าเพื่อนปราบจะลงมาปาร์ตีกับพวกเรานะครับ”“เหอะ”“อ๊ะ อ๊
“สาครับพูดกับพี่หน่อยเร็วว่าเป็นอะไร”ผู้กองปราบพูดขึ้นหลังขับรถมาถึงบ้านพักครูของเธอแล้ว ส่วนเจ้าของชื่อก็ยังนั่งนิ่งไม่พูดจา“สาโกรธพี่เหรอครับที่พี่ผิดสัญญา” ผู้กองหนุ่มเอ่ยถามซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวผู้กองปราบถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดต่อว่า“ที่พี่ติดต่อสาไม่ได้ ไม่ได้โทรหาตามสัญญาที่พี่ได้บอกเอาไว้ เพราะว่าเมื่อพี่เข้าป่าสัญญาณโทรศัพท์ก็ขาดหายไปเลย พี่ไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญา พี่อยากโทรหาสาใจแทบขาดแต่พี่ก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่เร่งทำภารกิจให้เสร็จโดยเร็วแล้วรีบกลับมาหาสาอย่างนี้ไงครับ”ผู้กองปราบอธิบายอย่างใจเย็น แค่เขามองหน้าหญิงสาวก็รู้แล้วว่าเธอไม่ได้โกรธเขา เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรถึงได้นั่งเงียบแบบนี้“สา”“สาไม่ได้โกรธ สาแค่เป็นห่วงพี่ปราบเฉย ๆ กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้วค่ะ” สามินีตอบกลับเขาส่งยิ้มบาง ๆ ชายหนุ่มรู้สึกผิดสังเกตจึงลุกขึ้นและเดินไปหาเธอก่อนจะคว้าตัวเธอเข้ามากอด“เป็นอะไรไปครับ ไหนบอกพี่สิคนดี”สามินีเม้มริมฝีปากไม่ยอมพูด เธอเลือกที่จะกอดเขาไว้แน่นซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้ของเขาให้มากที่สุด ผู้กองปราบก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงนั่งกอดและลูบหลังเธอไปมาเ
13:00 น.ร้อยเอกปราบดาก็ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพนักข่าวที่พยายามวิ่งกรูเข้ามาหาเขาหลังจากที่เขาพากองกำลังทหารและผู้ต้องหาทั้งหมดออกมาจากป่าได้ และได้ส่งคนเจ็บทั้งหมดขึ้นรถไปรักษาตัวรวมถึงส่งผู้ต้องหาทั้งหมดขึ้นรถไปยังเรือนจำรอการดำเนินคดีทันทีที่ร้อยเอกปราบดานายทหารหนุ่มเดินแยกตัวออกมาจากกลุ่มรถหลังจากที่สั่งงานต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว กองทัพนักข่าวก็พุ่งเข้าหาเขาทันที“ไม่ทราบว่าเรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไรคะผู้กอง” นักข่าวสาวคนหนึ่งเอ่ยปากถาม“ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมตัวในครั้งนี้จะดำเนินการต่อไปอย่างไรครับ” ไม่ทันที่ผู้กองปราบจะตอบคำถามแรกคำถามที่สองสามสี่ก็ตามมา จนผู้กองหนุ่มต้องยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำถามที่จะออกมาจากปากนักข่าวทั้งหลาย เมื่อเห็นทุกคนเงียบผู้กองหนุ่มจึงได้พูดออกมา“ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจข่าวนี้นะครับแต่ผมยังพูดอะไรมากไม่ได้เนื่องจากมีผลต่อรูปคดี เอาเป็นว่าที่ผมบอกได้ก็คือ ทั้งหลักฐานและพยานเรามีพร้อมเอาผิดแน่นอนครับ จากนี้ก็ให้เป็นเรื่องของกฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ผมทำหน้าที่ของผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอตัวก่อนครับ”พูดจบผู้กองปราบก็เดินหนีออกจากกองทัพนักข่าวทั
“ปิดล้อม!”“หยุด!”“แย่แล้วครับนาย ทหารครับ”“ว่าไงนะ!” นายจอมพลถามเสียงหลงเมื่อลูกน้องของเขาบอกว่ามีทหารล้อมพวกเขาอยู่“ทหารล้อมพวกเราอยู่ครับ”“อะไรวะเนี่ย ฉันไม่สน ยังไงเราต้องฝ่าออกไปให้ได้” นายจอมพลพูดในขณะที่ตัวเขาก็เอนหลังพิงต้นไม้ไว้“ถ้าอย่างนั้นพร้อมนะครับนาย”“อืม ไป!”ปัง ปัง ปังปัง ปัง ปังเสียงปืนดังลั่นสนั่นบริเวณพื้นที่ป่า ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายนายจอมพล อีกฝ่ายคือกองกำลังทหารของร้อยเอกปราบดา“บุก บุก บุก”ปัง ปัง ปังยิ่งได้ฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย เหล่าทหารกล้าทั้งหลายก็โจมตีเข้าไปไม่มีหยุด ทำให้นายจอมพลต้องล่าถอยหลบอยู่หลังเนินดิน ในหัวก็พยายามขบคิดว่า สามารถหนีไปทางไหนได้บ้าง“บ้าเอ๊ย! พวกทหารมันมากันได้ยังไงวะ” นายจอมพลพูดด้วยเสียงที่ไม่พอใจ และกำลังโกรธ“ทางเส้นนี้คือหนึ่งในทางลับที่พวกเราใช้ขนไม้เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบไม่ใช่เหรอ ทำไมมีทหารเข้ามาได้” นายจอมพลพูด ในขณะที่เสียงกระสุนปืนก็ยังสาดใส่กันไม่หยุด“เอายังไงต่อดีครับนายขืนเราอยู่แบบนี้เราไม่รอดแน่” หนึ่งในลูกน้องของนายจอมพลเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด ซึ่งนายจอมพลก็เครียดไม่แพ้กันวันนี้นายจอมพลเข้ามาในป่าเพื่อมาดูไม้ที
“ไม่สบายใจเหรอคะ” หนูนิดมองหญิงสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอที่มีท่าทางเหม่อลอยอย่างเห็นใจ ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปทัก“เอ่อ ค่ะ” สามินีหันไปตอบคนที่เข้ามาทักเธอ ก่อนที่จะยิ้มให้บาง ๆ“เป็นห่วงพี่ปราบเหรอคะ”“!.. ค่ะ” สามินีนิ่งไปก่อนจะยอมรับออกมา เธอเป็นห่วงเขามาก ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงเกิดอะไรขึ้นบ้างเขาจะปลอดภัยไหม“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พี่ปราบต้องปลอดภัยแน่นอน”“แต่นี่มันสามวันแล้วนะคะ” สามินีแย้งแม้ว่าเธอจะย้ำกับตัวเองว่ายังไงซะเขาก็ปลอดภัย แต่ว่าก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้อยู่ดี ยิ่งเขาหายไปสามวันติดต่อไม่ได้แบบนี้เธอยิ่งเป็นห่วงตั้งแต่วันที่ชายหนุ่มพาเธอมาบ้านเดชอนันต์ ตอนนี้ก็ล่วงเข้าสู่วันที่สามแล้ว ที่ชายหนุ่มไปปฏิบัติการจับกุมนายจอมพล เป็นสามวันที่เธอติดต่อเขาไม่ได้เลย!“ใจเย็นก่อนเถอะค่ะ หนูนิดเชื่อว่าพี่ปราบต้องกลับมาอย่างปลอดภัยในเร็ววันนี้แน่นอน” หนูนิดปลอบแม้ว่าเธอจะไม่รู้สถานการณ์ของผู้กองปราบแต่จะให้เธออยู่เฉย ๆ ไม่พูดอะไรกับสามินีเลยก็ไม่ได้สามินีเข้าใจคำพูดของหนูนิด แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดเป็นห่วงเขาได้ ทุกวันทุกคืนเธอได้แต่มองหน้าจอว่าเมื่อไหร่เขาจะโทรเข้ามา จากความ
“เป็นไงครับ อร่อยไหม อาหารถูกปากหรือเปล่า” ผู้กองปราบถามพร้อมมองหญิงสาวด้วยสายตาคาดหวัง“อร่อยค่ะ สาเพิ่งรู้ว่าพี่ปราบทำอาหารอร่อยขนาดนี้ จากนี้ทำให้ทานทุกวันเลยได้ไหมคะ” หญิงสาวตอบในขณะที่ปากยังคงเคี้ยวอาหารที่ชายหนุ่มเป็นคนทำไม่ได้หยุด“ได้จ้ะได้ ขอแค่สาอารมณ์ดีก็พอ” ผู้กองปราบพูดพร้อมยิ้มเอาใจหญิงสาวหลังจากที่สามินีอารมณ์ดีขึ้นไม่โวยวายทุบตีเขาแล้ว ผู้กองปราบก็รีบลงมาทำอาหารให้เธอทานทันที ด้วยรสมือทำอาหารที่ค่อนข้างอร่อยบวกกับความเอาใจใส่ที่เขาแสดงออกมา ทำให้ตอนนี้สามินีหายโกรธชายหนุ่มแล้วหลังจากทานข้าวเสร็จหญิงสาวก็มานั่งลูบท้องที่นูนออกมาของเธอที่โซฟา รอให้ชายหนุ่มเข้ามาพูดคุยถึงสิ่งที่จะทำต่อไป“จุกมากเหรอครับ”“ค่ะ จุกมาก”“จุกเท่าถูกพี่กินหรือเปล่า”“พี่ปราบ!”“ขอโทษครับขอโทษ ไม่โกรธนะครับ ไม่โกรธ พี่แค่ล้อเล่นเองครับ ใจเย็น ๆ นะจ๊ะสาจ๋า” ผู้กองปราบรีบพูดเมื่อถูกหญิงสาวมองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ พร้อมกับยิ้มเอาใจเธอไปด้วย สามินีคร้านจะใส่ใจคนทะลึ่งอย่างเขาจึงได้เปลี่ยนเรื่องคุย“แล้วพี่ปราบจะทำอะไรต่อไปคะ”“ก่อนอื่นพี่ต้องพาสาไปอยู่บ้านเพื่อนพี่ก่อน สาอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย กล