หลังจากกลับมาจากในเมืองหลี่เฟินหนิงก็บอกเล่าถึงสิ่งที่เขาต้องการทำให้กับหวังลี่หมิงฟังทันที
"ข้าคิดจะขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวเหนียวไก่ปิ้งขอรับ" หลี่เฟินหนิงเอ่ยบอกสามี "ข้าวเหนียวหมูปิ้งไก่ปิ้งอย่างนั้นหรือ มันเป็นเช่นไรพี่ไม่เคยเห็น" หวังลี่หมิงเอ่ยถามอย่างสงสัยกับชื่ออาหารแปลกประหลาด "ไว้ข้าจะทำให้ท่านพี่ชิมดูขอรับ" หลี่เฟินหนิงเอ่ยบอกสามี "ได้ แล้วเจ้าจะไปขายเมื่อใด" หวังลี่หมิงเอ่ยถาม "อีกสามวันเตาปิ้งย่างถึงจะเสร็จ ข้าคิดว่าจะไปขายหลังจากนั้นขอรับ ระหว่างนี้ข้าอยากขอให้ท่านพี่ไปตัดต้นไผ่มาทำไม้เสียบหมูให้ข้าได้หรือไม่ขอรับ" หลี่เฟินหนิงคิดว่าเมื่อได้เตามาแล้ววันต่อมาเขาก็จะลองเปิดร้านขายเลย ระหว่างนี้ก็ต้องเตรียมวัสดุอุปกรณ์เสียก่อน "ได้สิ พรุ่งนี้พี่จะไปตัดต้นไผ่มาทำให้เจ้า" เขาต้องตามใจภรรยาอยู่แล้ว ไม่ว่าหลี่เฟินหนิงจะให้เขาทำสิ่งใดเขาก็ยินดีที่จะทำให้ "ขอบคุณท่านพี่ขอรับ" หลี่เฟินหนิงคลี่ยิ้มให้สามี "เป็นพี่มากกว่าที่ต้องขอบคุณที่เจ้ายอมรับและไม่รังเกียจคนอัปลักษณ์เช่นพี่" นอกจากภรรยาคนนี้แล้วตอนนี้เขาไม่มีคนอื่นที่เป็นครอบครัวอีก และเขาสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะรักษาคนในครอบครัวคนเดียวนี้ไว้อย่างดีที่สุด "ท่านพี่ คนเราทุกคนล้วนมีข้อบกพร่องในตนเอง สัญญากับข้าได้หรือไม่ แม้ว่าผู้ใดจะดูถูกท่าน ว่าท่านอัปลักษณ์หรือไร้ค่าเพียงใดท่านจะไม่ดูถูกตัวเอง" หลี่เฟินหนิงพูดพร้อมกับกุมมือคนโตกว่าไว้ หวังลี่หมิงมองดวงตาของภรรยาในดวงตานั้นมีแต่ความเป็นห่วงและหวังดี ฉับพลันเขารู้สึกใจเต้นระรัวจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมา "พี่สัญญา" หวังลี่หมิงตอบกลับพร้อมกับกุมมือภรรยาไว้แน่น แค่มีภรรยาคนนี้เขาไม่ต้องสนใจคำพูดของผู้ใด คนอื่นจะคิดเยี่ยงไรก็ช่างสิ ขอแค่ภรรยาคนนี้ไม่รังเกียจเขาก็พอ ณ บ้านตระกูลหลี่ "ท่านย่าเจ้าคะ" หลี่เจี่ยอิงเดินเข้ามานั่งใกล้นางซูฮวาผู้เป็นย่าที่ตอนนี้นั่งอยู่กับทุกคน "มีอันใดหรือหลานย่า" นางซูฮวาเอ่ยถามหลานรักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "วันนี้ข้าเข้าเมืองมาเจอไอ้เกอหลี่เฟินหนิงด้วยเจ้าค่ะ มันกับสามีของมันแต่งตัวด้วยผ้าไหมอย่างดีอีกทั้งยังซื้อของตั้งมากมายด้วยนะเจ้าคะ" หลี่เจี่ยอิงรีบเอ่ยฟ้องทันที ยามที่เห็นไอ้เกอนอกคอกนั่นแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าดูดีในใจนางรู้สึกไม่ยินยอมยิ่งนัก "จริงรึ" นางซูฮวาเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไอ้เกอนั่นน่ะเหรอจะมีเงินมีทองซื้อของมาใช้ มิใช่ว่ามันแต่งออกไปกับไอ้อัปลักษณ์ยากจนที่อาศัยอยู่ท้ายหมู่บ้านหรอกหรือ "จริงๆ เจ้าค่ะท่านย่า ข้าเห็นมากับตาเลย มันมากับสามีอัปลักษณ์ของมันซื้อของเสียจนเต็มเกวียนเล่มใหญ่" หลี่เจี่ยอิงรีบเอ่ยยืนยัน "หรือที่ชาวบ้านว่ามันซื้อเกวียนจะเป็นเรื่องจริง" นางไป๋ฮวาเอ่ยขึ้น "ซื้อเกวียนเลยรึ" นางซูฮวาถามอย่างตกใจเสียยิ่งกว่าตอนได้ยินว่าหลี่เฟินหนิงแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมชั้นดีเสียอีก "ใช่เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าได้ยินชาวบ้านว่ามันกับสามีซื้อเกวียนเล่มใหญ่ แถวตัวเกวียนยังดูดีเยี่ยงกับรถม้าของขุนน้ำขุนนาง เสียเพียงแต่ว่ามันเป็นเกวียนแค่นั้น" นางไป๋ฮวาเอ่ยบอกแม่สามี "ข้าเองก็เคยให้เกวียนลักษณะดังที่ท่านแม่ว่าวิ่งออกจากหมู่บ้านเราเช่นกันขอรับท่านย่า" หลี่อู๋เจี๋ยเอ่ยสมทบ "มันมีเงินมากขนาดนั้นเลยรึถึงสามารถซื้อเกวียนเล่มใหญ่และดูดีได้" นางซูฮวาเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย "ท่านแม่ถ้ามันมีเงินมากขนาดนั้นเหตุใดมันถึงมินำมาปันให้พวกเราบ้าง" หลี่เหลียนเจี๋ยเอ่ยบอกอย่างไม่พอใจ "จริงเจ้าค่ะท่านย่า ดูพวกเราสิเจ้าคะได้ใส่เพียงผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ อย่างดีสุดก็ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดถึงกระนั้นก็มีคนละไม่เกินสามชุด แต่ไอ้เกอนั่นกลับได้ใส่ผ้าไหมชั้นดี" หลี่เจี่ยอิงพูดอย่างไม่ยินยอม เหตุใดนางจะต้องด้อยกว่าไอ้เกอนอกคอกนั่น "จริงอย่างที่อิงเออร์พูดนะเจ้าคะท่านแม่ อีกอย่างอู๋เจี๋ยก็กำลังเรียนอยู่ถ้าไอ้เกอนั่นให้เงินเราบ้างเราก็จะได้ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องค่าเล่าเรียนอีก" นางไป๋ฮวารีบส่งเสริมสามีและบุตรสาวทันที "นั่นสินะ ข้ารึอุตส่าห์เลี้ยงลูกของไอ้นายโลมแพศยานั่นมาจนโต ถ้าแม่มันไม่มายุ่งกับลูกชายข้าอาตงก็คงยังไม่ตาย" นางซูฮวาพูดอย่างเจ็บแค้น นางซูฮวาเกลียดมารดาของหลี่เฟินหนิงมากด้วยนางคิดว่ามารดาของหลี่เฟินหนิงเป็นนายโลมที่มาจับลูกชายตนจึงพาลให้เกลียดหลี่เฟินหนิงด้วย ยิ่งลูกชายคนรองกับภรรยาเสียชีวิตพร้อมกันยิ่งเพิ่มพูนความเกลียดชัง นางคิดว่ามารดาของหลี่เฟินหนิงเป็นสาเหตุทำให้บุตรชายคนรองรองของางตายไป โดยนางไม่รู้เลยว่าสาเหตุนั้นมันมาความอิจฉาริษยาของคนในครอบครัวกันเอง "จริงเจ้าค่ะท่านแม่ ตั้งแต่น้องสามีกับแม่มันตายเราก็เลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำมันกว่าจะโต ไม่รู้ว่าหมดเงินหมดข้าวสารไปเท่าไหร่" นางไป๋ฮวาได้จังหวะก็รีบเอ่ยยุแยงทันที นางไม่มีวันให้ลูกของสองคนนั่นได้ดีกว่าลูกตนอย่างแน่นอน "แต่เรามีหนังสือสัญญาตัดขาดอยู่นะขอรับ" หลี่อู๋เจี๋ยเอ่ยอย่างกังวล "มีแล้วอย่างไร ยังไงมันก็ควรแสดงความกตัญญูต่อคนที่ให้ข้าวให้น้ำมันกิน" นางไป๋ฮวารีบพูดสวนขึ้นทันที บ้านหลี่กำลังคิดจะทำการสิ่งใดนั้นมิมีผู้ใดรู้ ยิ่งสองสามีภรรยาที่ตอนนี้กำลังช่วยกันทำงาน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน หวังลี่หมิงเหลาไม้ไผ่ตามที่ภรรยาบอก ส่วนหลี่เฟินหนิงนั่งเขียนสูตรหมูปิ้ง ไก่ปิ้งที่จะขาย เสร็จแล้วก็ลงมือหมักหมูที่จะทำหมูปิ้งทดลองให้สามีชิม หลี่เฟินหนิงนำเนื้อหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่ไว้ในชาม ปรุงรสด้วย ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำหวานเล็กน้อย เกลือ กะทิ แป้งมัน สามเกลอ คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้สักหนึ่งชั่วยามก่อนจะออกไปดูสามีว่าเหลาไม้ถึงไหนแล้ว "ท่านพี่" หลี่เฟินหนิงเอ่ยเรียกสามี "หืม มีอันใดหรือหนิงเออร์" หวังลี่หมิงเอ่ยถาม "มิมีอันใดขอรับ ข้าเพียงจะมาดูว่าท่านเหลาไม้ไปถึงไหนแล้ว" หลี่เฟินหนิงเอ่ยตอบ "เท่านี้พอหรือไม่" หวังลี่หมิงชี้ไปที่กองไม้ที่เขาเหลาไว้ ดูคร่าวๆน่าจะได้สักร้อยอันได้ "พอแล้วขอรับ ท่านพี่พักดื่มน้ำก่อนนะขอรับ" หลี่เฟินหนิงเอ่ยบอกสามีพร้อมกับเดินไปหยิบน้ำมาให้ "ขอบใจ" หวังลี่หมิงยกน้ำขึ้นดื่มทันที ก่อนจะเอ่ยถามภรรยาต่อ "เจ้ามีสิ่งใดให้พี่ทำอีกหรือไม่" "ข้าอยากได้ที่ดินบริเวณบ้านของเราขอรับ" หลี่เฟินหนิงเอ่ยตอบ "ได้ เจ้าต้องการเท่าใด" หวังลี่หมิงไม่คิดจะขัดภรรยาเช่นเคย "ทัังหมดยาวไปจนถึงเขาลูกนู้นขอรับ" หลี่เฟินหนิงชี้ให้สามีดู "เจ้าจะเอาที่ดินไปทำอันใดตั้งมากมาย" หวังลี่หมิงเอ่ยถามอย่างสงสัย "ข้าจะเอามาปลูกผักกับข้าวขอรับ ท่านพี่ถ้าข้านำแต่ของในมิติออกมาใช้เกรงว่าผู้คนจะสงสัยเอาได้ จะไปซื้อก็ราคาแพงยิ่งนัก" เขาไม่ได้คิดจะเอาของในมิติออกมาใช้ตลอดหรอกนะ "พี่เข้าใจแล้ว เดี๋ยวพี่ไปแจ้งผู้นำหมู่บ้านให้" หวังลี่หมิงเห็นด้วยกับภรรยา หากมีคนรู้เรื่องมิติย่อมเป็นอันตรายต่อภรรยาของเขาเป็นแน่ "ขอบคุณท่านพี่ขอรับ" "เรื่องแค่นี้เจ้ามิจำเป็นต้องขอบคุณ งั้นพี่เก็บพวกเศษไม้นี่สักครู่แล้วเดี๋ยวจะไปแจ้งท่านผู้นำให้" หวังลี่หมิงเอ่ยบอกพร้อมกับลูบหัวภรรยา "ขอรับ" หลี่เฟินหนิงที่ถูกสามีลูบหัวก็ก้มหน้าด้วยความเขินอาย สร้างความเอ็นดูให้แก่หวังลี่หมิงยิ่งนัก ภาพของคนสองคนกำลังแสดงความรักต่อกันสร้างความไม่พอใจให้แก่หวังม่งสือยิ่งนัก มือแกร่งได้แต่กำหมัดอย่างเจ็บใจ ดวงตาจ้องเขม็งไปยังผู้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นน้องชายอย่างเกลียดชัง "ทำไมต้องเป็นไอ้อัปลักษณ์อย่างแกที่ได้คนงามอย่างหนิงเออร์ไปครอง "  เจอคำผิดส่วนไหนโปรดคอมเม้นท์บอกด้วยนะคะเฝิงลี่หมิงกับเซียวเฟินหนิงถูกพามาที่ตำหนักเยว่ซินที่ฮ่องเต้ได้พระราชทานให้ ตัวตำหนักค่อนข้างกว้างขวางกว่าตำหนักของเหล่าสนมเสียอีก ภายในประดับด้วยของล้ำค่างดงามวิจิตร ภายนอกร่มรื่นด้วยไม้นานาพันธุ์และหลากสีสันด้วยดอกไม้หากยาก อีกทั้งมีลำธารน้ำจำลองพร้อมกับสะพานข้ามเล็กๆอยู่ นับว่าเป็นตำหนักที่งดงามมากเลยทีเดียว หน้าตำหนักมีนางกำนัลที่รอรับใช้อยู่"ถึงแล้วพะยะค่ะ" หลีกงกงเอ่ยบอก"ขอบใจหลีกงกง" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอก"เป็นหน้าที่ของกะหม่อม พวกเจ้าดูแลองค์ชายและท่านชายให้ดี" หลีกงกงหันไปสั่งนางกำนัลทั้งสองคน"เจ้าค่ะ""องค์ชายหก ท่านชายเฝิง กระหม่อมขอตัวลา" หลีกงกงคำนับก่อนจะเดินออกไปจากตำหนัก"ถวายพระพรองค์ชายหก ท่านชายเฝิงเพคะ" นางกำนัลทั้งสองคนย่อคุกเข่าหนึ่งข้างเป็นการเคารพเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์"พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอก"ขอบพระทัยองค์ชายหก" นางกำนัลทั้งสองคนยืนขึ้นประสานมือไว้ด้านหน้าและก้มหน้าเล็กน้อย"พวกเจ้ามีชื่อว่าอันใดหรือ" เซียวเฟินหนิงเอ่ยถาม"ทูลองค์ชาย หม่อมฉันเจียวหลินเพคะ""หม่อมฉัน เจียวเจียวเพคะ""อ้อ" เซียวเฟินหนิงมองหน้าสามีเพราะไม่รู้ว่าต้องทำ
"ท่านเจ้าเมืองมาพอดี สามีภรรยาสองคนนี้มาขัดขวางไม่ให้ข้านำบุตรสาวไปให้ท่านขอรับ" ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างนอบน้อม ท่านเจ้าเมืองหันไปมองทางด้านสองสามีภรรยาก็ต้องตกตะลึง ใบหน้างดงามนี่คืออันใดกัน เทพเซียนมาลงมาจากสวรรค์หรือ"เจ้าสนใจมาเป็นฮูหยินรองของข้าหรือไม่" เจ้าเมืองซานหลีใช้สายตาแทะโลมอย่างไม่ปิดปัง เฝิงลี่หมิงถึงกับกัดฟันกรอด"อย่ามายุ่งกับภรรยาข้า!" เฝิงลี่หมิงดึงภรรยามาหลบด้านหลังก่อนจะตวาดลั่นดวงตาจ้องเขม็งไปที่ชายตรงหน้าราวกับจะฆ่าทิ้งเสีย"เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้างั้นรึ! พวกเจ้าสั่งสอนมันเสียแล้วนำเกอผู้นั้นมาให้ข้า" เจ้าเมืองซานหลีหันไปสั่งมือปราบ เซียวเฟินหนิงถึงกับขมวดคิ้ว ไอ้แก่บ้ากามนี่มันถึงกับกล้าคิดจะฉุดภรรยาผู้อื่นต่อหน้าคนมากมายเชียวหรือ"หยุด! ท่านเจ้าเมือง นั่นภรรยาผู้อื่นนะขอรับ ท่านจะฉุดพรากภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ไม่ได้!" นายอำเภอที่เหมือนจะหมดความอดทนกับเหตุการณ์เหล่านี้เอ่ยขึ้น"เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า! จัดการมัน" เจ้าเมืองซานหลีเอ่ยเหล่ามือปราบก็ตรงมาหาสองสามีภรรยาทันที"ท่านพี่ ดูเหมือนว่าเมืองซานหลีต้องการเจ้าเมืองใหม่เสียแล้ว" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอกสามี"พี่ก็ค
เพราะต้องอัญเชิญป้ายวิญญาณของมารดาและบิดาของเซียวเฟินหนิงไปที่เมืองหลวงสองสามีภรรยาจึงต้องจัดแบ่งงานให้กับคนงานอย่างชัดเจน ตอนนี้พวกเขารับคนในหมู่บ้านให้มาทำงานเพิ่มแล้วรวมถึงบิดาบุญธรรมอย่างท่านเจ้าเมืองก็สั่งให้คนมาคอยดูแลระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่"ระหว่างที่พวกข้าไม่อยู่ก็ให้พวกท่านก็ทำตามที่ข้าแบ่งหน้าที่ไว้ให้นะขอรับ" เฝิงลี่หมิงแม้จะได้รับบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายแต่เขาก็ยังคงพูดจานอบน้อมเช่นเดิม"การไปเมืองหลวงครั้งนี้อาจใช้เวลาร่วมเดือนหากพวกท่านมีปัญหาอันใดให้แจ้งกับท่านลุงเมิ่งได้เลยนะขอรับ เขาจะเป็นผู้ดูแลพวกท่านระหว่างที่ข้ากับท่านพี่ไม่อยู่" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอกแก่คนงาน "พะยะค่ะ" เหล่าคนงานเอ่ยรับมองดูเจ้านายทั้งสองด้วยสายตาที่ชื่นชม ดูสิจากเด็กน้อยที่ถูกครอบครัวขับไล่ออกจากตระกูลมาวันนี้ได้เป็นท่านชายองค์ชายเสียแล้ว ณ จวนเจ้าเมืองซานหลางเฝิงลี่หมิงกับเซียวเฟินหนิงอยู่ในชุดสีขาวจากผ้าไหมชั้นดีดูงดงามและสูงศักดิ์ปักลวดลายด้วยดิ้นเงิน เฝิงลี่หมิงสวมใส่หน้ากากครึ่งใบหน้าสีเงินที่ชินอ๋องประทานให้ยิ่งทำให้ดูสง่างามลึกลับน่าค้นหา ทั้งสองแม้อยากจะคุกเข่าคำนับลาบิดามารดาบุญธรรมเม
"บังอาจ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาชี้หน้าชินอ๋อง!! " เสียงขององครักษ์ประจำตัวชินอ๋องประกาศกร้าวสร้างความตกใจให้กับทุกคนที่พากันมาชมเหตุการณ์เมื่อรู้ว่าบุรุษที่มากับท่านเจ้าเมืองนั้นเป็นผู้ใด"กะ โกหก ชินอ๋องจะมาทำอะไรที่นี่และคงไม่แต่งงานธรรมดาเช่นนี้ เจ้าอย่ามาแอบบอ้าง" หลี่อู๋เจี๋ยพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อแม่ว่าชาสั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้วก็ตาม ชินอ๋องยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกับม้วนกระดาษที่มีตรามังกรปิดผนึกอยู่"ฝ่าบาทมีราชโองการ พวกเจ้าคุกเข่าลง! " ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็พากันคุกเข่าลงทั้งสองข้าง"หลี่เฟินหนิงรับราชโองการ ทางราชสำนักสืบทราบมาว่า ฮูหยินน้อยเฝิง หลี่เฟินหนิง เป็นบุตรขององค์ชายรอง เซียวเฟยเยี่ยน ที่หายสาบสูญไปจึงนับว่ามีสายเลือดราชวงศ์ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งแต่งตั้งหลี่เฟินหนิงเป็น องค์ชายหกหลี่เฟินหนิง สามารถใช้แซ่เซียวได้ตามมารดาโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสกุลเดิม พระราชทานผ้าไหมชั้นดี 20 หีบ ผ้าไหมปักดิ้นทอง 10 หีบ ไข่มุก สวรรค์ 10 หีบ ไข่มุกนิลกาฬ 20 หีบ เครื่องเพชร 5 หีบ ปิ่นทองคำแท้ 5 หีบ ปิ่นทองคำแท้ลวดลายหงส์ 1 หีบ เงินจำนวน 100,000 ตำลึงทอง คุณชายเฝ
ตำหนักชินอ๋องย้อนกลับไปก่อนฤดูหนาวจะมาเยือนจดหมายถึง ชินอ๋องเซียวเฟยเทียนถวายพระพรชินอ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าเมืองซานหลางให้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงพระองค์ เมื่อไม่นานมานี้ท่านเจ้าเมืองได้ถูกผู้ไม่ประสงค์ดีลอบทำร้ายแต่ได้มีบุรุษผู้หนึ่งให้ความช่วยเหลือ บุรุษผู้นั้นมีจุดเด่นคือปานสีดำขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้าด้านขวาคราแรกท่านเจ้าเมืองเพียงรู้สึกซาบซึ้งใจจึงเชิญให้ชายผู้นั้นมาพบที่จวนเพื่อตอบแทนแต่ภายหลังฮูหยินเฝิงรู้สึกถูกชะตาทั้งยังเห็นใจที่สองสามีภรรยาถูกครอบครัวรังแกจึงรับชายผู้นั้นเป็นบุตรบุญธรรม ชายผู้นั้นมีภรรยาเป็นเกอคราเเรกที่ท่านเจ้าเมืองและฮูหยินได้พบใบหน้าของภรรยาชายผู้นั้นทั้งสองรู้สึกคุ้นเคยใบหน้านั้นจึงรีบให้กระหม่อมเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งถึงพระองค์ เกอผู้นั้นมีนามว่า หลี่เฟินหนิง บิดามีนามว่า หลี่อู๋ซิน ส่วนมารดามีนามว่า เซียวเฟยเยี่ยน เกอผู้นั้นบอกว่าบิดามารดาของตนได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ตนเพิ่งมีอายุเพียงเก้าหนาว ที่สำคัญคือเกอผู้นั้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับองค์ชายรองถึงแปดส่วน ท่านเจ้าเมืองให้กระหม่อมบอกแก่ท่านอ๋องว่าหากต้องการมาพบเกอผู้นี้ก็ให้รอฤดูหนาวผ่านพ้
การแจกจ่ายอาหารจากสองสามีภรรยายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าหิมะจะตกลงมาอีกครั้ง ซึ่งวันนี้เองก็เช่นกัน เพียงแต่วันนี้เขาเห็นว่าดูเหมือนจะมีชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นมาด้วยหลี่เฟินหนิงจึงเดินเข้าไปสอบถามกลุ่มชาวบ้านที่เพิ่งลงมาจากเกวียน"พวกท่านมาทำอันใดกันหรือขอรับ" หลี่เฟินหนิงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ สายตากวาดดูชาวบ้านราวๆ 30 กว่าคนกับเกวียนสี่เล่มมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่"พวกเราได้ยินมาว่าหมู่บ้านนี้แจกจ่ายอาหาร พวกเราจึงรวมเงินกันจ้างเกวียนเพื่อมาดูเจ้าค่ะว่าพอจะมีอาหารปันให้พวกเราบ้างไหม" สตรีวัยกลางคนถามอย่างกล้าๆกลัวๆ พวกเธอเป็นคนต่างหมู่บ้านไม่รู้ว่าจะได้รับอาหารที่แจกหรือไม่แต่นี่เป็นทางรอดระหว่างรอความช่วยเหลือจากทางการผู้ใหญ่นั้นยังพออดทนได้แต่เด็กและคนแก่นี่สิ"พวกท่านมาจากต่างหมู่บ้านกันหรือขอรับ แล้วเดินทางมาไกลหรือไม่" หลี่เฟินหนิงเอ่ยถาม"ใช่เจ้าค่ะ หมู่บ้านของพวกเราอยู่ห่างไป 10 ลี้ลึกเข้าไปในหุบเขาทำให้การช่วยเหลือจากทางการมาช้ากว่าหมู่บ้านอื่น" สตรีวัยกลางคนอีกคนตอบ"ไกลอยู่นะขอรับ แล้วพวกท่านทราบได้อย่างไรขอรับว่าที่นี่มีอาหารแจกชาวบ้าน" "มีคนจากหมู่บ้านนี้นำอาหารไปให้ญาติที
เฝิงลี่หมิงกับหลี่เฟินหนิงพากันเดินเท้ามาที่บ้านของผู้นำหมู่บ้าน ระหว่างทางก็ได้เห็นชาวบ้านที่เริ่มออกมากวาดหิมะและพูดคุยกัน ชาวบ้านหลายคนต่างมองว่าสองสามีภรรยานั้นจะเดินไปที่ใด เมื่อเห็นว่าทั้งสองไปหยุดที่หน้าบ้านของผู้นำหมู่บ้านก็หันมาพูดคุยเรื่องอื่นต่อ ผู้ใดจะกล้าไปยุ่งเรื่องของบุตรบุญธรรมของท่านเจ้าเมืองกันเล่า"คาระวะท่านป้าจาง ท่านลุงจางอยู่หรือไม่ขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยถามนางจางเหม่ยที่กำลังกวาดหิมะอยู่ลานหน้าบ้าน"อยู่ๆ เจ้าสองคนมีธุระอันใดเล่า" นางจางเหว่ยที่ตอนนี้เปลี่ยนท่าทีต่างจากเมื่อก่อนจนสองสามีภรรยาได้แต่แปลก"ข้ากับภรรยาจะมาพูดคุยเรื่องทำอาหารแจกชาวบ้านน่ะขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยตอบ"เช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้ามาพูดคุยกันในบ้านเถิด อากาศข้างนอกหนาวเย็นประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา" นางจางเหว่ยรีบเชิญทั้งสองคนเข้ามาบ้านทันที"อ้าวลี่หมิง เฟินหนิง เจ้าสองคนมีอันใดหรือ" เมื่อเข้ามาในบ้านก็พบกับจางเหว่ย"คาระวะท่านลุงจางขอรับ" สองสามีทำการคำนับผู้อาวุโสกว่าทันที"ที่ข้าสองคนมาวันนี้เพราะมีเรื่องให้ท่านลุงจางช่วยขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยบอก"เรื่องอันใดรึ" จางเหว่ยถามอย่างสงสัย ยังมีเรื่อง
"ไอ้ลูกอกตัญญู หากเจ้าไม่ยอมให้เงินและสะเบียงกับพวกข้าเช่นนั้นเจ้าก็มิต้องใช้แซ่หวังอีก" หวังหยวนคุนพูดอย่างโมโห"บุตรชายของข้าคงไม่กล้าใช้แซ่หวังอันสูงส่งของเจ้าหรอก" เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองพบเป็นบุรุษวัยกลางคนแต่งกายด้วยผ้าไหมชั้นดีดูภูมิฐาน เมื่อผู้นำหมู่บ้านเห็นว่าเป็นผู้ใดก็รีบทำการคำนับทันที"ข้าน้อย จางเหว่ย ผู้นำหมู่บ้านเซียนซาน คาระวะท่านเจ้าเมืองขอรับ" "ตามสบายเถิดท่านผู้นำจาง" เฝิงคงหรันพูดอย่างเป็นกันเอง เหล่าชาวบ้านเมื่อทราบว่าผู้ที่มาเป็นใครก็ต่างพากันตกใจและสงสัยว่าเหตุใดท่านเจ้าเมืองถึงมาอยู่ที่นี่"คาระวะท่านพ่อขอรับ" เฝิงลี่หมิงกับหลี่เฟินหนิงทำการคำนับบุรุษผู้น่าเกรงขาม คำที่ใช้เรียกยิ่งสร้างความตกใจตะลึงให้แก่ชาวบ้านและครอบครัสตระกูลหวัง"ท่านพ่องั้นหรือ""เหตุใดทั้งสองถึงเรียกท่านเจ้าเมืองว่าท่านพ่อเล่า""ท่านพ่อมีธุระอันใดหรือขอรับถึงได้มาถึงที่นี่" เฝิงลี่หมิงไม่ได้สนใจเสียงซุบซิบของชาวบ้านแต่อย่างใด เขาเอ่ยถามธุระของพ่อบุญธรรมทันที"มารดาของเจ้าให้พ่อมาดูว่าบ้านของเจ้าเป็นเช่นไร ฤดูหนาวนี้จะอยู่ได้หรือไม่นางเป็นห่วงเกรงว่าเจ้ากับสะใภ้จะลำบาก" เ
เมื่อฤดูหนาวมาถึงการเก็บเกี่ยวก็เสร็จสิ้นพอดีตอนนี้สองสามีภรรยากำลังจ่ายค่าแรงวันสุดท้ายให้กับเหล่าคนงานก่อนที่หิมะเเรกจะมาเยือน เหล่าคนงานต่างพากันเหงาหงอยเพราะคิดว่าพวกเขาจะไม่ถูกจ้างอีกเลยแต่ก็เข้าใจเพราะที่ผ่านมารายได้จากการทำงานที่นี่ทำให้ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้ลำบาก"ท่านใดรับเงินไปแล้วรอสักครู่นะขอรับ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับพวกท่าน" เฝิงลี่หมิงเอ่ยบอกคนงานก่อนที่พวกเขาจะเดินกลับไป คนงานจึงอยู่รอฟังและได้แต่หวังว่าสองสามีภรรยาจะบอกว่าจะจ้างพวกเขาหลังจากฤดูหนาวผ่านพ้นไป เพื่อจ่ายค่าแรงให้คนงานครบทุกคนเฝิงลี่หมิงจึงพูดขึ้น"ทุกท่านครับ ข้ารู้ว่าทุกท่านกำลังกังวลว่าข้ากับภรรยาจะเลิกจ้างพวกท่านข้าจึงอยากอธิบายว่าข้าจะหยุดจ้างงานแค่ช่วงฤดูหนาวเท่านั้นขอรับ เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไปข้าจะให้ทุกท่านกลับมาทำงานอีกครั้ง" สิ้นประโยคเหล่าคนงานก็ต่างส่งเสียงเฮด้วยความดีใจที่พวกเขายังจะได้ทำงานกับนายจ้างดีๆเช่นนี้"เรื่องต่อไปคือข้าอยากจะขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจทำงานให้ข้า""เจ้าไม่ต้องขอบใจพวกข้าหรอกหวังลี่หมิง ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณพวกเจ้าสองคนที่ให้งานพวกข้าอีกทั้งยังเลี้ยงอาหารดีๆให้พวกข้าไ