LOGINค่ำคืนนั้นวังทั้งวังเหมือนกลายเป็นทะเลสาบแข็ง ไม่มีลม ไม่มีเสียงก้าวเท้าเพียงเสียงพู่กันของเธอที่ลากผ่านแผ่นผ้าไหมทีละเส้น
อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัว เปลวเทียนส่องแสงอุ่นที่ปลายโต๊ะ กลีบเหมยขาวหล่นหนึ่งกลีบ วางอยู่ข้างถ้วยชาเย็นชืด [บันทึกภารกิจ: ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเป้าหมาย “จักรพรรดิอวี้เหยียน”] [อัตราความสับสนทางอารมณ์: 47%] [สถานะ: ไม่คงที่] เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นเหมือนเคย แต่ในความปกตินั้น มีบางอย่างแปลกไป...เล็กน้อยเกินจะบอกได้ “เสี่ยวหลิง” ซินเยว่วางพู่กันลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเลขนี้ถูกต้อง?” [ข้อมูลจากระบบวัดโดยตรง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสงสัยความแม่นยำ] น้ำเสียงมันเหมือนเดิมแต่มี โทนสูงขึ้นครึ่งจังหวะ ตอนพูดคำว่า “สงสัย” เธอขมวดคิ้วบาง ๆ “แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าระดับของเขาไม่เกินสามสิบห้า” [ฐานข้อมูลอัปเดตอัตโนมัติ...ตามพฤติกรรมล่าสุดของเป้าหมาย] “ล่าสุด?” เธอพึมพำ “หมายถึง...วันนี้?” [ยามเที่ยง วันนี้...ฝ่าบาททอดพระเนตรภาพเหมยขาวในแจกันระดับอารมณ์แปรปรวนขึ้นสิบสองเปอร์เซ็นต์] "ภาพเหมยขาว?” เธอก้มมองแจกันตรงหน้า กลีบดอกที่ร่วงจากกิ่งนั้นมีอยู่แค่หนึ่งกลีบ [ระบบบันทึกภาพความทรงจำของเป้าหมายไว้ทั้งหมด] [ระบบ...เคยเห็นภาพเหมยขาวดอกนั้น...เมื่อนานมาแล้ว] อวิ๋นซินเยว่ชะงัก มือที่ถือถ้วยชาชะลอ “ว่าอย่างไรนะ เสี่ยวหลิง?” [...ข้าจำไม่ได้...แต่เคยเห็นดอกนั้นตอนฝ่าบาทยังเป็นเด็ก...] เสียงขาดห้วงเล็กน้อย เหมือนมีใครปิดไมค์กะทันหัน อวิ๋นซินเยว่ขมวดคิ้ว “เด็ก? เจ้าหมายถึง..เจ้ารู้จักฝ่าบาทตั้งแต่ก่อนจะมารับภารกิจนี้?” [ระบบ...ไม่แน่ใจ...] [ระบบรุ่นก่อน...อาจมีข้อมูลเกี่ยวข้องกับ...รัชทายาทองค์สิบสี่...] “รัชทายาท...องค์สิบสี่?” เธอทวนเสียงเบา หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล เสี่ยวหลิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเสียงจะแผ่วลง เหมือนกำลังพูดกับตัวเองมากกว่าคุยกับเธอ [ตอนนั้น...เขาหนาวมาก...] [ข้า...จำได้ว่าเขายื่นผ้าคลุมให้] [แล้วพูดว่า...‘ถ้าเจ้าไม่มีหัวใจ ก็ยืมหัวใจข้าไว้ก่อน’...] ถ้วยชาในมือเธอสั่นจนเสียงกระทบจานดังแกร๊ก เธอเงยหน้าขึ้น เทียนสั่นไหวแรงโดยไม่มีลม เงาในห้องเริ่มขยับราวมีสิ่งอื่นซ่อนอยู่ในมุมมืด “เสี่ยวหลิง...” เธอกระซิบ “เจ้า...เป็นใครกันแน่” [...ระบบ...] เสียงตอบช้าลงเรื่อย ๆ [ข้อมูล—ถูกล็อก—คำสั่งความทรงจำ—ห้ามเข้าถึง...] [ขอโทษ...ผู้ใช้...ข้า...] เสียงขาดไปกลางประโยค เทียนดับทุกอย่างเงียบสนิท ในความมืด อวิ๋นซินเยว่ยกมือแตะขมับ เหงื่อเย็นซึมทั่วฝ่ามือ “เสี่ยวหลิง?” ไม่มีเสียงตอบ ครั้งแรกนับตั้งแต่มันปรากฏตัวในชีวิตเธอ..เธอได้ยิน ความเงียบจริง ๆ ....... ภายนอกตำหนัก ลมหนาวพัดเฉียดหน้าต่าง เสียงไม้ลั่นดังเบา ๆแต่ในความเงียบนั้น เธอสาบานได้ว่า...ได้ยินเสียงแผ่วจากในหัวไม่แน่ว่ามาจากความฝันหรืออะไรอื่น “...อย่าบอกใครว่าเจ้าได้ยินประโยคนี้...” เทียนเล่มใหม่ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เปลวไฟไหวแรงกว่าปกติ คล้ายสะท้อนลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอของเธอ “เสี่ยวหลิง...” ซินเยว่วางมือลงบนโต๊ะเบา ๆ “เมื่อครู่เจ้าหมายถึงอะไร ที่บอกว่า ‘ฝ่าบาทเคยร้องไห้’?” เงียบไปหนึ่งอึดใจ ก่อนเสียงมันจะดังขึ้นอีกครั้ง [ข้อมูล...ไม่อยู่ในฐานข้อมูลภารกิจ] “แต่มันอยู่ใน ‘ความทรงจำ’ ของเจ้า ใช่ไหม?” เสียงระบบนิ่งเงียบไปแล้วตอบช้าลงราวกับลังเล [ไม่ทราบ...ระบบไม่ควรมีความทรงจำ] [แต่...ภาพนั้น...ชัดเจนมาก...] เสียงสุดท้ายแผ่วจนเกือบไม่ใช่เสียงเครื่องจักรอีกต่อไป เหมือนเสียงเด็กชายที่กำลังกลัว [เขา...ยืนอยู่ในห้องมืด ข้างนอกหิมะตก] [ไม่มีใครเรียกชื่อเขาเลย] [ข้าจำได้ว่า...ข้าอยากให้เขาหันมาหา] “เสี่ยวหลิง...” ซินเยว่เอ่ยเสียงแผ่ว เหมือนพูดกับเด็กจริง ๆ “เจ้ารู้จักเขามานานแค่ไหนกันแน่” [ไม่รู้...] [ข้าแค่รู้ว่า...ตอนที่เจ้าแตะพระหัตถ์ของเขาในวันนั้น...มันเหมือนเขาอ่อนโยนขึ้น] เสียงนั้นเงียบไปอีกครั้ง แล้วแสงสีฟ้าเรืองจาง ๆ ปรากฏตรงกลางห้อง เพียงแวบเดียวเท่านั้น ก่อนหายไป เธออ้าปากจะถาม แต่ทันใดนั้น เสียงของเสี่ยวหลิงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเสียงระบบอีกต่อไป เหมือน “ใครบางคน” ที่กำลังพยายามพูดจากใต้ผืนน้ำ [อย่า...บอกใครว่าเจ้าได้ยินสิ่งนี้...]อวิ๋นซินเยว่แข็งค้าง มือเย็นเฉียบ [ถ้าพวกเขารู้ว่าข้า...ยังอยู่...]เสียงขาดไปกลางคำ..เทียนดับ แสงเรืองสีฟ้าเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่กลางห้องค่อย ๆ สั่น ก่อนหายวับไปพร้อมกลิ่นไหม้จาง ๆ “เสี่ยวหลิง!?”เธอเรียกอีกครั้ง เสียงสะท้อนในห้องเงียบงัน แต่ไม่มีคำตอบใดกลับมา เหมือนระบบทั้งระบบ...หยุดหายใจ เหมือนช่วงเวลาซ้ำเดิมกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง อวิ๋นซินเยว่มองมันนิ่ง ก่อนพูดกับตัวเองในความมืด “เจ้ามีความลับ...ใช่ไหม เสี่ยวหลิง” ....... นอกตำหนัก ลมหนาวพัดแผ่วผ่านทางเดินยาว ในเงานั้น มีบางสิ่งเรืองแสงแวบหนึ่ง...เหมือนแสงของเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง ไฟเทียนถูกจุดขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่กลับให้แสงสั่น ๆ เหมือนมันกลัวความมืดเสียเอง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ บนแผ่นผ้าไหมที่ยังค้างงานเขียนครึ่งบรรทัด หมึกเริ่มแห้งจนขอบเข้มขึ้น ราวกับรอยเลือดที่ซึมบนผ้าแพร “เสี่ยวหลิง?" เธอเรียกอีกครั้งในความว่างเปล่า ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีแสงสีฟ้า ไม่มีโค้ดลอยกลางอากาศ ไม่มีแม้แต่ เสียงกะพริบไฟเล็ก ๆทที่เธอเคยชินมีเพียตัวเธอคนเดัยว และ “ความเงียบ” ที่เหมือนหลุมลึกไม่มีที่สิ้นสุด มือเรียวแตะขมับเบา ๆ หัวใจเธอเต้นดังจนได้ยินชัดในหูตัวเอง เธอเพิ่งรู้ตัวว่า เสียงของเสี่ยวหลิง...เคยแทนที่เสียงหัวใจเธอมานานแค่ไหน “ถ้าเจ้าไม่มีหัวใจ ก็ยืมหัวใจข้าไว้ก่อน...” เสียงนั้นผุดขึ้นมาอีกครั้งในหัว ไม่ใช่เสียงของเครื่องจักร แต่เป็นเสียงเด็กชาย อ่อนโยน ละมุน และเศร้าลึกจนเจ็บ เธอสะดุ้ง มือกำแน่น “ไม่...เขาไม่ควรมีเสียงแบบนี้ได้...” เงาเปลวเทียนสะบัดแรงอีกครั้ง เหมือนมีลมหายใจของใครบางคนลอดผ่านข้างหลัง เธอหันขวับ ไม่มีใคร แต่ในเงามุมห้อง เหมือนมีรอยแสงเล็ก ๆ คล้ายสะท้อนจากเหรียญเงินแวบหนึ่ง เธอกระพริบตา แล้วมันก็หายไป ...... อีกฟากหนึ่งของวัง ห้องทรงงาน เสียงฝนเคาะกระจกหินอ่อนดังเบา ๆ อวี้เหยียนยังไม่ได้เสด็จบรรทม พระหัตถ์หนึ่งแตะที่อกซ้าย ตรงตำแหน่งหัว มันสั่น ไม่แรงมาก แต่ชัดเจนพอให้พระองค์ขมวดคิ้ว “...อีกแล้ว” ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์รู้สึกเหมือนหัวใจไม่ใช่ของตน ทุกครั้งที่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้น...ภาพในหัวก็แวบขึ้นมา ภาพของ “ห้อง ๆ หนึ่ง” มีเด็กชายตัวเล็กนั่งอยู่ในนั้น กำลังหัวเราะแต่ไม่มีเสียง พระเนตรหรี่ลง “ฝันอีกแล้วหรือ...” แต่ครั้งนี้...มีเสียงบางอย่างตามมา เบาเกินกว่าจะเป็นเสียงจริง “พี่ใหญ่...อย่าร้องเลยนะ...” อวี้เหยียนผงะ ลมหายใจสะดุด เสียงนั้นหายไปทันที เหลือเพียงเสียงฝนและหัวใจที่เต้นแรงขึ้นอย่างไร้เหตุผล เหวินหรงที่ยืนเฝ้าด้านนอกเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาท ทรงพระประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ไม่” พระองค์ตอบทันควัน เสียงเรียบแต่สั่น “ข้าแค่...ได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยิน” ....... กลับมาที่ตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งพิงกำแพง เงียบจนแทบไม่ได้หายใจ เธอไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ครึ่งชั่วยาม หรือทั้งคืน เธอเพียงรู้ว่า...ในความมืดนั้น เธอเริ่ม “คิดเป็นเสียง” แทนระบบ “อัตราความสับสนทางอารมณ์ของข้า...คงจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วสิ” เธอหัวเราะเบา ๆ เสียงแห้งแต่ในตอนที่หัวเราะนั้น เธอกลับได้ยินเสียงแผ่วจากด้านในหัว เสียงที่ไม่เหมือนเสี่ยวหลิง อ่อนโยนกว่า อบอุ่นกว่า “อย่าร้องเลย...เจ้าจะไม่เป็นไร” เธอเงียบงัน นิ่งจนเปลวเทียนสงบไม่สั่นไหว “...เสี่ยวหลิง?” ไม่มีเสียงตอบมีเพียงลมหายใจของตัวเองที่สะท้อนในอก และหัวใจที่เหมือนมีใครอีกคนเต้นอยู่ในนั้นค่ำคืนนั้นวังทั้งวังเหมือนกลายเป็นทะเลสาบแข็ง ไม่มีลม ไม่มีเสียงก้าวเท้าเพียงเสียงพู่กันของเธอที่ลากผ่านแผ่นผ้าไหมทีละเส้นอวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัว เปลวเทียนส่องแสงอุ่นที่ปลายโต๊ะ กลีบเหมยขาวหล่นหนึ่งกลีบ วางอยู่ข้างถ้วยชาเย็นชืด[บันทึกภารกิจ: ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเป้าหมาย “จักรพรรดิอวี้เหยียน”][อัตราความสับสนทางอารมณ์: 47%][สถานะ: ไม่คงที่]เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นเหมือนเคย แต่ในความปกตินั้น มีบางอย่างแปลกไป...เล็กน้อยเกินจะบอกได้“เสี่ยวหลิง” ซินเยว่วางพู่กันลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเลขนี้ถูกต้อง?”[ข้อมูลจากระบบวัดโดยตรง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสงสัยความแม่นยำ]น้ำเสียงมันเหมือนเดิมแต่มี โทนสูงขึ้นครึ่งจังหวะ ตอนพูดคำว่า “สงสัย” เธอขมวดคิ้วบาง ๆ“แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าระดับของเขาไม่เกินสามสิบห้า”[ฐานข้อมูลอัปเดตอัตโนมัติ...ตามพฤติกรรมล่าสุดของเป้าหมาย]“ล่าสุด?” เธอพึมพำ “หมายถึง...วันนี้?”[ยามเที่ยง วันนี้...ฝ่าบาททอดพระเนตรภาพเหมยขาวในแจกันระดับอารมณ์แปรปรวนขึ้นสิบสองเปอร์เซ็นต์]"ภาพเหมยขาว?” เธอก้มมองแจกันตรงหน้า กลีบดอกที่ร่วงจากกิ่งนั้นมีอยู่แค่หนึ่งกลีบ[ระ
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ







