ณ จวนชินอ๋อง
ผ้าแพรสีแดงพลิ้วไสวทั่วทั้งจวน ลู่ผิงถิงก้าวเท้าเข้าประตู หยุดมองบรรยากาศโดยรอบ
ช่างเงียบเหงาไม่ต่างจากจวนลู่สักนิด
พ่อบ้านจางพาลู่ผิงถิงไปทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ซึ่งมีเพียงผู้ทำพิธีการ ท่านอ๋อง ลู่ผิงถิง และบ่าวในจวนเพียงไม่กี่คน
ไม่มีงานเลี้ยงเอิกเกริก ไม่มีแขกเหรื่อร่วมแสดงความยินดี ไม่มีใครนอกจากบ่าวในจวน ที่ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแต่งงานในครั้งนี้
น่าขันสิ้นดี
ลู่ผิงถิงแอบลดพัดปิดหน้าลง มองดูเจ้าบ่าวในอาภรณ์สีแดง ใบหน้าหล่อเหลาได้รูป คิ้วเข้มรับกับดวงตาเรียวยาว ผิวเนียนละเอียดจนสตรีบางคนสู้ไม่ได้ มองแล้วยากจะละสายตา ไม่ต่างจากที่ข่าวลือบอกไว้เลย ว่าเป็นบุรุษรูปงามที่สตรีเห็นเป็นต้องตกหลุมรัก
เขามีเสน่ห์ดึงดูดสายตาจริง ทว่าลู่ผิงถิงไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพียงทำตามคำแนะนำกราบไหว้ฟ้าดินเพื่อให้ผ่านพ้นไป
หลังจากเสร็จพิธีชินอ๋องผู้นั้น ก็แยกตัวจากไปทันที เขาไม่พูดไม่จากับนางสักคำ ทิ้งนางไว้กับพ่อบ้านจางอย่างไม่ไยดี
“กระหม่อมจะพาพระชายาไปส่งห้องหอพ่ะย่ะค่ะ”
ลู่ผิงถิงพยักหน้าและเดินตามพ่อบ้านจางไป เสียงดนตรีดังกระทบโสตประสาท ยามกราบไหว้ฟ้าดิน ไม่มีเสียงดนตรีสักนิด ยามนี้กลับรื่นเริงจนน่าแปลกใจ
ยิ่งเดินไปใกล้เสียงดนตรี เสียงหัวเราะต่อกระซิกก็ยิ่งชัดเจน ลู่ผิงถิงเดินผ่านจุดที่เสียงดนตรีดังที่สุด นางมองผ่านประตูเข้าไป สิ่งที่เห็นคือร่างอรชรของนางรำ ถูกชินอ๋องสามีของนางดึงมาโอบเอวไว้ไม่ให้ลุกขึ้นจากตัก
“ท่านอ๋องแกล้งหม่อมฉันอีกแล้วนะเพคะ”
“ใครใช้ให้เจ้าหอมกรุ่นเพียงนี้เล่า ข้าเชยชมเท่าใดก็ไม่เบื่อ”
เสียงพูดคุยในห้องโถงแว่วเข้าหูของลู่ผิงถิง นางมองเพียงแวบเดียวก็เดินตามพ่อบ้านจางไปยังห้องหอโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
ข่าวความเสเพลของชินอ๋องมีมาเนิ่นนาน หลังจากพระบิดาของเขาสวรรคตเขาก็ทำตัวเสเพล ยกตราบัญชาการทหารคืนฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน จากนั้นก็เที่ยวเตร่หาความสุขใส่ตัวไปวัน ๆ
พ่อบ้านจางมาส่งพระชายาจนถึงประตูห้องหอ เขามีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย อ้ำอึ้งอยู่เนิ่นนานจึงเอ่ย “พระชายาอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่เห็นเลย ท่านอ๋องอาจจะเหลวไหลไปบ้าง แต่ท่านอ๋องเป็นคนดีพ่ะย่ะค่ะ”
ลู่ผิงถิงยิ้มเล็กน้อยให้พ่อบ้านจาง นางไม่ได้ใส่ใจเรื่องท่านอ๋องคนนั้นอยู่แล้ว เขาจะกอดนางบำเรอ อนุ หรือแม้กระทั่งชายารองก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเรื่องของนางมีให้คิดมากพอแล้ว เหตุใดนางต้องแบ่งสมองมาคิดเรื่องของคนที่ไม่มีความสำคัญในชีวิตเพิ่มเล่า
เมื่อพ่อบ้านจางเห็นรอยยิ้มของพระชายาก็ยิ้มตอบ พระชายาคงไม่ติดใจเรื่องเล็กน้อยพวกนั้น ดีจริง “อีกประเดี๋ยวท่านอ๋องจะเสด็จมา กระหม่อมสั่งให้คนเตรียมน้ำไว้ให้พระชายาแล้ว”
ครู่ต่อมามีเด็กสาวคนหนึ่ง ถือถาดอาภรณ์เดินเข้ามา “เด็กคนนี้จะมาเป็นสาวใช้ประจำของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพ่อบ้านจางออกไปแล้ว ลู่ผิงถิงมองสำรวจสตรีตรงหน้าพร้อมเอ่ยถาม “เจ้าชื่อว่าอย่างไร”
“หม่อมฉันไม่มีชื่อ ขอพระชายาประทานชื่อให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ได้..เช่นนั้นเจ้าชื่อ อาหลี่แล้วกัน...สิ่งนี้ให้เจ้ารับไว้สิ” ลู่ผิงถิงถอดกำไลข้อมือยื่นให้อาหลี่ พลางดูสีหน้าแววตาเพื่อประเมินนิสัยใจคอของนาง
อาหลี่ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันมิกล้ารับ ของสิ่งนี้มีค่ามากเกินไปเพคะ”
“รับไว้เถิด” ลู่ผิงถิงยิ้มเล็กน้อยและยังคงยื่นกำไลข้อมือให้อาหลี่อยู่แบบนั้น
อาหลี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็วางถาดในมือลงบนโต๊ะ เดินเข้าไปหยุดตรงหน้าพระชายา แล้วยื่นมือไปรับกำไลข้อมือพร้อมยอบกายกล่าว “ขอบพระทัยพระชายาเพคะ”
ลู่ผิงถิงยังไม่ปล่อยกำไลไปโดยง่าย ทำให้อาหลี่ยังอยู่ในท่ายอบกาย
ขาทั้งสองของอาหลี่สั่นจนแทบจะล้มลงพื้น ลู่ผิงถิงจึงใช้มืออีกข้างจับแขนของอาหลี่พยุงไม่ให้ล้ม จากนั้นนางก็โน้มหน้าไปกระซิบข้างหูของอาหลี่ “จากนี้ไปเจ้าก็เป็นคนของข้าแล้ว จำไว้ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดหักหลัง”
.......................
ไม่ชอบให้ใครหักหลัง ถ้าหลัวหักหลังลูกจะทำไงน๊อ
ครานี้ผู้ที่มารินสุราเป็นนางกำนัลตัวน้อย ไม่รู้ว่านางประหม่าหรืออย่างไร จึงทำสุราหกราดอาภรณ์ของมู่เซียวเซ่อจนเปียกปอน “ขออภัยท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ หม่อมฉันสมควรตายเพคะ ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”นางคุกเข่าคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซียวเซ่อคร้านจะใส่ใจนางกำนัลตัวเล็กจึงลุกขึ้นยืน “เสด็จพี่ กระหม่อมขอตัวไปเปลี่ยนอาภรณ์”“อืม เราก็จะไปสุขาเช่นกัน” ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยห้องจัดเลี้ยงกว้างขวาง เหลือเพียงจี้ฮองเฮานั่งอยู่ลำพัง จิตใจสั่นไหวเมื่อพบกับมู่เซียวเซ่ออีกครั้ง ความรักที่ถูกกดลึกไว้ในอก และความทรงจำเก่า ๆ ได้เอ่อล้นขึ้นมาวันนั้นนางจำได้ดี เป็นงานเลี้ยงต้อนรับชัยชนะของท่านพ่อ และเป็นวันที่นางพลาดพลั้งอย่างไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็มีฝ่าบาทนอนอยู่ด้านข้าง เราทั้งสองไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ ผู้คนจำนวนมากพบเห็นเรื่องนี้ทำให้จี้ฝู่หลิงไม่มีหน้าไปพบเจออดีตคนรักอีก ยอมอภิเษกกับฝ่าบาททั้งที่ใจไร้รักเริ่มแรกฝ่าบาทเอาอกเอาใจ ทำดีกับจี้ฝู่หลิงทุกอย่าง ทว่า...วันคืนดี ๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อบิดาของนางถูกสังหารในสนามรบ เขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นเหมือนสัตว์ป่าดุร้าย ทรมานนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนาง
สามวันผ่านไป ลู่ผิงถิงยังดูแลมารดาอยู่จวนตระกูลลู่ พวกบิดายังไม่กลับมาได้ยินว่าพากันออกไปท่องเที่ยวทิศประจิม และดูทำเลการค้าเพื่อขยายกิจการร้านเสื้อผ้าลู่ผิงถิงเดินไปที่เรือนใหญ่พบกับบ่าวที่เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีเข้าพอดี จึงเรียกให้เข้ามาช่วยทำความสะอาดในห้องโถง พอบ่าวคนนั้นทำเสร็จออกไป คุณหนูใหญ่อย่างนางก็โวยวายว่าปิ่นปักผมหาย บอกให้บ่าวในเรือนช่วยกันตามหา ปรากฏว่าอยู่ที่ห้องของบ่าวที่เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีไม่ได้ใส่ร้ายบ่าวคนนั้น เพียงแต่ใช้ปิ่นราคาหนึ่งร้อยตำลึงล่อตาล่อใจ หากนางไม่หยิบไปลู่ผิงถิงก็ไม่อาจลงโทษได้ แต่ครั้งนี้นางหยิบไปจึงหนีไม่พ้น เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีไปกี่ครั้งต้องถูกเอาคืนเป็นสองเท่า ไม่ยอมให้พี่เสี่ยวซีเจ็บปวดคนเดียวแน่ ส่วนลู่ไป๋อิง รอก่อนเถอะจะจับตีให้ก้นลายเลยหนึ่งปีมานี้คงเรียนรู้กับฮูหยินรองมาก จึงเปลี่ยนไปเช่นนี้เมื่อก่อนน่ารักเชื่อฟัง หลังจากนางย้ายมาเรือนท้ายจวนน้องสาวก็เปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาน้องสาวเสแสร้ง หรือเป็นแบบนี้มานานแล้วจัดการบ่าวคนนั้นเสร็จก็เข้าไปในห้องบิดา ค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับคดีของพี่ชายใหญ่มีอยู่วันหนึ่ง ลู่ผิงถิงบังเอิญได้ยินบิดาคุยกับพี่ชายคนรอ
คนมาใหม่สวมหน้ากากสีทองพาดเฉียงครึ่งหน้า อาภรณ์สีน้ำเงินโบกสะบัดยามลอยตัวลงมา ฝีเท้าแตะพื้นแผ่วเบาบ่งบอกว่าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง“บาดเจ็บตรงไหนรึไม่” เขามองสำรวจเด็กน้อยตรงหน้า เมื่อเห็นว่ามีเพียงร่องรอยฟกช้ำก็ถอนสายตากลับ“นี่ท่าน” ลู่ผิงถิงจำเขาได้ นางเคยพบเจอคนผู้นี้ยามไปเก็บสมุนไพรที่หุบเขาหลังจวน ตอนนั้นเขาบาดเจ็บสาหัสนางช่วยใส่ยาให้เขา และพาเขาไปหลบในที่ปลอดภัย นางดูแลจนเขาฟื้น จำได้ว่าวันนั้นกลับจวนผิดเวลา ถูกบิดากักบริเวณให้อยู่แค่เรือนท้ายจวนถึงครึ่งเดือน“เจอกันอีกแล้วนะเด็กน้อย” ชายหนุ่มที่สวมหน้ากากทักทายสตรีตัวเล็กตรงหน้า “ไปหาที่หลบให้ดี พี่ชายจะโชว์ความร้ายกาจให้เจ้าดู”เขาเริ่มต่อสู้กับคนชั่ว เพียงไม่กี่กระบวนท่าชายที่สวมหน้ากากก็กดบุรุษชุดดำไว้บนพื้น เขาใช้เชือกมัดมือมัดเท้าบุรุษชุดดำ แล้วลากออกไปทิ้งไว้ในห้องเก็บฟืน“ขอบคุณมาก” ลู่ผิงถิงเอ่ยขอบคุณเมื่อพี่ชายหน้ากากทองกลับเข้ามาในห้อง“ขอบคุณเพียงคำพูดจะนับอะไรได้ ไม่สู้เจ้า...ขอบคุณเป็นอย่างอื่น” ชายหนุ่มแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัยลู่ผิงถิงไม่สนใจเขา ขอบคุณนางก็ขอบคุณไปแล้ว นางมองร่างไร้วิญญาณของพี่เสี่ยวซี ดวงตากลมโตแดงก่
ลู่ผิงถิงมีน้ำตาซึมออกมาทางหางตา เสียดายที่ไม่อาจเอาคนผิดที่อยู่เบื้องหลัง การทำร้ายพี่ชายใหญ่มาลงโทษได้ กลับเป็นนางที่ต้องตายก่อนศัตรู ดวงตากลมโตหลับตารอรับความเจ็บปวดจากปลายมีด ทว่านางกลับไม่รับรู้ถึงความเจ็บนั้น ไหล่ทั้งสองถูกสองมือเล็กกำแน่น ลู่ผิงถิงลืมตาขึ้นมา เห็นพี่เสี่ยวซีที่ไม่รู้ว่ามาตอนไหน ยืนบังปลายมีดไว้ให้นาง ร่างของพี่เสี่ยวซีค่อย ๆ ทรุดลงพื้น ยามเสี่ยวซีรู้สึกตัวขึ้นมา ก็เห็นว่าคุณหนูของนางตกอยู่ในอันตรายพอดี จึงพยุงร่างที่เจ็บระบมลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ตะเกียกตะกายมาขวางปลายมีดสั้น ที่กำลังแทงลงบนผิวหนังคุณหนูไว้ได้ ในวินาทีสุดท้าย นางไม่เสียดายชีวิต ขอเพียงคุณหนูมีชีวิตอยู่ ทำในสิ่งที่คุณหนูอยากทำ นางรู้ตัวเองดีว่าบาดเจ็บครั้งนี้ ตัวเองไม่อาจรอดพ้นความตายได้ จึงใช้ร่างกายที่เหลือลมหายใจสุดท้ายนี้ ช่วยชีวิตคุณหนูของนาง “คุณหนู” เสียงเรียกแผ่วเบาปานกระซิบ ลู่ผิงถิงรู้สึกหัวใจขาดเลือดไหลเวียน นางรีบย่อตัวลงประคองพี่เสี่ยวซีไว้ในอ้อมกอด มือที่ประคองแผ่นหลังเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม น้ำตาลู่ผิงถิงไหลพราก หัวใจราวกับถูกเข็มทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า “พี่เสี่ยวซีข้า.
ลู่ผิงถิงลูบไล้กายบุรุษชุดดำด้วยความรังเกียจ ใจของนางเต้นตึกตัก ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลัวจนฉี่แทบราด ทว่าต้องสู้เพื่อเอาตัวรอด เป้าหมายของนางคือมีดสั้นที่เอวของเจ้าหน้าเหี้ยมนั่น นิ้วเรียวยาวไล่วนจากแผงอกลงมาหน้าท้อง เมื่อมือนางเข้าใกล้เป้าหมาย บุรุษชุดดำก็คว้าจับไว้อย่างกับรู้ความคิดนาง บุรุษชุดดำหายใจติดขัดวาบหวิว เขาคว้ามือซุกซนของนางมาวางตรงเจ้าโลกของเขา คิดว่าที่นางอ้อยอิ่งอยู่หน้าท้องคงอยากจับ ก็ให้นางได้จับให้หนำใจ “อยากจับตรงนี้หรือข้าอนุญาต และข้าขอจับตรงนั้นของเจ้า” มือหนายื่นไปหวังบีบเคล้นก้อนกลมโตสองก้อน คะเนด้วยตาน่าจะเต็มไม้เต็มมือและนุ่มมาก แค่คิดอาวุธลับของเขาก็ผงาดขึ้น เขากำลังฝันหวานถึงเรือนร่างอ้อนแอ้นหอมหวาน โดยไม่รู้เลยว่ามีดสั้นได้ตกอยู่ในมือของสตรีตัวเล็กแล้ว ลู่ผิงถิงจ้วงมีดสั้นแทงฝ่ามือที่ยื่นมาหวังลวนลาม มีดปักคากลางฝ่ามือ “โอ๊ย” บุรุษชุดดำร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด เผลอเพียงนิดเดียว สตรีผู้นี้ก็แผงฤทธิ์เดชใส่จนเขาต้องเจ็บตัว บุรุษชุดดำโมโหมาก ยกฝ่ามือข้างไม่บาดเจ็บฟาดแก้มนุ่มขาวนวลของสตรีตรงหน้า คนงามล้มลงพื้นมุมปากมีเลือดซึมออกมา ร่างกำยำตามไปคว้าปลายคางมาบี
อาหลี่มาถึงจวนตระกูลลู่แล้ว ทว่าประตูกลับปิดเงียบ นางพยายามเคาะหลายครั้งก็ไม่มีคนเปิดลางสังหรณ์ไม่ดีก่อเกิดขึ้นในใจของอาหลี่ พระชายาอยู่ในจวนเพียงลำพัง กลัวก็แต่จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในเรือนท้ายจวนอาหลี่เดินอ้อมกำแพงจวนลู่ เพื่อหาวิธีเข้าไปด้านในให้เร็วที่สุด และแล้วก็หาวิธีเข้าจวนลู่ได้ ใบหน้ากลมมนแหงนมอง ดอกกุ้ยฮวาที่บานเต็มต้น กิ่งของมันแผ่เข้าไปในจวนลู่พอดิบพอดี แบบนี้อาหลี่ก็สามารถปีนต้นไม้ แล้วกระโดดลงไปได้ ไม่รอช้ารีบปีนต้นไม้ขึ้นไปบนกำแพงทันทีทางด้านลู่ผิงถิงพลิกกายหลบปลายมีดแหลมคมไว้ได้ จากนั้นรีบวิ่งอ้อมไปหลังเตียงของเสี่ยวซี ทำให้ยามนี้มีเตียงกั้นกลางระหว่างนางกับบุรุษชุดดำผู้นั้น “ใครส่งเจ้ามา”“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”“เขาจ้างเจ้าเท่าใดข้าให้เจ้าสองเท่า” ลู่ผิงถิงเริ่มหว่านล้อม นางเห็นว่าบุรุษผู้นั้นทำท่าครุ่นคิดก็รีบเอ่ยเสริม “สังหารข้าที่เป็นพระชายาชินอ๋อง เจ้าคิดว่าจะหนีการจับกุมรอดหรือ ไม่สู้รับเงินจากข้าแล้วหนีไป”“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ชินอ๋องเสเพลผู้นั้นจะมีปัญญามาทำอะไรข้าได้
อาหลี่เห็นพระชายาไม่เอ่ยคำใดก็ออกมาส่งหมอชาวบ้าน เดินกลับมาในห้องพี่สาวคนนั้น พระชายาก็ยังยืนนิ่งอยู่ท่าเดิม พระชายาต้องเสียพระทัยขั้นไหนจึงได้นิ่งงันไปเช่นนี้“พระชายาเพคะ” อาหลี่เรียกเบา ๆ แล้วเอาเสื้อคลุมไหล่ที่หยิบมาจากรถม้าสวมให้พระชายาอากาศหนาวมากแต่ยังเหน็บหนาวไม่เท่าใจของลู่ผิงถิง เสื้อคลุมที่อาหลี่ห่มให้ไม่ทำให้นางรู้สึกอุ่นขึ้นมาสักนิดพี่เสี่ยวซีเป็นดังพี่สาวที่ปกป้องดูแลนางมาตั้งแต่ยังเยาว์ คอยช่วยปิดบังความผิดยามหนีมารดาไปเที่ยวนอกจวน คอยให้คำปรึกษาแนะนำ หนึ่งปีที่มารดาหมดสติ ก็มีเพียงพี่เสี่ยวซีที่อยู่เป็นเพื่อนพูดคุยพี่ใหญ่จากนางไปคนหนึ่งแล้ว ตอนนี้พี่เสี่ยวซีจะจากนางไปอีกคนหรือไม่จริง ไม่จริง ใช่ มันต้องไม่จริง นางยังมีความหวังพี่เสี่ยวซีต้องไม่ตาย“อาหลี่เจ้าไปต้มยามาให้ข้า” ความมั่นใจเหลือน้อยเต็มทนเมื่อเห็นลมหายใจแผ่วเบาของพี่เสี่ยวซี สั่งการอาหลี่ไปน้ำตาไหลไปอย่างห้ามไม่อยู่“เพคะพระชายา”อาหลี่เห็นพระชายาเศร้าหมองเพราะบ่าวคนหนึ่ง ทำให้นางเศร้าใจตามไปด้วย ตั้งใจต้มยาให้พี่สาวคนนั้นและหวังว่าพี่สาวจะไม่จากพระชายาไปลู่ผิงถิงสั่งให้อาหลี่ดูแลเสี่ยวซี จากนั้นนางก็เ
เสี่ยวซีกำลังถูกเฆี่ยนด้วยแส้หวาย แผ่นหลังบอบบางมีเลือดซึมออกมาจากอาภรณ์เป็นรอยแส้ในตอนที่มาถึงเสี่ยวซีกำลังจะสติดับวูบลง ทว่าตอนนี้นางดูเหมือนจะข่มความเจ็บปวดไว้ ไม่ยอมให้ตนเองหมดสติ ลู่ผิงถิงเข้าไปกอดเสี่ยวซีไว้ ไม่ให้แส้ที่เต็มไปด้วยโลหิตฟาดลงบนแผ่นหลังบางนั้นได้อีก ทำให้บ่าวผู้นั้นยั้งมือไม่ทัน ฟาดไปที่แผ่นหลังของลู่ผิงถิง“คุณหนูบ่าวไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ”ร่างบางของลู่ผิงถิงสะดุ้งโหยง ยามหวายกระทบแผ่นหลัง แสบร้อนมาก เพียงครั้งเดียวยังเจ็บเพียงนี้ แล้วพี่เสี่ยวซีโดยไปตั้งหลายครั้งจะทนได้อย่างไร สายตามาดร้ายจับจ้องใบหน้าบ่าวที่ลงมือ พอดีกับที่สตรีร่างเล็กในอ้อมกอดขยับ ลู่ผิงถิงจึงเลิกสนใจบ่าวคนนั้น ได้แต่เก็บไฟโทสะทั้งหมดไว้ในใจ และก้มมองเสี่ยวซีที่อยู่ในอ้อมกอดเสี่ยวซีลืมตาขึ้นเล็กน้อยพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไร้เสียง นางเจ็บมากเจ็บจนน้ำตาเม็ดเล็กเกลี้ยงเกลาไหลออกมา อยากปลอบใจคุณหนูที่แววตาแดงก่ำ แต่นางไม่มีแรงแม้แต่จะพูด ภาพรอยยิ้มเปื้อนน้ำตาของคุณหนูค่อย ๆ พร่ามัวลงส่งรอยยิ้มเจ็บปวดให้เสี่ยวซีทั้งน้ำตา คนในอ้อมกอดสลบไปแล้ว ใจของลู่ผิงถิงสั่นสะท้าน พี่เสี่ยวซ
มู่เซียวเซ่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่เหลือบมองเตียงแม้แต่น้อย“ดะ...” เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป ไม่สิจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ นางยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการเลย เขาจะไปทั้งอย่างนี้ได้ไงแค่เริ่มขยับปากประตูก็ปิดลงแล้ว นางเรียกเขาไว้ไม่ทัน และเรื่องที่นางคาดหวังก็ยังไม่สำเร็จสักพักคนตัวเล็กก็พาตัวเองลุกจากเตียงได้ นางนั่งบิดลำตัวอยู่บนเตียงไปมา เพื่อไล่ความเมื่อยล้าจากการนอนนิ่งอยู่นาน“พระชายา” อาหลี่ที่คอยปรนนิบัติพระชายาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหลังจากท่านอ๋องออกไปจึงรีบเข้ามาใบหน้าน้อย ๆ แดงก่ำ หุบยิ้มไม่ลงเมื่อเห็นว่าอาภรณ์ของผู้เป็นนายไม่เรียบร้อยลู่ผิงถิงก้มมองตัวเองแล้วรีบจัดระเบียบอาภรณ์ให้เข้าที่ รู้สึกอับอายที่อาหลี่ต้องมาเห็นนางในสภาพเช่นนี้ ช่างเถิดไม่จำเป็นต้องอธิบาย เข้าหอคืนแรกถ้าเขาไม่อยู่ห้องหอน่าอับอายกว่าเยอะอาหลี่ปรนนิบัติพระชายาสวมเสื้อผ้า พอคิดถึงใบหน้าแดงเรื่อของพระชายาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ไปเถิดเพคะ ท่านอ๋องน่าจะรอนานแล้ว”“เหตุใดเขาต้องรอข้าด้วยเล่า”“ได้เวลาเสวยยามเช้าแล้วเพคะ”“อ้อ เป็นเช่นนี้...งั้นไปกัน” ลู่ผิงถิงประหม่าเล็กน้อย ไม่รู้จะเริ่มพูดคุยกับส