LOGIN"คุยกับพี่ก่อน! อย่าเพิ่งเดินหนีพี่!"
"ทำไมคะ! แค่นี้ยังทำให้จี๊ดอับอายไม่พออีกเหรอพี่เมฆ! พี่ใจร้ายกับจี๊ดเกินไปแล้วนะ!"
จารวีสะบัดแขนออกอย่างรวดเร็ว แล้วผลักอกเมฆินทร์จนเซถลาไปชนเสาโคมไฟที่ตั้งอยู่
เสาไฟต้นนั้นเอียงลงอย่างรวดเร็ว กำลังจะล้มทับร่างสูงของเมฆินทร์ แต่สัญชาตญาณของร่างกายจารวีที่เร็วยิ่งกว่าสมอง เธอรีบวิ่งกลับมากระชากแขนเขาให้หลบพ้นจากรัศมีเสาที่กำลังล้มลง
<โครมมมม!>
เสียงเสาไฟกระทบพื้นดังสนั่น ผู้คนในงานเลี้ยงที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างตกใจและรีบวิ่งกรูกันออกมาดูเหตุการณ์ จารวีหอบหายใจอย่างหนักใบหน้าซีดเผือด
วินและปกรณ์ที่ตามออกมาจากงานทันทีที่เห็นจารวีวิ่งหนี ก็ถึงกับช็อกกับภาพเสาไฟล้มที่อยู่ตรงหน้า
เมฆินทร์หันกลับมาประคองเธอไว้ด้วยความตกใจ "จี๊ดเป็นอะไรไหม? เจ็บตรงไหนไหม?"
หญิงสาวส่ายหน้า ไม่พูดอะไร แต่สายตาของเธอจับจ้องไปที่ข้อเท้าข้างหนึ่งที่พลิกด้วยจังหวะที่รับแรงกระชากเขาให้หลบพ้น
เธออึ้ง ไม่พูดอะไรเลย มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา ซึ่งดูไม่ออกเลยว่าน้ำตานั้นคือ ความเสียใจจากเหตุการณ์ก่อนหน้า หรือความตกใจจากเหตุการณ์เสาล้มเมื่อครู่ หรือเป็นเพราะความเจ็บปวดที่ข้อเท้า
เมฆินทร์เงยหน้าขึ้นมองวินและปกรณ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล
"พวกมึงเชิญแขกกลับเข้าไปในงานก่อน!" เมฆินทร์สั่งเสียงเข้มทันที
วินและปกรณ์รีบเชิญแขกให้กลับเข้าไปในงานอย่างเงียบ ๆ ด้วยความสำนึกผิดและหวาดกลัว
เมฆินทร์เห็นอาการของเธอ เขาดึงร่างเธอเข้ามากอดไว้แน่น พร้อมกับลูบและจูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน
"ไม่เป็นไรนะครับ ไม่เป็นไรพี่อยู่นี่แล้ว"
เขาช้อนร่างหญิงสาวอุ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินไปที่รถ โดยที่เธอนั้นยังคงตกใจและไม่ยอมพูดอะไรเลยซักอย่าง
เมื่อเข้ามาในรถ เมฆินทร์วางเธอลงเบาะข้างคนขับอย่างนุ่มนวล แต่เธอรีบถอยห่างไปชิดประตูทันที
"คอนโดชื่ออะไร พี่จะไปส่ง" เมฆินทร์ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่างมาก
"ไม่ค่ะ... ไม่ต้องเดี๋ยวจี๊ดกลับเอง" เธอตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นเครือ
"อย่าดื้อสิ ให้พี่ไปส่ง"
เธอเงียบ ไม่พูด
เมฆินทร์ถอนหายใจอย่างหนัก
"กลัวพี่รู้ขนาดนั้นเหรอ ว่าอยู่ที่ไหน... ถึงขนาดต้องใส่ที่อยู่อื่นในประวัติ"
"ค่ะ!"
จี๊ดตอบแค่คำเดียวง่าย ๆ สั้น ๆ
เมฆินทร์จนปัญญา เขาถามอะไรไปตอนนี้คงไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเธอยืนยันว่าจะกลับเอง เขาก็ไม่เซ้าซี้ถามต่อ
แต่ภาพที่จารวีมองข้อเท้าตัวเองอย่างหวาดกลัวก่อนหน้านี้ ยังคงติดอยู่ในใจของเมฆินทร์ เขาจึงตัดสินใจบางอย่าง
ในห้วงความคิดของเมฆินทร์ "พี่ต้องพาเธอไปหาหมอก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน! พี่ต้องอธิบายให้เธอเข้าใจว่าเรื่องนั้น... มันคือความพยายามสารภาพความจริง ไม่ใช่การประจาน"
ในจังหวะนั้น เมฆินทร์หักหมุนพวงมาลัยรถ เพื่อเปลี่ยนเส้นทางไปอีกที่ โดยไม่ได้ขัับไปตามเส้นทางกลับคอนโดของจารวีที่เขาเองก็ไม่รู้
เธอนั่งตัวแข็งทื่อ มองทางข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย ความเจ็บปวดที่ข้อเท้าไม่ได้ทำให้เธอหวาดกลัวเท่ากับสิ่งที่เธอเพิ่งทำลงไป
เธอเอนตัวพิงประตูรถอย่างอ่อนแรง
เมฆินทร์ขับรถมาจอดที่หน้าคลินิกแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปแห่งหนึ่งที่ยังเปิดทำการอยู่ไม่ไกลจากบริเวณงานเลี้ยง เขาอุ้มเธอเข้าไปข้างในทันที โดยไม่ฟังคำทัดทานใด ๆ
"คุณพยาบาลครับ! ข้อเท้าพลิกครับ!" เมฆินทร์บอกกับพยาบาลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จารวียังคงเงียบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใด ๆ นอกจากการข่มความเจ็บปวดที่ข้อเท้าเอาไว้
แพทย์ประจำคลินิก ซึ่งเป็นคุณหมอสูงวัย ได้ทำการตรวจดูอาการเบื้องต้น บีบนวดและกดเบา ๆ บริเวณข้อเท้าของเธอ
"โอย...!" จารวีเผลอร้องออกมาเบา ๆ
เมฆินทร์จับมือเธอไว้แน่น "ไหวนะครับ"
คุณหมอตรวจดูอาการภายนอกอย่างละเอียด
"อืม... ดูจากอาการเบื้องต้นแล้ว น่าจะแค่ข้อเท้าเคล็ดขัดยอกธรรมดาครับ ไม่มีอาการบวมแดงมากนัก กระดูกไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ถ้าจะให้ชัวร์จริง ๆ อาจจะต้องไปเอกซเรย์ที่โรงพยาบาล" คุณหมอสรุปสั้น ๆ ตามขั้นตอนของคลินิกเล็ก ๆ
จารวีรีบตอบแทรกขึ้นทันที "ไม่เป็นไรค่ะ! แค่นี้ก็พอแล้ว"
เมฆินทร์หันไปมองเธอ แต่เธอก็ส่ายหน้าปฏิเสธการไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด
คุณหมอพยักหน้าตามความต้องการของคนไข้ "
โอเคครับ งั้นก็ประคบเย็นแล้วก็ทานยาแก้อักเสบกับยาคลายกล้ามเนื้อไปก่อนนะครับ พยายามอย่าลงน้ำหนักที่ขาข้างนี้สัก 2-3 วัน เดี๋ยวพยาบาลจะพันผ้ายืดให้"
เมฆินทร์จัดการจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เมื่อพยาบาลพันผ้าให้เธอเรียบร้อย
ภายในรถ เมฆินทร์ขับออกมาอย่างช้า ๆ มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย อีกข้างจับมือเธอไว้
"เห็นไหม... ไม่เป็นอะไรมากหรอก" เมฆินทร์พูดเบา ๆ พยายามปลอบโยน
จารวีมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบ ๆ ในใจเธอรู้สึกโล่งอกที่เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก และหมอก็ไม่ได้ซักถามหรือตรวจละเอียดไปมากกว่านี้
เมฆินทร์เห็นเธอเงียบไปจึงพูดขึ้นอีกครั้ง "จี๊ด... พี่รู้ว่าจี๊ดโกรธ แต่สิ่งที่ปกรณ์พูด... พวกเขาแค่ทำไปเพราะเข้าใจว่าพี่กับจี๊ด... คือพี่แค่ต้องการจะบอกว่า ความผิดพลาดในคืนนั้นมันมีสาเหตุมาจากยา ไม่ใช่ว่าพี่ตั้งใจจะปัดความรับผิดชอบ... พี่ต้องการรับผิดชอบทุกอย่างนะจี๊ด"
จารวีหันมามองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า "พี่ไม่ต้องพูดอะไรแล้วค่ะ จี๊ดเข้าใจทุกอย่างดี"
คำว่า "เข้าใจทุกอย่างดี" ของจารวีกลับฟังดูเหมือนการตอกย้ำว่าเธอตัดสินใจไปแล้ว และเมฆินทร์ไม่มีโอกาสได้แก้ไขความเข้าใจผิดใด ๆ อีกต่อไป
เมฆินทร์ขับรถไปตามถนนที่เงียบสงบ จารวีเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับความเจ็บปวด ความอับอาย และความตกใจและหวาดกลัวกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เธอมัวแต่เหม่อลอยจนไม่ได้สังเกตทิศทางที่รถกำลังมุ่งหน้าไป
"ถึงแล้วครับ" เสียงทุ้มต่ำของเมฆินทร์ดังขึ้น
หญิงสะดุ้งเล็กน้อย หันกลับมามองอย่างงุนงง และเมื่อสายตาจับจ้องไปยังตึกสูงสง่าที่อยู่ตรงหน้า เธอก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
"พี่เมฆ! นี่มันคอนโดของพี่!"
เมฆินทร์ปลดเข็มขัดนิรภัย หันมามองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง
"ใช่ครับ วันนี้จี๊ดต้องอยู่กับพี่"
"ไม่ค่ะ! ไม่ได้! จี๊ดจะกลับห้อง!" เธอพยายามเปิดประตูรถ แต่ก็ถูกล็อกไว้
"ข้อเท้าจี๊ดเคล็ดอยู่นะ จะกลับยังไง พี่จะไปส่งก็ไม่ยอม พี่ถึงต้องพามาที่ห้องพี่ คืนนี้ก็พักที่นี่แหละ" เมฆินทร์พูดอย่างเด็ดขาด
"พี่ไม่มีสิทธิ์! จี๊ดไม่ได้อนุญาตให้พี่พามา!"
"พี่ขอโทษที่ไม่ได้ขออนุญาต แต่พี่ไม่ไว้ใจให้จี๊ดกลับเองคนเดียวตอนนี้" เมฆินทร์ปลดล็อกประตูฝั่งตัวเอง "พี่ขอแค่วันนี้คืนนี้ ให้พี่ได้ดูแลจี๊ดในฐานะที่พี่รู้สึกผิดต่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น พี่สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรถ้าจี๊ดไม่ยินยอม"
เขาไม่ได้ให้โอกาสเธอปฏิเสธอีกต่อไป เมฆินทร์ลงจากรถอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ แล้วช้อนร่างเธอขึ้นอุ้มอย่างระมัดระวัง
จารวีจำใจที่ต้องจำยอมเขา เธอไม่อยากให้เขาไปส่งที่ห้องเพราะไม่อยากให้เขารู้ที่อยู่
เขาพาเธอขึ้นไปยังห้องชุดสุดหรูของเขาอย่างรวดเร็ว โดยตรงไปยังห้องนอนใหญ่ เขาบรรจงวางร่างเธอลงบนเตียงขนาดคิงไซส์อย่างนุ่มนวล
"เดี๋ยวพี่ไปเอายามาให้ จี๊ดนอนพักอยู่ตรงนี้นะครับ" เมฆินทร์สั่งอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินหายเข้าไป
เธอมองไปรอบ ๆ ห้องนอนที่กว้างขวางและหรูหรา กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายและกลิ่นเฉพาะตัวของเมฆินทร์อบอวลไปทั่วห้อง
เขากลับมาพร้อมกับแก้วน้ำและยา นั่งลงข้างเตียง ประคองให้เธอลุกขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อป้อนยา
"ทานยานะครับ จะได้หายเร็ว ๆ"
เธอรับยามาทานอย่างว่าง่าย เมื่อทานยาเสร็จ เขาก็ช่วยจัดหมอนรองข้อเท้าที่บาดเจ็บให้เธออย่างเบามือ
"พักผ่อนเถอะนะครับ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันเรื่องที่ค้างคาไว้ทั้งหมด พี่อยากให้จี๊ดฟังความจริงจากพี่ให้ชัดเจนที่สุด"
เขาพูดจบก็ลุกขึ้นยืน ทอดสายตาลงมาที่เธอด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ความรู้สึกผิดและความต้องการครอบครอง...
ปริศนาชายชุดดำตัดภาพกลับมายังในรถขณะที่เมย์และเมฆินทร์ ภายในรถ เมย์ยังคงคาใจเรื่องเหตุการณ์ที่คอนโดของจารวี"พี่เมฆ... เรื่องชายชุดดำวันนั้น ตกลงพี่ว่ามันเป็นใครกันแน่" เมย์เริ่มถาม น้ำเสียงจริงจังขึ้นทันทีที่ไม่มีจารวีอยู่ด้วยเมฆินทร์ขมวดคิ้ว มือหนากำพวงมาลัยแน่น เขามองกระจกข้างด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ "พี่ก็ยังไม่แน่ใจนัก แต่มันมีบางอย่างที่พี่รู้สึก แปลก""แปลกยังไงคะ?""คำพูดของมันไง ที่พูดกับจี๊ดว่า 'จำฉันไม่ได้เหรอ' ถ้าเป็นสตอล์กเกอร์ที่คลั่งไคล้ผลงานการถ่ายแบบ มันควรจะพูดอะไรที่บ่งบอกถึงการชื่นชม หรือต้องการครอบครอง ไม่ใช่คำถามที่เหมือนเป็นการ ทวงความจำ แบบนั้น"เมย์พยายามคิดตาม "หรือว่าจะเป็นศัตรูของจี๊ดตอนสมัยเรียน? หรือตอนที่เธอเป็นนักกีฬา?""พี่ก็คิดอยู่ แต่นั่นมันเรื่องนานมาแล้ว แถมจี๊ดก็บอกว่าเธอไม่มีปัญหากับใครเลย" เมฆินทร์ถอนหายใจ "แต่ที่สำคัญคือ... ปฏิกิริยาของมันตอนที่เห็นพี่""ปฏิกิริยาอะไรคะ?""มันเหมือน ตกใจ มากกว่าที่จะกลัว หรือโกรธที่ขัดขวางการทำร้ายจี๊ด พอพี่ถีบมันออกไป มันพยายามจะดึงหมวกคลุมหน้ากลับมากกว่าจะคว้ามีด มันอยากจะปิดบังตัวตนมากจริง ๆ"เมย์ชั่งใจ
อากาศบนภูยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บเสียจนต้องขดตัว แต่ความหนาวนี้ก็มิอาจเทียบได้กับความเร่าร้อนที่กำลังปะทุขึ้นในเต็นท์...ในเต็นท์ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แสงไฟดวงน้อยส่องให้เห็นเงาตะคุ่มๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเร่งเร้า ริสา ถูกรุกเร้าจนเสียงหอบหายใจขาดห้วง มือเล็กจิกลงบนแผ่นหลังกว้างของธนาอย่างลืมตัวเพื่อยึดเหนี่ยวตัวเองไว้กับความรู้สึกที่พุ่งทะยานธนาจูบเธอหนักหน่วงและดูดดื่มราวกับจะกลืนกินทุกอณูของร่างกาย เสียงกระซิบพร่าๆ คลอไปกับเสียงผ้าปูที่นอนเสียดสี... เป็นภาพที่ใครเห็นก็รู้ว่าคนข้างในกำลังใช้ความหนาวเป็นข้ออ้างในการมอบความอบอุ่นให้กันและกันอย่างไร้ขีดจำกัด!"ไอธนา มึงดับไฟด้วย!" เสียงตะโกนของเมฆินทร์ ดังข้ามมาพรึ่บ! ไฟในเต็นท์ก็ดับลง เหลือเพียงความมืดมิดที่ช่วยปกปิดความเร่าร้อนที่ดำเนินต่อไป...(...!...)เมฆินทร์ดึงจารวีเข้ามากอดไว้แน่นจนร่างบางแทบจะจมหาย ซบใบหน้าลงกับกลุ่มผมหอมๆ ของเธอ กลิ่นหอมหวานของเธอปลุกเร้าสัญชาตญาณดิบให้ตื่นขึ้นทันที อ้อมกอดนี้ช่างอบอุ่นจนความหนาวที่มีอยู่มลายหายไปสิ้น"หนาวจัง... ขอกอดหน่อยนะ" เสียงทุ้มนุ่มกระซิบที่ข้างหู พร้อมกับลมหายใจร้อนผ่าว รดริน
เมย์กลับมาหาจารวีที่คอนโดในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เมย์ก็โวยวายด้วยความตกใจ"อะไรนะ! นี่ฉันทิ้งแกไว้คนเดียวแป๊บเดียว เกิดเรื่องเลยเหรอ! แบบนี้ที่แกรู้สึกว่าเหมือนมีคนตามแกมองแกอยู่ มันก็เรื่องจริงสิ! สต๊อกเกอร์ไหม? พวกที่ชื่นชมผลงานแกผ่านที่แกถ่ายแบบกับพี่จีน่าหรือเปล่า? ไม่สิ... ถ้าเป็นพวกคลั่งไคล้ ถึงขนาดต้องเอามีดจี้คอกันเลยเหรอ! แต่แกก็ไม่มีศัตรูที่ไหนนี่" เมย์รัวใส่ด้วยความสงสัย"ฉันคุ้นเสียงนะ เหมือนเคยได้ยินเสียงที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก... มันพูดว่าจำฉันไม่ได้เหรอ ... ใคร? ฉันต้องจำใครได้?" จารวีพึมพำเมย์รีบสรุป "เท่ากับว่ามันตามแกอยู่ตลอด คิดดูสิ ไม่งั้นมันจะรู้ได้ยังไง ว่าแกอยู่คนเดียวได้ถูกจังหวะแบบนี้ เพราะปกติเราจะอยู่ด้วยกันตลอด""อือ... ก็จริงของแกนะเมย์""ดีนะที่ตอนนั้นพี่เมฆอยู่ด้วย" เมย์เผลอหลุดปาก"เดี๋ยวก่อนยัยเมย์! แกหมายความว่ายังไง นี่เป็นแผนของแกเหรอ""แฮ่ ๆ ๆ ... ขอโทษที ฉันอยากให้แกกับพี่เมฆได้เจอกัน ได้คุยกันบ้างอ่ะ""อย่าไปว่าเมย์เลยครับ พี่เป็นคนขอให้เมย์ช่วยเอง ก็พี่เป็นห่วงเรานี่" เมฆินทร์รีบสวนขึ้นจารวีสบตาเมฆินทร์อย่างอ่อนใจ แต่ในใ
บทสนทนาทางโทรศัพย์เมฆินทร์กับเมย์"ฮัลโหลเมย์ พี่มีเรื่องจะถามหน่อย" เสียงทุ้มกรอกลงไปในโทรศัพท์"พี่โทรมาพอดีเลย เมย์ก็มีเรื่องจะบอก" ปลายสายตอบกลับทันที "คือพี่จีน่ามาชวนจี๊ดไปถ่ายแบบ แต่พี่ไม่ต้องตกใจนะ ยังไม่ได้ออกจากงาน แค่ชวนให้ลองดูเฉยๆ""แล้วจี๊ดว่าไง? ตกลงไหม?" เขารีบถามด้วยความสนใจ"ดูเหมือนจะสนใจนะ" เธอตอบเสียงอ้อมแอ้ม "พี่จีน่าพูดถูก ถ้าจี๊ดยังอยู่กับความกลัวแบบนี้เมื่อไหร่จะกลับมาเป็นปกติ? ให้ลองดูก็ดีเหมือนกัน""พี่ไม่มีสิทธิ์ห้ามอะไรเขาอยู่แล้ว ฝากเมย์ดูแลด้วยนะ" เขาเน้นย้ำ"เมื่อกี้พี่กำลังจะถามอะไรเมย์นะ?" เธอถามย้อนขึ้น"อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ไว้เจอกันพี่ค่อยถามก็ได้ วันหยุดนี้พี่จะกลับกรุงเทพฯ เมย์ช่วยพี่หน่อยได้ไหม?ทำยังไงก็ได้ให้พี่ได้เจอจี๊ดสักครั้ง" เขาขอร้องด้วยน้ำเสียงจริงจัง"จะโอเคเหรอพี่? เดี๋ยวแม่จะว่าไหม?" เมย์กังวล"แค่ครั้งเดียวนะเมย์ ช่วยพี่หน่อยเถอะ พี่มีเรื่องจะคุยกับจี๊ด และก็อยากเจอหน้า ขอแค่ครั้งเดียวจริงๆ""ก็ได้ค่ะ เมย์จะพยายาม" เธอยอมรับปากบทสนทนาของเมฆินทร์กับเพื่อนหลังวางสายจากเมย์ เมฆินทร์กดโทรศัพท์หาวายุทันที"วายุ ช่วงนี้มึงว่างไหม? ช่วยกูคิ
6 เดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้าทรมาน สำหรับเมฆินทร์ที่ถูกย้ายไปเชียงใหม่ และจารวีที่ทำงานที่กรุงเทพฯ มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาเหมือนขาดใจ เพราะเขาไม่มีโอกาสได้ดูแลเธอ ส่วนจารวี... แม้จะยังรัก... แต่ความหวาดกลัวก็ยังคงฝังลึกและเจ็บปวดจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจารวีทำงานในบริษัทของครอบครัวเมฆินทร์ภายใต้การคุ้มครองอย่างเข้มงวดของ นภา รองประธานบริษัทผู้มีอำนาจล้นเหลือ ครอบครัวของเมฆินทร์ประกาศชัดเจนว่าห้ามใครมายุ่งหรือทำอันตรายเธอโดยเด็ดขาดนภาจัดการไล่พนักงานที่เคยซุบซิบนินทาว่าเธอเป็นเด็กเลี้ยงหรือพูดในทางไม่ดีออกไปทั้งหมด และกำชับห้ามใครคิดร้ายอีกต่อไปการปฏิบัติของทุกคนในบริษัทต่อจารวีเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่งในครอบครัว ซึ่งตัวเธอเองก็รู้สึกอึดอัดใจกับสถานะที่ได้รับ แต่นภาต้องการชดใช้ความผิดที่ลูก ๆ ของเธอเคยทำพลาด ไม่ว่าจะในอดีตของเมย์ หรือในปัจจุบันของเมฆินทร์ การดูแลเธอในระดับนี้จึงยังน้อยไปด้วยซ้ำในความรู้สึกของผู้เป็นแม่วันเวลาที่ผ่านไปได้ช่วยเยียวยาจิตใจของจารวีให้ดีขึ้น แต่ก็ยังมีเงื่อนปมบางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจของเธอเสมอมา วันนี้ ความคับข้องใจนั้นกำลังจะถูกคลี่คลายลง เมื่อมีหญิงสา
ล็อบบี้และสติของเมย์เมฆินทร์อุ้มร่างที่ไร้สติของจารวีวิ่งออกมาจากลิฟต์ไปยังล็อบบี้อย่างบ้าคลั่ง สภาพเขาตอนนี้มีแต่ร่องรอยการต่อสู้ เหงื่อท่วมกาย ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนและตื่นตระหนก เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอย่างไรต่อบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ใครก็ได้! เรียกรถ! เรียกรถพยาบาล!พนักงานที่เคาน์เตอร์ต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกับภาพชายคลั่งที่อุ้มหญิงสาวตัวซีดเซียวเมย์วิ่งตามมาติด ๆ คว้ากระเป๋าจี๊ดไว้แน่น เธอเห็นความตกตะลึงจนสติแตกของพี่ชาย จึงพุ่งเข้าใส่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ทันทีเมย์เสียงเฉียบขาดและเร่งรีบ ตอนนี้ต้องการรถไปส่งที่ท่าเรือข้ามเกาะด่วนที่สุด! เร็วเข้า! ตอนนี้!เธอชี้ไปที่หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเมฆินทร์ พยายามใช้ไพ่ตายที่สร้างขึ้นมาผู้หญิงคนนี้... เธอได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง... ฉันกลัวว่าเธอจะ แท้งลูก! ให้รีบไปส่งที่ท่าเรือข้ามฝั่ง! ตอนนี้! เครื่องมือการแพทย์และสถานพยาบาลบนเกาะนี้มันไม่พอแน่ ๆ! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก... รีสอร์ทของคุณจะรับผิดชอบไม่ไหว!พนักงานรีบประสานงานกันอย่างตื่นตระหนกโดยทันที เมื่อได้ยินคำว่า 'แท้งลูก' และ 'รับผิดชอบไม่ไหว'เมฆินทร์หันไปมองน้องสาว ใบ







