เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน...
แสงแรกของวันยังไม่ทันส่องพ้นขอบฟ้า จื่ออิงก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตยังคงมีประกายง่วงงุนเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดวุ่นวายจนดึกดื่น แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
วันนี้เป็นวันที่เธอจะได้ออกไปตลาดในอำเภอ และยังเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ก้าวออกจากบ้าน ออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ไปสัมผัสโลกใบใหม่ที่เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ มันไม่ใช่แค่ฉากในซีรีส์ ไม่ใช่แค่ภาพจากสารคดี หรือเรื่องราวที่อ่านผ่านตัวหนังสือ แต่เป็นสถานที่จริง ผู้คนจริง ๆ และบรรยากาศของประเทศจีนในปี 1980 จริง ๆ ที่เธอกำลังจะได้เห็นกับตา
จื่ออิงพลิกตัวหันไปมองเหยียนเหยียนที่ยังคงนอนหลับปุ๋ย ใบหน้าเล็ก ๆ ซุกอยู่ในผ้าห่ม หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากเตียง เพื่อไม่ให้รบกวนหนูน้อย
จื่ออิงเดินออกจากห้องอย่างกระฉับกระเฉง และพบว่าหลี่เฉินตื่นก่อนแล้ว ชายหนุ่มเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องโถง
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ"
เสียงหวานใสที่เอ่ยทักทายขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้หลี่เฉินที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมตะกร้าหวายตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้น สายตาประสานเข้ากับดวงตาหวานซึ้งของหญิงสาวที่ฉายประกายสดใส ขณะที่ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มบางส่งมาให้
"แฮ่ม... อรุณสวัสดิ์"
หลี่เฉินกระแอมเบา ๆ คล้ายจะกลบเกลื่อนบางอย่าง เอ่ยกับหญิงสาวเสียงเรียบแล้วรีบก้มหน้ากลับไปสนใจงานในมือต่อ แต่ปลายนิ้วกลับเงอะงะจับผิดจับถูกราวกับสมาธิถูกดึงไปเสียแล้ว
จื่ออิงมองเขาอย่างขบขัน ไหวไหล่น้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังห้องอาบน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น
หลี่เฉินที่แสร้งจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าเหลือบสายตาขึ้นมองแผ่นหลังบอบบางของหญิงสาวที่เดินออกไป ดวงตาคมลึกล้ำสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะบรรยาย ริมฝีปากหยักได้รูปกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ
เขาดีใจที่เห็นเธอหายดี เช้านี้หลินจื่ออิงดูสดใสขึ้นมากกว่าเมื่อวานเสียอีก ท่าทางคล่องแคล่ว กระตือรือร้น และมีชีวิตชีวาของเธอ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูสดใสขึ้นอย่างน่าประหลาด
หญิงสาวดูแตกต่างจากเมื่อก่อนราวกับคนละคน แต่ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ดี เขาคิดว่ารอยยิ้มสดใสและท่าทางร่าเริงแบบนี้เหมาะสมกับเธอที่สุดแล้ว
ด้านหลินจื่ออิงไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดยังไง หลังจากล้างหน้าล้างตาจนรู้สึกสดชื่นแล้ว เธอก็ตรงเข้าไปในครัวทันที ก่อนจะออกจากบ้าน ควรหาอะไรรองท้องเสียก่อน มื้อเช้านั้นเป็นมื้อสำคัญ ช่วยให้เรามีแรง กระฉับกระเฉง ทำทุกอย่างได้เต็มที่มากขึ้น
"ดูซิ ยังมีอะไรเหลือให้กินบ้าง"
เมื่อวานเธอเห็นว่าหลี่เฉินซื้อแป้งสาลีกลับมาด้วย และผักเมื่อวานก็เหลืออยู่อีกเล็กน้อย
หญิงสาวจึงเดินออกไปทางหลังบ้าน ตรงไปยังเล้าไก่ที่เห็นเมื่อวาน โชคดีที่มีไข่ไก่อยู่สามฟอง เธอหยิบไข่ออกมาสองฟองก่อนจะกลับเข้ามาในครัว
จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อพบว่า หลี่เฉินจุดเตาไว้ให้แล้ว ถึงเขาจะไม่ค่อยพูด แต่กลับใส่ใจทุกอย่างโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด ๆ หัวใจของเธอรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเตามีคนจุดให้แล้ว จื่ออิงจึงลงมือตีไข่ จากวัตถุดิบที่มีอยู่ตอนนี้คงทำได้แค่แป้งทอดง่าย ๆ กินรองท้องไปก่อน เพราะเมนูนี้ทำง่ายที่สุดแล้ว
จื่ออิงตีไข่ใส่ลงไปในแป้งสาลี เติมน้ำเล็กน้อย ใส่เกลือนิดหน่อย คนให้เข้ากันจนได้แป้งเหลว ๆ แล้วหันมาจัดการกับผักที่เหลือจากเมื่อวาน เธอสับผักจนละเอียดใส่ตามลงไป จากนั้นนำไปทอดบนกระทะให้เป็นแผ่น ๆ คล้ายแพนเค้ก แค่นี้ก็ได้มื้อเช้าที่หอมอร่อยและอิ่มท้อง
หลังจากเตรียมมื้อเช้าเสร็จ ด้านนอกท้องฟ้าก็เริ่มสว่างไสว แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง จื่ออิงวางมือจากงานในครัว แล้วเดินเข้าไปในห้อง ปลุกบุตรสาวตัวน้อยที่ยังคงหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง
"เหยียนเหยียน ตื่นได้แล้วลูก วันนี้เราจะไปตลาดกันนะ"
เสียงหวานเอ่ยปลุกเบา ๆ พลางลูบศีรษะเล็ก ๆ อย่างอ่อนโยน หลี่ซูเหยียนขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองมารดาด้วยดวงตากลมใส แล้วซุกใบหน้าเข้าหาไออุ่นของมารดาต่อ
จื่ออิงหัวเราะเบา ๆ อุ้มร่างเล็กขึ้นมา
"ไม่ได้ค่ะ ต้องตื่นแล้วนะ เดี๋ยวแม่อาบน้ำให้ วันนี้เราจะไปเที่ยวตลาดกัน"
เมื่อได้ยินว่าจะได้ไปตลาด ดวงตากลมโตของหลี่ซูเหยียนก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เธอพยักหน้าอย่างว่าง่าย ยอมให้มารดาพาไปอาบน้ำอย่างไม่อิดออด
ใช้เวลาไม่นาน เด็กหญิงตัวน้อยก็ถูกจับแต่งตัวเรียบร้อย หลี่ซูเหยียนอยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อน แขนเสื้อพองเล็กน้อย ขากางเกงเป็นทรงหลวมสบาย ส่วนผมยาวสลวยของเธอถูกถักเป็นเปียคู่เล็ก ๆ ผูกด้วยผ้าผูกผมสีเดียวกับเสื้อที่ปลายเปีย ทำให้เด็กหญิงดูน่ารักน่าชังเหมือนตุ๊กตาตัวน้อย
จื่ออิงมองผลงานของตัวเองอย่างพอใจ ก่อนจะยิ้มและจิ้มแก้มบุตรสาวเบา ๆ
"เสร็จแล้วค่ะ น่ารักขนาดนี้ แม่ต้องคอยจับตาไว้ดี ๆ ไม่ให้ใครมาแย่งไปแล้วล่ะ"
ไปตลาดครั้งนี้เธอจะหาซื้อผ้าสวย ๆ มาตัดชุดกระโปรงน่ารัก ๆ ให้บุตรสาวหลาย ๆ ชุดเลยคอยดู
หลี่ซูเหยียนส่งยิ้มหวานให้มารดา ก่อนจะยื่นแขนเล็ก ๆ มากอดมารดาแน่น เธอรู้สึกมีความสุขมาก ๆ
"รอแม่แป๊บนึงนะ"
จื่ออิงบอกบุตรสาว แล้วหันไปหยิบกระเป๋าผ้าสะพายข้าง ที่ข้างในบรรจุเงินที่จะใช้ซื้อข้าวของในวันนี้เอาไว้จำนวนหนึ่ง ไปตลาดครั้งนี้เธอมีของที่ต้องซื้อมากมายเลยทีเดียว ทั้งของใช้ส่วนตัวและของใช้จำเป็นที่คิดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
ก่อนออกจากห้อง หญิงสาวสำรวจตัวเองในกระจกบานเล็กอีกครั้ง วันนี้เธอเลือกใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนสีเดียวกับบุตรสาว ซึ่งเป็นสีที่ดูสะอาดสะอ้านและสุภาพ เสื้อเชิ้ตตัวนี้เธอค้นเจอจากในตู้ แม้จะตัวเล็กไปนิด แต่ก็ยังพอใส่ได้ เนื้อผ้าไม่หนาไม่บางจนเกินไป ให้ความรู้สึกสบาย เหมาะกับอากาศยามเช้า
ท่อนล่างเธอสวมกางเกงผ้าฝ้ายสีกรมท่าทรงขาตรง ดูทะมัดทะแมงและคล่องตัว ส่วนผมยาวดำขลับถูกมัดรวบเป็นหางม้าต่ำด้วยเชือกผ้าสีขาว ดูเรียบร้อยแต่ก็ยังให้ความรู้สึกสดใสเป็นธรรมชาติ แม้เส้นผมจะยังแห้งกระด้างไปบ้างจากการไม่ได้รับการดูแลมานาน แต่ก็ไม่ได้ดูแย่จนเกินไป
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วก็จูงมือบุตรสาวออกไปกินมื้อเช้าด้วยกัน
ท่ามความบรรยากาศที่สงบเงียบ รอบกายเต็มไปด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย เสียงทุ้มของหลี่เฉินก็ดังขึ้นแผ่วเบา ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน"อาอิง คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณดูเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่งามละสายตาจากภาพทิวทัศน์สองข้างทาง ทอดมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำพูดนั้น เธอรู้ดีว่าเธอเปลี่ยนไปจริง ๆ เพราะเธอไม่ใช่ ‘หลินจื่ออิง’ คนนั้นเธอคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เธอคือหลินจื่ออิงแล้ว เธอก็ควรทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อเขาเปิดใจมาเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ควรเปิดใจกับเขาอย่างตรงไปตรงมา และหลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะขอน้อมรับทุกประการ ถือว่าเคลียร์ใจกันไปเลย"ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกค่ะ"จื่ออิงตอบเสียงเบา ทว่าหนักแน่น"ฉันแค่คิดได้ คิดได้ว่าต่อจากนี้ ฉันจะไม่เดินซ้ำรอยเดิม จะไม่เป็นผู้หญิงที่ยึดติด ฉันควรจะเข้มแข็งด้วยตัวเอง และไม่บีบบังคับใจใครอีก ฉัน รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำก็เท่านั้น"เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง"ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอโทษนะคะ"
"เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยนะซินหยา วันนี้พี่ต้องพาภรรยาไปซื้อของ"หลี่เฉินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น คล้ายต้องการยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ และเขาก็ได้รับรอยยิ้มหวานเชื่อมจากภรรยาทันทีที่เอ่ยจบ รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้ผลิบานยามเช้า ดึงดูดสายตาจนเขาเผลอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ ราวกับเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรกความอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและพึงพอใจบนใบหน้า ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอคลี่ยิ้มบางๆ เก็บซ่อนความผิดหวังและไม่พอใจเอาไว้มิดชิด"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน คิดว่า... จะเหมือนกับทุกที"ประโยคสุดท้ายของเจียงซินหยาแผ่วเบา ราวกับเป็นเพียงคำพึมพำที่ไม่ได้คาดหวังให้ใครได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น จื่ออิงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนเธอเพียงแค่ยืนเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุขุม ราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดี แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปแม่นางเอกของนักเขียนคนนี้มีครบจบในที่เดียวจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นแม่ดอกบัวขาว เป็นเสี่ยวซานแล้ว ยังเป็นแม่ชาเขียว หรือที่มักเรีย
เจียงซินหยาที่สังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เฉิน เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของชายหนุ่ม แล้วต้องชะงักไปเธอเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กับหลี่เฉินเพียงลำพังรอยยิ้มอ่อนหวานที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในบ้านของเขาผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใครกันและดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เธอสงสัยนาน เพราะในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอหลินจื่ออิงรู้ตัวดีว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้มาเยือน และในฐานะเจ้าของบ้าน การเมินเฉยต่อแขกคงไม่ใช่เรื่องสมควรและเป็นการเสียมารยาท เธอจึงหันไปจูงมือบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังหันมองคนนั้นที คนนี้ทีด้วยดวงตาใสแจ๋ว พาเดินเข้าไปหาทั้งสองคนฝีเท้าของจื่ออิงก้าวเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เธอเดินตรงไปหาหลี่เฉินและเจียงซินหยา มือเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็กระชับมือของเธอแน่นขึ้น ราวกับกำลังหาที่พึ่งพา ดวงตากลมใสช้อนมองเธออย่างลังเล ก่อนจะหันไปจ้องหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่จื่ออิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้น ก้มลงมองสบตาบุตรสาว ดวงตาคู่น้อยสะท้อนความลังเลและอึดอัดอย
หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทั้งสามก็เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่า..."พี่เฉิน พี่เฉินคะ"เสียงเรียกหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูรั้ว ก่อนที่ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาในลานหน้าบ้านจื่ออิงที่กำลังสวมรองเท้าให้บุตรสาว หันไปมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวเรือนร่างระหงในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูหวาน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ใบหน้าหวานสะอาดสะอ้านดูอ่อนโยน หากแต่แววตากลับเปล่งประกายแฝงความมุ่งหวังบางอย่างเธอคือใครกันจื่ออิงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะมองดูหญิงสาวที่เดินตรงเข้าไปหาหลี่เฉินที่กำลังนำตะกร้าหวายสำหรับใส่ของผูกไว้ด้านหน้าจักรยาน ดวงตาหวานซึ้งคู่นั้นจับจ้องมองตรงไปยังหลี่เฉินเพียงคนเดียว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองรอบตัวเลยด้วยซ้ำ ท่าทางของเธอราวกับมีเพียงเขาเท่านั้นในสายตา และท่าทีคุ้นเคยของคนทั้งสองทำให้จื่ออิงอดสงสัยไม่ได้"ดีจังที่พี่ยังไม่ออกไป"เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง"ซินหยา มีอะไรหรือเปล่า ถึงได้มาหาพี่แต่เช้า"หลี่เฉินหยุดมือที่กำลังผูกตะกร้า หันมาถามหญิงสาวผู้มาใหม่ น้
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน...แสงแรกของวันยังไม่ทันส่องพ้นขอบฟ้า จื่ออิงก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตยังคงมีประกายง่วงงุนเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดวุ่นวายจนดึกดื่น แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่เธอจะได้ออกไปตลาดในอำเภอ และยังเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ก้าวออกจากบ้าน ออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ไปสัมผัสโลกใบใหม่ที่เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ มันไม่ใช่แค่ฉากในซีรีส์ ไม่ใช่แค่ภาพจากสารคดี หรือเรื่องราวที่อ่านผ่านตัวหนังสือ แต่เป็นสถานที่จริง ผู้คนจริง ๆ และบรรยากาศของประเทศจีนในปี 1980 จริง ๆ ที่เธอกำลังจะได้เห็นกับตา จื่ออิงพลิกตัวหันไปมองเหยียนเหยียนที่ยังคงนอนหลับปุ๋ย ใบหน้าเล็ก ๆ ซุกอยู่ในผ้าห่ม หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากเตียง เพื่อไม่ให้รบกวนหนูน้อยจื่ออิงเดินออกจากห้องอย่างกระฉับกระเฉง และพบว่าหลี่เฉินตื่นก่อนแล้ว ชายหนุ่มเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องโถง "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ"เสียงหวานใสที่เอ่ยทักทายขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้หลี่เฉินที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมตะกร้าหวายตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้
จื่ออิงมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่หน้าห้องของเธอในเวลานี้แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องกระทบใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิน ทำให้เธอเห็นแววตาที่อ่านไม่ออกของเขา จื่ออิงกะพริบตาปริบ ๆ มองเขาอย่างฉงน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด"มีอะไรหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เสียงของเธอแผ่วเบาเพราะไม่อยากรบกวนเหยียนเหยียนที่เพิ่งหลับไป"คือฉัน...จะออกไปดื่มน้ำ"เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีกทาง หรือเอ่ยสิ่งใดออกมา จื่ออิงจึงบอกจุดประสงค์ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก หลี่เฉินยังคงยืนเงียบ ไม่ได้ขยับหลีกทางให้เธอในทันที ดวงตาคมกริบทอดมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาซับซ้อนราวกับกำลังพิจารณาบางอย่างจื่ออิงรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง"ฉันจะไปดื่มน้ำค่ะ"เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาทว่าชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลี่เฉินกะพริบตาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ เขาหลุบตาลงมองกล่องเหล็กในมือ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ขอโทษที ผมเอานี่มาให้ค