คนที่โทรมาคือพี่ชายคนสนิท ทั้งสองจบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์แห่งเดียวกัน แต่เขาจบก่อนเธอสองปี เขาเคยไปเรียนที่ต่างประเทศ และตอนนี้ก็มีชื่อเสียงมากในจีน เขาดูแลตัวเองอย่างดีมาโดยตลอด ดังนั้นจึงถือได้ว่าทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน “ว่าไงคะ” เธอรีบรับสายอย่างรวดเร็ว “พี่มีคนไข้ แต่ตอนนี้พี่ติดธุระด่วนไปไม่ได้ เธอช่วยไปแทนพี่หน่อยสิ” ซ่งหยุนหยุนเหลือบดูนาฬิกา วันนี้เธอไม่มีเคสรักษาคนไข้นอก ช่วงบ่ายมีผ่าตัดสองเคส ดังนั้นเธอจึงว่างในช่วงเช้า “โอเคค่ะ” “ที่อยู่คือ สวนกุหลาบ เฟสเอ ห้องสามศูนย์หก เธอแค่บอกเขาว่ามาหาคุณฮั่ว คนเฝ้าประตูจะแจ้งเอง” “อืม” “อย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ และอย่าถามคำถามอะไรมาก เธอแค่รักษาเขาก็พอ” ฝั่งนู้นกำชับมา “เข้าใจแล้วค่ะ” ซ่งหยุนหยุนรับปาก หลังจากวางสายโทรศัพท์ เธอก็นั่งแท็กซี่ไปยังสถานที่แห่งนั้น ที่แห่งนี้คือเขตพื้นที่ระดับไฮเอนด์ ที่มีการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวระดับสูง คนเฝ้าประตูกันเธอไว้ เธอจึงบอกว่ามาหาคุณฮั่ว คนเฝ้าประตูจึงโทรไปยืนยันก่อนที่จะให้เธอเข้าไป เธอกดกริ่งที่ห้องสามศูนย์หก ประตูเปิดอย่างรวดเร็ว ฮั่วซุนขมวดคิ้ว
เธอหลับตาลงแล้วเดินไปเก็บชุดปฐมพยาบาล โดยไม่ลืมว่าตัวเองอยู่ในฐานะหมอ เธอพูดกำชับว่า “ระวังอย่างให้แผลโดนน้ำ ฆ่าเชื้อวันละครั้ง และพยายามสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ เพื่อไม่ให้เสียดสีบาดแผลนะคะ” เธอวางยาลงแล้วพูดว่า “อันนี้สำหรับรับทาน ส่วนอันนี้สำหรับใช้ภายนอกค่ะ” เจียงเหยาจิงส่งเสียงตอบรับเบา ๆ โดยไม่หันกลับมามอง ซ่งหยุนหยุนไม่พูดอะไรต่อ เธอแค่หยิบชุดปฐมพยาบาลแล้วเดินออกไป เธอนั่งแท็กซี่กลับถึงโรงพยาบาลเกือบสิบเอ็ดโมง จากนั้นก็เดินไปหาของกินที่โรงอาหารของโรงพยาบาล ทันทีที่กลับถึงแผนก ผู้อำนวยการก็เรียกเธอไปพบที่ห้องทำงานของเขา “ผมจะให้เฉินเหวินเหยียนไปเรียนรู้ที่โรงพยาบาลกลางทหารผ่านศึกเขตสอง” ผู้อำนวยการพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับว่ามีบางอย่างปิดบังอยู่ ซ่งหยุนหยุนตกตะลึงและถามด้วยน้ำเสียงทะเยอทะยาน “คุณบอกว่าจะให้ฉันไปไม่ใช่เหรอคะ?” “คุณก็รู้ว่าอุปกรณ์การแพทย์เทคโนโลยีชั้นสูงในโรงพยาบาลของเราได้รับการบริจาคจากเทียนจูกรุ๊ป เจียงเหยาจิงสั่งให้ผมดูแลคุณหมอเฉิน ผมเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำ” ซ่งหยุนหยุนอดรู้สึกประหม่าไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อเจียงเหยาจิง แม้เธอจะเป็นภรรยาขอ
เสิ่นจือเฉียนติดรถของเจียงเหยาจิงมาที่นี่เพื่อมาหาซ่งหยุนหยุน เมื่อเห็นเฉินเหวินเหยียนเดินเข้ามา เขาก็เปิดประตูและลงจากรถ “ผมไปก่อนนะครับ” หลังจากที่เขาไป เฉินเหวินเหยียนก็เข้าไปนั่งตรงข้ามกับเจียงเหยาจิง เธอรู้สึกกระสับกระส่ายใจเล็กน้อยเพราะเธอรู้อยู่แก่ใจว่าเจียงเหยาจิงอาจจะจำคนผิด แต่เธอรู้ดีว่าเขาจะนำผลประโยชน์มาให้ จู่ ๆ ผู้อำนวยการก็สั่งให้เธอไปฝึกงานที่โรงพยาบาลกลางเขตสอง ทั้ง ๆ ที่เขาชื่นชมซ่งหยุนหยุนมาโดยตลอด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจียงเหยาจิง เธอตัดสินใจจับผู้ชายคนนี้ เรื่องดี ๆ แบบนี้ โอกาสแบบนี้ ไม่ได้เจอบ่อย ๆ เธอต้องคว้ามันไว้แน่นอน “ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นขณะพูด เจียงเหยาจิงไม่คิดว่าเธอจะตัดสินใจเร็วขนาดนี้ เขาทำตัวดูเหมือนสบาย ๆ แต่จริง ๆ แล้วเขาเองก็อยากรู้คำตอบของเธอเหมือนกัน “ฉันไม่อยากได้อะไรค่ะ” การที่คนเราจะตกลงปลงใจแต่งงานกันจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก่อน ทันทีที่เธอเอ่ยปากว่าเธอยอมตกลงแต่งงาน หรือต้องการผลประโยชน์ใด ๆ จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าเธอมีนิสัยโลภมาก เธอจึงใช้วิธีถอยก้าวเพื่อก้าวหน้า “แค่เป็นเพื่อนกับคุณก็พอแล้วค่ะ”
เจียงเหยาจิงเงยหน้าแล้วยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาตอบด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “หืม?” เสิ่นจือเฉียนกัดฟันแล้วพูดว่า “ช่างมันเถอะ เพื่อความสุขของคุณ ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน” เจียงเหยาจิงเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ออกรถ” ฮั่วซุนสตาร์ทรถแล้วขับออกไป เสิ่นจือเฉียนรู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรบางอย่างให้ซ่งหยุนหยุน ขณะที่เขากำลังหันหลังจะกลับไป เขาเห็นเธอเดินออกมาพอดี “หยุนหยุน” เสิ่นจือเฉียนก้าวไปหาเธอ “ฉันต้องกลับแล้ว” เธอยิ้มให้เสิ่นจือเฉียน เสิ่นจือเฉียนเห็นเธอแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ “คือว่าหยุนหยุน เรื่องที่ต้องหาหัวใจที่เหมาะสมให้แม่ของเธอ พี่จะพยายามเพื่อช่วยหาเต็มที่นะ” เมื่อคิดถึงแม่ เธอก็รู้สึกบีบหัวใจและพยายามซ่อนความรู้สึกไว้ แต่น้ำเสียงไม่สามารถปกปิดได้ เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “จริงเหรอคะ?” หัวใจเป็นอวัยวะที่รอนานมาก ไม่เหมือนอวัยวะส่วนอื่น บางคนรอไม่ไหวจนต้องตายเสียก่อน “พี่เสิ่น ขอบคุณมากนะคะ” เธอไม่รู้จะแสดงความขอบคุณอย่างไร สายตาของเขาอบอุ่นเล็กน้อย “ไม่เป็นไรหรอก” เสิ่นจือเฉียนรู้สึกสงสารเธอมาก ถ้าเบื้องหลังไม่ใช่เจียงเหยาจิง เธอก็คงเข้าใกล้คว
“คุณซ่ง?” ผมเป็นผู้ช่วยของคุณเจียง คุณเจียงสั่งให้ผมมารับคุณครับ” ซ่งหยุนหยุนชะงักครู่หนึ่งเมื่อเห็นฮั่วซุน พลันหลบสายตาอย่างรวดเร็ว เพื่อปกปิดไม่ให้เขารู้ว่าเธอจำหน้าเขาได้ ผู้ชายคนนี้เป็นคนเปิดประตูให้เมื่อครั้งล่าสุดที่เธอเคยไปรักษาผู้ป่วยแทนเสิ่นจือเฉียน หรือเขาเป็นผู้ช่วยของเจียงเหยาจิง? เจียงเหยาจิงคือคนที่ได้รับบาดเจ็บเหรอ? “เชิญครับคุณซ่ง” เมื่อเห็นว่าเธอยืนนิ่ง ฮั่วซุนจึงพูดย้ำอีกครั้ง ซ่งหยุนหยุนรวบรวมความสติแล้วพูดว่า “ฉันต้องไปทำงานค่ะ” เธอปฎิเสธอย่างหนักแน่น เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากเจอผู้ชายคนนั้น “คุณซ่งคิดให้ดี ๆ นะครับ สถานะของคุณตอนนี้มันทำให้คุณเจียงไม่พอใจ คุณอาจจะตกงาน หรือเสียวิชาชีพแพทย์ไปเลยก็ได้นะครับ” นี่เป็นการข่มขู่ชัด ๆ ซ่งหยุนหยุนกำหมัดแน่น พ่อของเธอให้แค่ค่าผ่าตัด ส่วนค่ารักษาพยาบาลของแม่เธอล้วนมาจากเงินเดือนของเธอทั้งหมด เธอจะตกงาน หรือเลิกทำอาชีพหมอไม่ได้เด็ดขาด ทางเดียวคือเธอต้องไปกับฮั่วซุนเท่านั้น! “งั้นคุณรอสักครู่ ฉันจะโทรไปขอลางานที่โรงพยาบาลก่อน” เธอขึ้นไปคุยโทรศัพท์ชั้นบน และหยิบมีดผ่าตัดในลิ้นชักใส่ไว้ในกระเป๋าเพื่อเอาไว้ป
เขาคิดจะปล่อยให้ฉันอยู่กับผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เหรอ? แล้วเขาออกมาทำไม? จะมาเยาะเย้ยฉันเหรอ? หึหึ! “เจียงเหยาจิง?” เธอชี้นิ้วไปยังชายที่มีท่าทางอำมหิต หรือเป็นเพราะดื่มแอลกอฮอล์จึงทำให้เธอกล้าขึ้น ตอนนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่าความกลัวคืออะไร “คุณ คุณมันก็แค่ไอ้สารเลว!” สีหน้าของเจียงเหยาจิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม! ฮั่วซุนและป้าหวู่ต่างก้มหน้าลงแทบไม่กล้าหายใจ เธอเดินเซไปมา คว้าเนคไทของเจียงเหยาจิงแล้วดึงเข้าหาตัว “คุณคิดว่าฉันอยากแต่งงานกับคุณนักเหรอ? คุณคิดว่าตัวเองเป็นเทวดาหรือไง?” กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดมาจากคลับทำให้เจียงเหยาจิงขมวดคิ้วตลอดเวลา และดูเหมือนว่าสายตาของเขาจะซ่อนความโกรธเอาไว้ เขารีบคว้าข้อมือของเธอแล้วพูดว่า “ผมว่าคุณบ้าไปแล้ว” เธอกล้าไปกับผู้ชายทุกคน? เขาต้องการให้ผู้หญิงคนนี้ถอนตัวเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์แย่ ๆ แต่ใครจะรู้ว่าเธอดื้อรั้นเหมือนลา และไม่ยอมปล่อยมือ ตอนที่ซ่งหยุนหยุนตามกู่ฮ่วยไป เขาเองก็เสียใจ อย่างไรผู้หญิงคนนี้ก็เป็นภรรยาของเขา ถึงจะแค่ในนามก็เถอะ ถ้าเธอมีมลทิน เขาก็ไม่พอใจ “คุณนั่นแหละที่บ้า” มือทั้งสองข้างของซ่งหยุนหยุนกระสับกระส่ายตบตีเ
“ไม่พบ” เจียงเหยาจิงเปิดประตูห้องทำงานแล้วพูดว่า “ขอกาแฟให้ผมสักแก้วสิ” พูดจบเขาก็เดินไปที่โต๊ะ “คุณกู่บอกว่าถ้าคุณไม่ไปพบเขาวันนี้ เขาจะไม่ยอมกลับนะคะ” เจียงเหยาจิงหันไปมองเลขา เลขาพลันก้มหน้าลงทันที “งั้นก็ไปพามาเถอะ” เขานั่งลงแล้วยื่นมือไปปลดกระดุมสูท ไม่นานเลขาก็เข้ามาพร้อมกาแฟในมือและกู่ฮ่วย กู่ฮ่วยเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ “คุณไปหาผู้หญิงคนนั้นมาจากที่ไหน?” เจียงเหยาจิงหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาแล้วสั่งให้เลขาออกไปข้างนอก หลังจากพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองกู่ฮ่วย “คุณดูที่เธอทิ้งรอยเอาไว้ให้ผมสิ?” กู่ฮ่วยชี้ไปที่คอของเขา บนคอมีรอยแผลที่เห็นได้ชัด อีกทั้งข้อมือของเขาก็พันผ้ากอซด้วย “อีกนิดเดียวเอ็นขาด” สายตาของเจียงเหยาจิงมองข้ามอาการบาดเจ็บของกู่ฮ่วย ในใจเขากลับรู้สึกมีความสุข เขาแกล้งถามว่า “ไปทำเอาท่าไหนล่ะครับ?” กู่ฮ่วยยังคงหวาดผวา “ผู้หญิงคนนั้นพกมีดมาด้วย? ฝีมือของเธอน่าทึ่งมาก ผมไปโรงพยาบาลแล้วหมอบอกว่าอีกนิดเดียวจะโดนเส้นเลือดใหญ่ ไม่ทันได้เสวยสุข แต่ผมดันเกือบตายซะงั้น ผมก็เลยอยากถามคุณว่า คุณไปเจอผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง?” เจียงเหยาจิงอารมณ์ดีเมื่อได้ยินว่าเขา
ทุกคนต่างสงสัย ใช่สิ อะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนี้?!! มีธุระกันหมดเลยเหรอ? เฉินเหวินเอียนสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้าเมื่อกี้เธอหูฝาด แล้วตอนนี้ล่ะ? เธอกวาดสายตาไปมาระหว่างเจียงเหยาจิงและซ่งหยุนหยุน เธอพยายามสังเกต “หมอซ่งมีธุระอะไรเหรอ?” เธอถามหยั่งเชิง ซ่งหยุนหยุนอยากบอกเฉินเหวินเหยียนไปตรง ๆ ว่าเธอคือภรรยาของเจียงเหยาจิง จากนั้นก็ให้เจียงเหยาจิงอธิบายรายละเอียดให้เฉินเหวินเหยียนรู้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอกลับไม่กล้าทำ เธอมีปัญหากับผู้ชายคนนี้ไม่ได้ เธอเสียโอกาสในการไปโรงพยาบาลกลางแล้วเรื่องหนึ่ง เธอไม่อยากตกงาน เธอทำได้แต่ก้มหัวและทำท่าเหมือนนกกระทา “ปู่เรียกให้ฉันกลับไป เพราะน่าจะมีเรื่องด่วน ฉันไม่ไปไม่ได้ แต่ก็ไม่คิดว่าคุณเจียงจะมีธุระเหมือนกัน บังเอิญจังเลยนะคะ ฮ่า ฮ่า” เธอหัวเราะแห้ง ๆ เธออยากจะปั่นเขาเล่น แต่เจียงเหยาจิงรู้ทัน “บังเอิญจังเลยครับ ปู่ของผมก็โทรมาเหมือนกัน แล้วคุณปู่ของคุณอยู่ที่ไหนเหรอครับ? ให้ผมไปส่งคุณระหว่างทางไหม?” ซ่งหยุนหยุนแทบจะฝืนยิ้มไม่ไหว ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะการควบคุมอารมณ์ที่ดีของเธอ เธอคงจะปาถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะใส่หน้าเขา