หญิงสาวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมสีม่วงอมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้
ในสถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ทำให้เธอรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอ
เรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของมือสังหาร จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มานานแล้ว แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากเขาโดยตรง
เธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับเรื่องราวนั้น หนักเกินกว่าจะเล่าออกมา
ดวงตาสีชมพูอ่อนสะท้อนแสงจากโคมไฟ หญิงสาวนั่งนิ่งราวกับกำลังขบคิดอะไรบาง แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ อยากให้ชายหนุ่มเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่เธอก็รู้ดี เขาก็ยังเป็นตัวเขา—คนที่เลือกจะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงลำพัง ไม่ยอมพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา
เธอหลับตาลง ภาพในอดีตแวบเข้ามาในหัว ชายหนุ่มในรูปลักษณ์เดิม ดวงตาสีเทาที่แฝงประกายลึกซึ้ง และหญิงสาวที่อยู่ข้างเขา ผมสีฟ้าที่พลิ้วไหวในสายลม รอยยิ้มของเขาในวันนั้นยังคงชัดเจนจนทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดความทรงจำเหล่านั้นย้ำเตือนว่าเธอไม่มีสิทธิ์ในหัวใจของเขา
เธอเคยพยายามตัดใจ แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าหญิงสาวคนนั้นหายตัวไป เธอกลับมามีความหวังอีกครั้ง ความหวังที่เธอเองก็รู้ดีว่าอาจเป็นเพียงฝันลมๆแล้งๆ
"ถ้าฉันยื่นมือไปตอนนี้…. จะมีโอกาสบ้างไหมน่ะ?" คาร์ลีนพึมพำกับตัวเองเบาๆ เธอกัดริมฝีปากแน่น ความคิดนั้นเสียดแทงใจเธอ ราวกับกำลังต่อสู้กับความเป็นจริงที่ไม่อยากยอมรับ หรืออาจเป็นข้ออ้างเพื่อเก็บความหวังอันริบหรี่ที่ยังหลงเหลืออยู่
แม้เธอจะยืนอยู่ในจุดที่ผู้คนมากมายเฝ้าฝันถึง อำนาจและตำแหน่งที่ใครต่างอิจฉา แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่เพียงลำพังในความมืด อำนาจที่เธอถือครองไม่อาจเติมเต็มช่องว่างในใจ ความห่างเหินระหว่างเธอกับหัวใจของเขาชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่เธอพยายามไขว่คว้าหาเขา
มันเหมือนกับว่า... ไม่มีอำนาจใดเลยที่สามารถก้าวข้ามกำแพงที่เขาสร้างไว้ได้ และนั่นทำให้เธอสงสัย—อำนาจที่เธอมีอยู่นั้น... มีความหมายอะไรจริงๆ หรือเปล่า? ทั้งๆที่มันคือสิ่งเธอในตอนเด็กเฝ้าฝันมาตลอด แต่ตอนนี้มันกลับดูไร้ความหมาย
มือเรียวของเธอลูบผ่านลิ้นชักล่างสุด ก่อนจะค่อยๆดึงมันออกมาอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเธอไหววูบ ราวกับมีบางสิ่งกดทับหัวใจอยู่ในความเงียบขณะนั้น
ข้างในลิ้นชักบุด้วยผ้าไหมดำสนิท... สิ่งที่โดดเด่นท่ามกลางความมืดนั้นคือกล่องไม้ใบหนึ่ง ลวดลายเถาองุ่นเลื้อยไปราวกับกำลังเคลื่อนไหว เส้นสายของรูนสีทองบนฝากล่องเปล่งแสงวูบวาบเหมือนกำลังเรียกหา สะท้อนแสงโคมไฟที่ทำให้โลหะเงินตามขอบดูเหมือนประกายดาว
เธอใช้นิ้วเรียวลูบไปตามขอบกล่องเบาๆก่อนจะค่อยๆหยิบมันขึ้นมาด้วยสองมือ เธอวางมันลงบนโต๊ะด้วยความนุ่มนวล ฝากล่องถูกเปิดอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นขวดแก้วสีใสที่ภายในบรรจุของเหลวสีแดงสด พลังงานที่แผ่ออกมาจากขวดทำให้บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้ง เลือดในขวดนั้นเป็นของเขา เลือดที่เขาใช้สังเวยเพื่อเรียกปีศาจใต้บัญชาของเธอออกมา
เมื่อคืนก่อน เธอสัมผัสได้ว่าปีศาจของเธอถูกอัญเชิญออกไป ตอนแรกเธอคิดว่าหนึ่งในลูกน้องของเธอเป็นคนใช้พิธีกรรมอัญเชิญปีศาจ แต่ความจริงกลับไม่ใช่—ผู้ที่ทำพิธีคือเขา และเขาไม่ได้ใช้เป้าหมายเป็นเครื่องสังเวยในพิธี แต่กลับใช้เลือดของตัวเองแทน
การตัดสินใจเช่นนั้นทำให้เธอต้องจ่ายราคามหาศาลกว่าจะได้มันมา แก่นมานาของมอนสเตอร์จำนวนมากถูกใช้เพื่อแลกกับเลือดเพียงขวดเล็กๆนี้ เลือดของชายหนุ่มเข้มข้นและทรงอานุภาพจนปีศาจที่ได้ลิ้มลองสามารถพัฒนาไปถึงขั้นที่ยากจะควบคุม เธอเองถึงกับต้องยอมสละปีศาจสองตนเพื่อรักษาสมดุลของพลังที่มากขึ้นของมัน
โชคดีที่เลือดของเขาไม่ได้ตกถึงมือจ้าวปีศาจ หากเป็นเช่นนั้น เขาอาจจะไม่ได้พบกับความสงบอีกต่อไป ปีศาจจะพยายามล่อลวงเขาให้ใช้งานมันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาตกเป็นของมันในที่สุด
"ที่ฉันช่วยนาย… ฉันทำเพื่อนายจริงๆ หรือเพียงเพราะอยากให้นายเห็นว่าฉันสำคัญกันน่ะ?" เธอกระซิบกับตัวเอง คำถามนั้นหลุดออกมาราวกับมีใครอีกคนกำลังกระซิบอยู่ในใจ เสียงของความลังเลที่เสียดแทงจิตใจจนยากจะปฏิเสธ
เธอยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรปล่อยเขาไปตามทางของเขา หรือยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือในตอนนี้ แม้จะรู้ดีว่าโอกาสที่เขาจะตอบตกลง ยอมรับความช่วยเหลือนั้นริบหรี่เหลือเกิน
ดวงตาของเธอจ้องมองของเหลวสีแดงสดที่หมุนวนราวกับมีชีวิตอยู่ในขวดแก้ว ยิ่งมองมันมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้ดื่มมันมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนั้น จู่ๆเธอก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่าง—เขาออกจากห้องไปแล้ว พร้อมกับสัมภาระและอุปกรณ์บางชิ้น มันเป็นเรื่องปกติสำหรับชายหนุ่ม เพราะเขาไม่เคยอยู่ที่นี่นานๆ ราวกับตัวเขาถูกผูกมัดด้วยเป้าหมายบางอย่างที่ยังทำไม่สำเร็จ
แต่สิ่งที่สะดุดใจเธอคือรีริคชิ้นหนึ่งที่เขาพกติดตัวไป อุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็ก รูปทรงเรียบง่ายเหมือนกระดุมธรรมดา หากมองเผินๆแทบไม่มีใครใส่ใจ แต่จุดประสงค์ของสิ่งนั้นมีไว้เพื่อติดต่อกับใครบางคนข้างนอกนั้น
มันไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับเขา—ชายที่เหมือนจะมีกำแพงบางๆปิดกันทุกคนไว้ตลอดเวลา ความเปลี่ยนแปลงนี้ แม้จะเล็กน้อย แต่ทำให้เธอรู้สึกถึงประกายความหวังบางอย่าง แม้เขาจะไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเธอโดยตรง แต่การที่เขาเลือกเปิดใจติดต่อขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอยิ้มออกมา อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าเขาเริ่มเปิดใจมากขึ้นแล้ว
เธอวางขวดเลือดกลับลงในกล่องไม้ ปิดฝาด้วยความระมัดระวังและเก็บกลับเข้าไปในลิ้นชัก ก่อนจะลุกขึ้นยืน สายตาเธอหันไปยังผนังด้านหนึ่งของห้อง ซึ่งมีแผนที่ขนาดใหญ่ของเมืองติดอยู่ รายละเอียดของมันพิถีพิถันถึงขนาดระบุซอกซอยเล็กๆทุกจุด
ดวงตาสีชมพูอ่อนจับจ้องไปยังจุดหนึ่งในแผนที่ จากข้อมูลทั้งหมดที่เธอมีและสถานการณ์ของเขาตอนนี้ มีเพียงที่เดียวที่เขาจะไป—บ้านของ "โจชัว เรนฮาร์ท" ชายคนเดียวที่เธอมั่นใจว่าเอรอสจะไปหา หากดูจากอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับ และ เขาไม่สามารถรักษาตัวเองได้ ก็มีแค่ที่เดียวที่เขาจะไป
คาร์ลีนแตะนิ้วไปยังตำแหน่งบ้านของโจชัวในแผนที่ รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ถ้าเป็นโจชัว… บางทีอาจช่วยรักษาวงแหวนเวทมนตร์ของนายได้ และที่สำคัญ เขาอาจจะช่วยแนะนำให้นายยอมเปิดใจกับฉันมากขึ้น…..”
เธอหันกลับไปยังโต๊ะ เตรียมเขียนจดหมายเชิญถึงโจชัว ชุดคลุมสีดำพลิ้วไหวตามการเคลื่อนไหว หากเขาเลือกจะขอความช่วยเหลือจากชายคนนั้นจริงๆ นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่เธอจะเข้าใกล้เขาได้มากขึ้น—ทั้งตัวเขา และหัวใจของเขา
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่