ชายร่างสูงใหญ่เดินผ่านทางเดินยาวที่ปกคลุมด้วยความเงียบสงัดของพื้นที่ บรรยากาศภายในบริเวณนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลังที่ทั้งหนักอึ้งและน่าเกรงขาม เขาหยุดชั่วครู่หน้าประตูบานใหญ่ของห้องผู้นำองกรณ์ บานประตูไม้สลักลวดลายละเอียดอ่อนแสดงถึงอำนาจและบทบาทสำคัญของเจ้าของห้อง
ในขณะที่เขาก้าวผ่านหน้าประตู ความรู้สึกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายมีสายตาจับจ้องจากอีกมิติ พลังจากดันเจี้ยนแห่งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการเฝ้ามองของเจ้าของที่นี้อย่างชัดเจน แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆก็ตาม
"ดูเหมือนเธอมีเรื่องที่จะพูดด้วย แต่ก็ลังเลที่จะถามสิน่ะ" เขาคิดในใจ สายตาสีแดงฉานของเขาหันไปมองบานประตูอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ
ผู้นำของสถานที่แห่งนี้ เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอเป็นลูกสาวของอดีตผู้นำองกรณ์อาชกรรมขนาดใหญ่ในเมือง แต่ถูกเขาทำลายลงไปเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นเธอยังเยาว์วัย แถมยังเป็นลูกของโสเภณีที่องกรณ์จับตัวมาอีก ทำให้เธอมักจะถูกรังแก และ กลั่นแกล้งดูหมิ่นเสมอ
เธอที่ผ่านความยากลำบากในชีวิตแต่ล่ะวัน ก็ได้มาพบกับเขาในร่างของจอมเชือด ในตอนแรกเธอร้องขอที่จะติดตามเขา แต่ตัวเขาในตอนนั้นปฏิเสธ ไม่อยากจะมีภาระ และ ตั้งใจจะเอาเธอปล่อยไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองสักแห่ง
แต่แล้วเขาก็ถูกความมุ่งมั่นของเธอทำลายความคิดนั้นไป เด็กสาวในตอนนั้นได้ผูกสัญญาทาสกับเขาเอง โดยที่เขาไม่ได้สมัครใจ เพื่อแลกกับความเชื่อใจของเธอ เขาจึงได้สนับสนุนการกระทำของเธอมาตลอด จนกระทั่งเธอเติบใหญ่ กลายเป็นผู้นำองกรณ์จนถึงทุุกวันนี้ แต่แล้วก็มีเรื่องที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ความรู้สึกที่เด็กสาวมีให้เขานั้น มันเลยเถิดเกินไปกว่าที่เขาจะเคยคิด
เขาเคยคิดว่าอารมณ์อ่อนไหวของเธอในตอนวัยเยาว์นั้นจะเป็นเพียงความหลงใหลเพียงชั่ววูบ แต่ความจริงกลับไม่ใช่ เธอยังคงแสดงความสนใจต่อเขาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะพยายามรักษาระยะห่างขนาดไหน แต่ความรู้สึกนั้นกลับไม่ได้ลดลงเลย
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะในสายตาของเธอ เขาคือ จอมเชือด มือสังหารที่ช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด ไม่ใช่ เอรอส อดีตนักสืบที่ไร้พลังเวทย์ ตัวตนที่แท้จริงของเขา
“ไว้ครั้งหน้า...ตอนนี้ไม่มีเวลา”ชายร่างสูงใหญ่คิดในใจอย่างเฉยชา ความคิดที่จะแก้ไขสถานการณ์เกิดขึ้นเพียงครู่หนึ่ง แต่เขาก็ปัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากใจอ่อนให้หญิงสาวมากนัก เขาจึงตัดสินใจก้าวต่อไปยังห้องของตัวเองซึ่งอยู่ถัดไปไม่มากนัก
เมื่อประตูบานใหญ่แกะสลักลวดลายซับซ้อนถูกผลักออก ห้องส่วนตัวที่ซ่อนอยู่หลังมัน ก็เผยให้เห็นภาพของสถานที่ที่สะท้อนความทรงพลังและลึกลับของผู้เป็นเจ้าของ ผนังทั้งสี่ด้านถูกปกคลุมด้วยชั้นหนังสือที่บรรจุทั้งตำราโบราณ คัมภีร์ต้องห้าม และบันทึกการวิจัยที่เขาเป็นคนเขียน และ ตีความขึ้นมาใหม่เพื่อใช้สำหรับตัวเอง
ตรงกลางห้องมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ ซึ่งแต่ละชิ้นมีกลิ่นอายของพลังเวทย์คละคลุ้งออกมา เศษกระดาษและแผ่นแปลนเวทมนตร์ถูกจัดเรียงแบบลวกๆ พร้อมด้วยแท่นบูชาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ด้านข้าง พื้นห้องมีลวดลายวงเวทย์ซึ่งถูกสลักไว้ เปื้อนด้วยรอยคราบจางๆของสิ่งที่ดูเหมือนเลือดแห้ง
ด้านหนึ่งของห้อง ตู้กระจกตั้งเรียงราย ในแต่ละตู้จัดแสดงรีริคโบราณที่เปล่งออร่าไม่ชอบมาพากล บางชิ้นถูกแกะสลักด้วยอักษรโบราณที่ไม่มีใครอ่านออก บางชิ้นดูราวกับสามารถขยับเขยื้อนได้เอง
เขาก้าวเข้าไปในห้อง เสียงรองเท้าของเขากระทบพื้นอย่างมั่นคง มือสีคล้ำหยิบแฟ้มเอกสารที่มีหัวข้อเกี่ยวกับวิญญาณจากชั้นวาง เอกสารเล่มนี้เป็นหนึ่งในบันทึกการทดลองที่ได้มาจากอาชญากรของนักโทษในองค์กร มันเคยใช้ชีวิตผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วนเพื่อสร้างเวทมนตร์ที่ช่วยส่งวิญญาณของตนเข้าสู่ร่างใหม่เพื่อยืดอายุของตัวเอง แม้การทดลองนี้จะถูกหยุดลง แต่ความเสียหายที่มันก่อไว้ก็มิอาจจางหาย
อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยเหล่านี้ไม่ได้ถูกทำลายลงไป เขามองมันในฐานะเครื่องมือที่ยังมีศักยภาพ การปล่อยให้มันสูญเปล่าจะยิ่งทำให้การตายของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นไร้ความหมาย
เขาเดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน วางเอกสารลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเครื่องมือสำหรับการปรุงยา และ วงแหวนเวทมนตร์ที่ยังไม่สมบูรณ์ เขาเริ่มอ่านเนื้อหาในเอกสารอย่างตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เมื่ออ่านไปได้สักระยะ เขาก็ถอนหายใจหนักหน่วง ลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะวางหนังสือกลับไปยังชั้นเดิม แล้วหยิบแฟ้มงานวิจัยจำนวนมากขึ้นมาวางแทน น้ำเสียงของกระดาษที่พลิกไปมาดังขึ้นในห้องที่เงียบงัน ขณะเขากลับมานั่งที่โต๊ะเพื่อเริ่มต้นอ่านอีกครั้ง
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง กองแฟ้มงานที่สะสมอยู่บนโต๊ะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทว่าบนใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ริมฝีปากของเขาขบเม้มแน่น ขณะที่มือหนาพลิกกระดาษหน้าต่อหน้าอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งแฟ้มงานเล่มสุดท้ายถูกปิดลงและวางซ้อนลงบนกองอย่างแรง ราวกับต้องการปลดปล่อยความอึดอัดในใจ
เขายกมือขึ้นทั้งสองข้าง กุมใบหน้าของตนไว้แน่น ดวงตาปิดสนิท ความเหนื่อยล้าและผิดหวังสะท้อนออกมาผ่านอากัปกิริยาเหมือนผู้ที่ไร้ทางออก
“เสียเวลาชะมัด...” เสียงบ่นของเขาแผ่วเบา ราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน แต่กลับเต็มไปด้วยความขมขื่น
เขาเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เวลาค่อยๆใกล้จะหมดลงเรื่อยๆ เขาต้องรีบกลับไปที่คฤหาสน์ เพื่อรักษาบทบาทและแผนการของตน เขาลุกขึ้นรีบหยิบรีริคและของใช้ที่จำเป็นติดตัวไปด้วย แต่สายตากลับสะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างในตู้โชว์
มันเป็นสิ่งเล็กๆที่ดูคล้ายกระดุมเม็ดหนึ่ง วางอยู่ในมุมของตู้กระจกเก่าๆ สิ่งนั้นทำให้เขานึกถึงรีริคชิ้นหนึ่ง—รีริคที่นำเขาไปพบกับอาร์วินในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ภาพความทรงจำผุดขึ้นในหัวทันที วันนั้นที่เขาพบกับอาร์วินที่กำลังนอนรอความตายอยู่เพียงลำพังในคุกใต้ดินที่หนาวเหน็บ เสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายยังคงก้องในหัว ความเดียวดายและความสิ้นหวังของชายคนนั้นยังคงติดตรึงในใจเขา
ความหนาวเหน็บจากความทรงจำเริ่มแทรกซึมเข้ามา ความรู้สึกผิดที่เขาไม่อยากยอมรับค่อยๆทวีความชัดเจนขึ้น หากวันนั้นเขาไม่ออกเดินทางไปจากเมืองในช่วงเวลานั้นพอดี หากเขาไม่ละเลยความวุ่นวายในเมือง หรือ เมินเฉยต่อเธอในตอนเช้าวั้นนั้น อาร์วินก็อาจจะยังมีชีวิต และเอเลน่าก็อาจจะไม่ต้องสูญเสียเขาไป
เขาถอนหายใจหนักๆ ความลังเลกัดกินใจจนเขาแทบไม่อาจมองหาทางออกอื่นได้ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับความจริง
“บางที...อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากหมอนั่น” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบแล้วมองดูมันใกล้ๆ สัญลักษณ์ใบโคลเวอร์สีดำบนพื้นผิวของมันดูเหมือนจะขับดันความลังเลในจิตใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เขาเก็บรีริคเข้าไปในกระเป๋า หยิบของใช้ที่จำเป็น ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป เส้นทางข้างหน้ามีเพียงแต่ความไม่แน่นอน แต่เขารู้ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงอีกแล้ว
เขามุ่งหน้าไปหาโจชัว เรนฮาร์ท ชายที่อาจเป็นทั้งความหวังสุดท้าย หรือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด.
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่