หยวนเพ่ยเนื่องจากเมามายนัก กว่าจะตื่นก็เป็นเวลาตะวันตรงหัว ฉู่หวางที่คอแข็งกว่านางมากจึงสั่งให้สาวใช้ต้มโจ๊กและน้ำแกงมาให้นางดื่มเพื่อคลายอาการเมาค้าง“เมื่อคืนหม่อมฉันดื่มหนักไปมาก คงทำอะไรให้หวางเย่ขายหน้าแล้ว” หยวนเพ่ยหัวเราะแห้งๆ สมัยอยู่โลกกาลก่อน เธอก็ไม่ค่อยดื่มสุราเพราะเพื่อนๆ ลงความเห็นว่าเ
อาชาสีดำที่มีหยวนเพ่ยถูกพาดกับอานม้าออกวิ่ง หลังจากวิ่งไปได้ไม่กี่สิบลี้ บุรุษต่างเผ่านั้นพลันหยุดม้าที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีลำธารสายเล็กที่เกิดจากหิมะบนเขาละลายพาดผ่าน แล้วหาเชือกมัดมือและขาทั้งสองข้างของนางไว้ จากนั้นจึงอุ้มนางลงจากหลังม้า มองหยวนเพ่ยที่มีท่าทีหวาดหวั่นไม่น้อยอยู่ครู่หนึ่ง คล้า
"เขาก็คือหลินเค่อตัว ข่านแห่งซีซย่า พี่ชายของซูเฟย"หยวนเพ่ยเห็นเช่นนั้นก็ให้รู้สึกผิดไม่น้อย นางเตรียมที่จะลงจากหลังม้าไปดูอาการ ทว่าฉู่หวางกลับรั้งนางไว้แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ"รองเท้าของเจ้าอยู่ที่ไหน""แต่...หวางเย่เพคะ ท่านข่าน...""ช่างเขาก่อนเถอะ บอกข้าก่อนว่ารองเท้าเจ้าอยู่ที่ใด พื้นดินแถวนี้
ใช้เวลาไม่นานนัก ทั้งหมดก็มาถึงเผ่าซีซย่าโดยสวัสดิภาพ ผู้ที่มาต้อนรับคือจินซา ชายาแห่งข่านซีซย่า และท่านหญิงเค่อหมิ่นที่เป็นธิดาเพียงคนเดียว ที่เมื่อเห็นหยวนเพ่ยก็รีบวิ่งเข้าไปหา“เจี่ยเจีย ท่านมาที่ซีซย่าจริงๆ ด้วย ท่านพ่อกับท่านอาไม่ได้หลอกข้า!”หยวนเพ่ยย่อกายคารวะทั้งสองด้วยไมตรีจิต ซึ่งทางจินซาก
ฉู่หวางและเค่อตัวยังคงดื่มเหล้านมม้าถ้วยแล้วถ้วยเหล้า เมื่อเห็นชายาของพวกตนออกไปกันหมด เค่อตัวจึงเอ่ย “ชายาของท่านเป็นสตรีที่มากความสามารถ เสียดายที่เป็นแค่หรูเหริน”“เป็นหรูเหรินก็ดี หวางเฟยก็ช่าง อย่างไรเสียนางก็เป็นภรรยาข้า”“หวงตี้ก็ช่างกระไร ท่านทำความชอบมากมายขนาดนี้ ยกสตรีที่น้องชายหลงรักให้เ
หลังจากพักผ่อนถึงช่วงสาย จินซาก็นำเสื้อของซีซย่ามาให้ทั้งสองผลัดเปลี่ยน เป็นเสื้อตัวยาวสีสันสดใสแบบชุดฉีผาว (กี่เพ้า) ของเผ่าแมนจู แขนเสื้อกว้างกุ๊นด้วยลวดลายแปลกตา แต่งดงาม ส่วนทรงผมจากเดิมที่เกล้ามวยก็เปลี่ยนมาเป็นถักเปียคู่แทน ซึ่งเสื้อของฝ่ายชายก็ไม่แตกต่างกัน ส่วนทรงผมนั้นฉู่หวางไม่ยอมทำตามแบบช
ถึงแม้ว่าหยวนเพ่ยจะร่ำเรียนวิชาการแพทย์มาจากมารดาที่เป็นหมอ จึงพอนึกทบทวนถึงอาการของตนเองตลอดระยะเวลาที่อยู่ซีหนิงจนถึงซีซย่า และการม่าย[1] ชีพจรตรงตำแหน่งฉื่อ[2] ของนางเต้นไหลลื่นทว่าถี่เร็ว ล้วนเป็นสัญญาณที่ทำให้พอมั่นใจว่าตนเองตั้งครรภ์ไปถึงเจ็ดส่วน ทว่าเพื่อความแน่ใจ ฉู่หวางจึงให้นางกลับเข้าเม
“จื่อหาน ท่านเชื่อหรือไม่ ว่าไม่ต้องถึงมือท่านหมอ ข้าก็ตรวจได้ว่าลูกของเราเป็นชายหรือหญิง” หยวนเพ่ยเอ่ยพลางส่งยิ้มน้อยๆ มองเขาที่ตรวจนับห่อยาว่าได้มาครบถ้วนดีหรือไม่“ทำได้จริงหรือ” ฉู่หวางเริ่มสนใจทันที แต่สิ่งที่ทำให้เขาปลาบปลื้มยิ่งกว่าคือการที่นางเรียกเขาด้วยชื่อจริงนางพยักหน้า “ท่านแม่สอนว่าวิ
แต่แล้วในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันประสูติของรัชทายาท กลับทำให้พระองค์แปลกใจเหลือประมาณการแสดงของซินฉีไม่ได้เป็นการร่ายรำดื่มเดี่ยวใต้จันทร์ของหลี่ไป๋ กลับเป็นเพลง เจียเหรินฉู่ (ลำนำสาวงาม) ซึ่งเป็นเพลงของหลี่เหยินเหนียน นักดนตรีสมัยฮั่นตะวันตกที่แต่งเพื่อชมโฉมของฟูเหริน[1]พระองค์หนึ่ง“นางคือโฉมงามแห่ง
ฝ่ายงานราชพิธีของวังหลวงแบ่งออกเป็นหลายกองได้แก่ กองตำราอักษร กองสังคีต กองอาคันตุกะ และกองพิธีเฉลิมฉลอง ซึ่งยามที่ราชนิกุลหนุ่มทั้งสองพระองค์เดินผ่าน มักได้ยินเสียงเครื่องดนตรีและเสียงขับร้องไพเราะหวานแว่วไปทั่วบริเวณ จื่อหยวนและจื่อซินมาหยุดที่เรือนของกองพิธีเฉลิมฉลอง ที่นั่นมีหญิงสาวส
กาลเวลาผันผ่านตามฤดูกาลทั้งสี่ ยามวสันต์บุปผาบานสะพรั่ง เปลี่ยนเป็นคิมหันต์ตะวันสาดแสงแรงกล้า พอเข้าเดือนสารทใบเฟิงแดงส้มก็ร่วงหล่นปูลาดพื้นวิจิตรตระการ จากนั้นจึงผันผ่านเปลี่ยนเป็นเหมันต์ปกคลุมไปด้วยหิมะทุกแดนดิน ไม่นานก็ผ่านไปสิบห้าหนาว เหล่าทารกตัวน้อยที่เดิมเคยนอนขดนิ่งอยู่ในเปลรอการ
ณ เรือนหลังเล็กของจวนฉู่หวางแห่งฉางอันที่ใช้เป็นที่ทำงานและเป็นที่พักผ่อนคลายอิริยาบถของเจ้าของจวน บัดนี้มีของเล่นเด็กทั้งชายหญิงวางเรียงรายอยู่บนพื้นไม้ที่ปูด้วยผ้าผืนนุ่ม ทั้งตุ๊กตาเสือสีแดงปักลวดลายสดใส ม้าโยกตัวน้อยสีเหลืองสด ตุ๊กตาผ้าเด็กผู้หญิงหลากหลายขนาดและสีสัน และทองคำหีบเล็กที่เป็นของเล่น
หยวนเพ่ยได้ฟังข้อหาใหม่เช่นนี้ยิ่งงุนงงหนัก “เขาไปล่วงเกินฝ่าบาทตอนไหนหรือเพคะ”“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้า” เขาชี้มาทางนาง“หม่อมฉัน? ผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นแค่หรูเหริน เทียบเท่ากับตำแหน่งพระสนมขั้นไฉเหรินลำดับห้า ถ้านับตามยศแล้วหม่อมฉันย่อมต่ำชั้นกว่า หม่อมฉันจะคารวะเขาก่อนย่อมไม่แปลกเพคะ และที่เขาแตะ
หวงตี้จูงมือหยวนเพ่ยเข้ามายังสวนด้านใน สร้างความแตกตื่นให้แก่นางกำนัลที่พบเห็นไม่น้อย หยวนเพ่ยเองก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรง หนึ่ง ด้วยนางกำลังครรภ์แก่ใกล้คลอด สอง อีกฝ่ายเป็นถึงหวงตี้ ตอนนี้สถานการณ์ในจวนก็ย่ำแย่พอแล้ว ถ้าเกิดนางเผลอพลั้งมือซัดหวงตี้สลบเหมือนตอนสยบท่านข่านด้วยขากวาง เกรงว่าเรื่องราวจะยิ่
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างไม่มั่นคงและทุกข์ทรมานที่สุดนับตั้งแต่หยวนเพ่ยรู้จักวิธีหายใจ รายงานอาการบาดเจ็บของฉู่หวางที่ถูกส่งมาสัปดาห์ละสองฉบับนั้น แต่ละครั้งล้วนเป็นรายงานที่ไม่อาจนับได้เต็มปากว่าเป็นข่าวดี ถึงแม้เขาจะพ้นขีดอันตราย แต่ร่างกายของเขาก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะส่งตัวกลับมายังซีหนิงได้ ทำให้หยวนเ
หยวนเพ่ยได้ยินเช่นนั้นก็แทบทรงตัวไม่อยู่ โชคดีที่มีหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลานช่วยประคอง และมีหยวนหลี่ผู้เป็นมารดาบีบมือบุตรสาวไว้แน่น แล้วเอ่ยเบาๆ“ใจเย็นๆ ฟังให้จบก่อน”หญิงสาวได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนั้นก็พยักหน้า นางสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย“เรื่องเป็นมาอย่างไร”อู่จี๋หอบหายใจครู่หนึ่งจึงกัดฟันเอ่ยต่อ“เมื่อวั
สองเดือนหลังจากนั้น หยวนเพ่ยก็ได้รับข่าวดีว่าทัพของฉู่หวางได้รับชัยชนะ บัดนี้อยู่ในค่ายของซีซย่า คาดว่าอีกสามวันถึงจะเดินทางกลับสู่ซีหนิงหญิงสาวที่ได้ยินข่าวดีเช่นนี้ก็ให้เบาใจ นางในตอนนี้อายุครรภ์เจ็ดเดือน แต่ครรภ์กลับใหญ่โตอุ้ยอ้ายยิ่ง จะนั่งก็ลำบาก จะยืนก็ปวดขา ขนาดหยวนหลี่ผู้เป็นมารดายังอดทักไม