สองชั่วโมงก่อนหน้า
เหม่ยอิงตื่นขึ้นพร้อมกับอาการชาไปทั่วร่าง แพขนตายาวกระพริบถี่ พยายามปรับโฟกัสกระทั่งรับรู้ถึงกลิ่นยาและเสียงพูดคุยข้างหัวเตียง คลับคล้ายคลับคลาว่าคนพวกนั้นจะไร้ความเกรงใจว่ากำลังมีคนป่วยนอนอยู่ตรงนี้ “ทำไมถึงหาสาเหตุรถที่ชนไม่ได้?” ดวงตาสวยค่อย ๆ ช้อนขึ้นมองชายสองคนที่กำลังสนทนากันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาสวมชุดดูเป็นทางการ รูปร่างใหญ่บึกบึน ท่าทีน่าเกรงขามจนกระทั่งเหม่ยอิงไม่กล้าส่งเสียงบอกว่าเธอตื่นแล้ว “กล้องเสีย ซวยชะมัดถ้าคุณเหวินรู้ว่าหาไม่เจอ คงโดนเล่นงานแน่” ชายอีกคนตอบ คราวนี้เหม่ยอิงขมวดคิ้วอีกครั้ง เธอไม่ค่อยเข้าใจบทสนทนาเท่าไหร่นัก แต่ก็พยายามจะลองเปล่งเสียงกระแอมเบา ๆ เผื่อจะทำให้ทั้งสองคนได้ยินบ้าง ทว่ากลับไม่เป็นผล “คุณเหวินเจิ้งน่ะหรือที่จะทำแบบนั้นเพราะคุณเหม่ยอิง? ขนาดเธอนอนโรงพยาบาลมายี่สิบแปดวันแล้วก็ยังแวะมาแค่ครั้งเดียวเอง” คนบนเตียงสะดุ้งทันทีที่ประโยคนั้นเอ่ยจบ พวกเขาหมายความว่าอย่างไรที่เธอนอนมาถึงยี่สิบแปดวัน! “ฉันก็ไม่ได้อยากจะมองโลกในแง่ร้ายนักหรอก แต่ไม่ใช่เพราะเจ้านายเราใช่ไหมที่เป็นคนทำให้คุณเหม่ยอิงเป็นเช่นนี้” ทันทีที่จบประโยคคล้ายคำถามนั้น บรรยากาศในห้องพลันเงียบลงทันที ราวกับไม่มีใครอยากแตะต้องประเด็นนี้ เหม่ยอิงที่ได้ฟังก็พิจารณาสถานการณ์ไปพร้อม ๆ กัน “พูดอะไรวะ พอ ๆ กลับไปทำหน้าที่ตัวเองได้แล้ว ใกล้จะได้เวลาหมอมาตรวจแล้วด้วย” คนโดนสั่งรับคำก่อนจะเดินไปทางหน้าประตูห้อง ส่วนผู้ชายอีกคนหนึ่งก็คล้ายจะก้มมาตรวจดูว่าเธอยังหมดสติอยู่ไหม แต่ดันสบสายตากับเหม่ยอิงที่กระพริบตาปริบ ๆ มองอยู่ก่อนแล้ว “ไง...” เสียงหวานที่เอ่ยออกมานั้นบัดนี้ทั้งแหบแห้งและกระท่อนกระแท่น ร่างสูงใหญ่ที่เหม่ยอิงเดาว่าคงมีหน้าที่คล้ายจะเป็นบอดี้การ์ดสะดุ้งตัวโยน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “คุณเหม่ยอิง!” แล้วทั้งชั้นของโรงพยาบาลก็ดูจะวุ่นวายขึ้นมาทันที เพราะคนมีศักดิ์เป็นภรรยาของเหวินเจิ้งผู้นั้นได้สติแล้วหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อยี่สิบแปดวันก่อน! ปัจจุบัน หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจากจงเซ่อซึ่งอยู่ในตำแหน่งลูกน้องคนสนิทของสามีแล้ว เหม่ยอิงก็รู้สึกเหมือนตัวเองหัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ ใช่...เธอคนนี้มีสามีและแต่งงานไปแล้วหกเดือน! ต้องเล่าย้อนไปก่อนหน้านี้ว่าจริง ๆ ทั้งสองตระกูลของเหม่ยอิงและตระกูลของเหวินเจิ้งที่ว่ากันว่าเป็นผู้กุมอำนาจตระกูลไท่ ตระกูลอันดับต้นของจีน ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ขึ้นแท่นเป็นผู้นำได้ไม่กี่ปีแต่กลับสร้างรายได้ให้ตระกูลมหาศาล เพียงแค่เขาเอ่ยปากไม่ว่าเรื่องอะไรแม้แต่คนใหญ่คนโตยังต้องรับฟัง คนเคารพกันทั่วหน้าหากแต่ติดสัญญาบางประการไว้ตั้งแต่รุ่นปู่ของเขาว่าถ้าวันใดที่ตระกูลไท่ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้แล้ว ทั้งยังสามารถเป็นใหญ่พอที่จะควบคุมอำนาจได้ หากถึงวันนั้นข้าง ๆ เหวินเจิ้งจะต้องมีภรรยาซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลจ้าวซึ่งก็คือตระกูลของเหม่ยอิง... แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เป็นที่พอใจของเหวินเจิ้งเท่าไรนัก เขาไม่ได้ติดเรื่องที่จะต้องมีภรรยาเพราะเดิมทีก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายอยู่แล้ว เพียงแต่คนที่ปู่เลือกไว้ดันเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้นำตระกูลจ้าวในปัจจุบัน ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจดั่งไข่ในหิน ใช้เงินฟุ่มเฟือยกระทั่งที่บ้านใกล้จะล้มละลายเพราะเรื่องธุรกิจแต่เหม่ยอิงก็ยังไม่รับรู้ และด้วยการถูกเลี้ยงดูที่ผิดทำให้นิสัยเจ้าตัวไม่ค่อยน่ารักเสียเท่าไหร่ เอาแต่ใจทั้งยังพยายามจะปั่นประสาทเหวินเจิ้งอยู่บ่อย ๆ กระทั่งคนเป็นสามีทนไม่ไหวจับมัดมือมัดเท้าไม่ให้ไปไหนครึ่งวันยังทำมาแล้ว “พอ...พอก่อน” มือเรียวยกขึ้นคล้ายจะห้ามไม่ให้จงเซ่อพูดต่อ เพราะหลังจากเล่าประวัติคร่าว ๆ เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเธอและคนที่มีศักดิ์เป็นสามีคนนั้นให้ฟังแล้ว จงเซ่อยังเล่าต่อว่าเมื่อยี่สิบแปดวันก่อนเหม่ยอิงแอบขโมยรถของเหวินเจิ้งไปใช้ เที่ยวเตร่จนกระทั่งดึกดื่น นอกจากนี้ดูเหมือนจะซัดแอลกอฮอล์ไปมากพอสมควรเลยเช่นกัน จนสุดท้ายสภาพคุณหนูเอาแต่ใจก็มาเป็นอย่างที่เห็น เกิดอุบัติเหตุนอนนิ่งเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่เกือบเดือน แถมคุณหมอมาตรวจร่างกายให้เมื่อครู่ก็พบว่าเหม่ยอิงมีภาวะความจำเสื่อม จดจำคนรอบข้างและเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ ยกเว้นชื่อตัวเองและการใช้ชีวิตประจำวันที่ดูเหมือนจะยังทำทุกอย่างได้ตามปกติ “แล้วเขาอยู่ไหน” จงเซ่อขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถาม แต่เพียงครู่เดียวก็เหมือนจะเข้าใจว่าคืออะไร “ตอนนี้คุณเหวินทำงานอยู่ครับ เทียวไปเทียวมาระหว่างปักกิ่งกับมาเก๊า กำลังจะถึงช่วงสำคัญก็เลยวุ่นวายพอตัว” เหม่ยอิงถอนหายใจ ทุกอย่างตีรวนอยู่ในหัวจนยากจะปะติดปะต่อให้เข้าใจได้ในทันที แต่ก่อนอื่นเรื่องที่เธอจะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือการฟื้นฟูร่างกายตัวเอง นอนบนเตียงมาเป็นเดือนจนอาจจะลืมวิธีการเดินไปแล้วก็เป็นได้ จงเซ่อหลังจากที่อยู่เล่าเรื่องราวและสั่งงานลูกน้องที่เหลือไว้แล้วก็ต้องขอตัวกลับไปหาเหวินเจิ้งต่อ เขากล่าวว่าจะไปรายงานเรื่องนี้ให้กับเจ้านายตัวเองได้ทราบ ทิ้งท้ายด้วยการค้อมศีรษะให้อย่างสุภาพทำเอาเหม่ยอิงตกใจไม่น้อย ก่อนหน้านี้เธอได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ? กระทั่งพอไร้บุคคลอื่นในห้องอื่น เหม่ยอิงจึงพยายามมองนู่นมองนี่ให้คุ้นชิน ก่อนที่จะเห็นกระจกอยู่ไม่ไกล ในนั้นสะท้อนภาพของตัวเองซึ่งกำลังนั่งพิงอยู่บนเตียง คุณหนูจ้าวเหม่ยอิง ผู้มีส่วนสูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกว่า ๆ จัดว่าเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างสูงทีเดียว เธอมีนัยน์ตาสีฟ้าอมเทา ใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตหากแต่จมูกนิดริมฝีปากหน่อย ดูแล้วจิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตาเคลือบ ผมยาวสลวยถูกย้อมให้คล้ายกับสีดวงตาของเจ้าตัว ผิวขาวเนียนราวกับเกล็ดของหิมะเพียงแต่ตอนนี้ผิวที่ดูอิ่มน้ำสมบูรณ์กลับซีดเซียวเพราะอุบัติเหตุและการนอนยาวนานถึงยี่สิบแปดวัน ไหนจะรอยแผลซึ่งมีผ้าพันแผลเป็นจุด ๆ เหม่ยอิงมองภาพนั้นอย่างพิจารณาก่อนจะถอนหายใจแผ่ว พยายามนึกย้อนความทรงจำตัวเองแต่ก็ยิ่งปวดหัวหนักจึงล้มเลิก คราวนี้เธอจึงพยายามยกแขนยกขาดู แต่ก็ต้องยู่หน้าเบ้ปากพลางบ่นอุบอิบ “อืม...ให้ตาย ขามันชาจนละลายไปกับเตียงไปแล้วหรือไง” เพราะไม่ว่าจะพยายามยกมันเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล หญิงสาวอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ต้องอดทนไว้ เธอหวังว่าเหวินเจิ้งคงจะมาหากันเร็ว ๆ นี้เพราะอย่างไรเสียสามีก็ต้องมาดูภรรยาหน่อยจริงไหม? แต่เปล่า...เวลาล่วงเลยมาถึงครึ่งเดือนแล้วก็ไม่มีทีท่าของเหวินเจิ้งคนนั้นให้เห็นเงาเลยแม้แต่น้อย คนที่คอยมาเยี่ยมดูอาการก็มีแต่จงเซ่อ กระทั่งครอบครัวของเธอก็ไม่ได้มาเพราะจงเซ่อบอกว่าเหวินเจิ้งปิดเรื่องนี้เอาไว้ไม่ให้พวกเขารู้ “ตอนนี้อาการคงที่แล้วครับ พรุ่งนี้ก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว” ประโยคเดียวของคุณหมอที่ทำให้เหม่ยอิงพอจะยิ้มได้หลังจากผ่านมาครึ่งเดือน เธอเบื่ออาหารและบรรยากาศของโรงพยาบาลเต็มทีแล้ว ตอนนี้นอกจากอาการของเหม่ยอิงที่ดีขึ้น รูปร่างภายนอกก็ไม่ได้ซีดเซียวเหมือนวันแรก รอยแผลต่าง ๆ ก็หายไปเยอะ แก้มนวลเริ่มมีเลือดฝาดให้เห็น จงเซ่อที่ได้ฟังเช่นนั้นก็เอ่ยขอบคุณคุณหมอ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ซึ่งเหม่ยอิงคิดว่าคงไปแจ้งเรื่องให้เจ้านายเหมือนทุกที เมื่อได้อยู่ส่วนตัวในห้องพักผู้ป่วยแบบพิเศษที่สามีเป็นคนจัดการทุกอย่างให้ (คงเพราะกลัวเรื่องนี้หลุดออกไปมากกว่าไม่ใช่เพราะความห่วงใย เหม่ยอิงคิดเช่นนั้น) คนตัวเล็กคิดว่าจะเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย เธอพอจะเดินด้วยตัวเองได้แล้ว ค่อย ๆ พยุงไปกับเสาน้ำเกลือก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากวุ่นวายอะไร ขาเรียวก้าวลงสู่พื้นอย่างระมัดระวัง กระทั่งเดินได้หลายก้าวจนเหม่ยอิงรู้สึกใจชื้น หลังจากที่ทำธุระในห้องน้ำเสร็จแล้วก็กลับออกมา แต่เดินได้เพียงนิดเดียวก็เห็นแผ่นหลังกว้างของใครบางคนอยู่ตรงหน้า เธอพยายามจะเอื้อมมือไปแตะ แต่เขาดันหันกลับมาเสียก่อน “อ๊ะ!” เหม่ยอิงเสียการทรงตัวไปชั่วขณะเมื่อเขาคนนั้นเอนหลบมือของเธอ จนร่างบางเซถอยหลังกระทั่งกำลังจะลงไปนั่งกับพื้น เสี้ยววินาทีนั้นเหม่ยอิงรู้ว่าถ้าเขาคว้ากันไว้ก็จะช่วยได้ทัน แต่ไม่...นอกจากจะเอาแต่มองกันด้วยสายตาเย็นชาแล้วก็ไม่ขยับมือเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเธอก็ต้องล้มลงนั่งกับพื้นไม่เป็นท่าจนรู้สึกเจ็บไปเสียหมด “คุณเหม่ยอิง” แต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อนที่จะได้มีบทสนทนาอะไรระหว่างเธอและเขา นั่นก็คือจงเซ่อที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีตกใจ เขาเข้ามาช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นแล้วพากลับไปที่เตียง ร่างสูงย้ายตัวเองไปนั่งที่โซฟาแล้วยกขาขึ้นไขว่ห้างมองมาทางเหม่ยอิงด้วยท่าทีนิ่งเฉย เขาอยู่ในชุดคอจีนสีดำกับกางเกงเนื้อดีสีเดียวกัน ใบหน้าหล่อคมฉายความเย็นชาและไม่ชอบต่อกันอย่างชัดเจน อาจเพราะไม่มีใครพูดอะไรก่อนทำให้บรรยากาศในห้องผู้ป่วยเงียบเชียบ เหม่ยอิงลอบสำรวจใบหน้าของเขาคนนั้นซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเครื่องหน้าไร้ที่ติ คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ผมเซ็ทเป็นทรงสีดำขลับที่รู้ว่าเจ้าของดูแลมาอย่างดีแค่ไหน ดวงตาดุดันสีน้ำตาลคล้ายไม้สนอันเป็นเอกลักษณ์ฤดูหนาว ชวนให้คนมองอย่างเธอจ้องลึกหลายนาที ทั้งร่างกายสูงโปร่งดูกำยำและแข็งแรง ไม่รวมถึงบรรยากาศรอบตัวที่ดูดุดันและน่าเกรงขาม แม้จะเพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรก กระทั่งริมฝีปากเริ่มเอ่ยขึ้นมาก่อนทำลายความเงียบระหว่างกัน “สาแก่ใจหรือยังที่สามารถเรียกร้องความสนใจได้?” เริ่มประโยคแรกไม่ใช่คำถามถึงเรื่องสุขภาพหรืออาการใด ๆ ของเธอเลยแม้แต่น้อย เหวินเจิ้งหมุนแหวนที่นิ้วตัวเองไปมา “คะ?...เรียกร้องความสนใจ?” “ก็ที่ลงทุนขโมยรถของฉันไป…ตั้งใจจะเรียกร้องความสนใจ หรือแค่อยากประชดฉันที่ไม่สนใจกันแน่? ไม่รู้หรือไงว่าคันนั้นกี่สิบล้านหยวน” เพียงได้ยินราคาของมันเหม่ยอิงก็สะดุ้งตัวโยน ใบหน้าซีดลงจนเห็นได้ชัด “มีปัญญาเอาไปทำพังแต่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะพยุงตัวเองให้ยืนไหว ภรรยาฉันช่างเป็นคนที่น่าภูมิใจเธอว่าไหม” ประโยคเหน็บแนมต่อมาทันที เหม่ยอิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ก่อนหน้านี้จงเซ่อไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอมาก่อน หมายถึงเรื่องราคาน่ะนะ... “เอาแต่ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต คิดว่าป๊าเธอจะคอยช่วยทุกอย่างแล้วจะเอาแต่ใจแค่ไหนก็ได้หรือไง” เหม่ยอิงขมวดคิ้วมุ่น ขนาดคนที่เขาพูดว่าเป็นป๊าเธอเธอยังจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ตัวเหวินเจิ้งเองที่เป็นสามีเธอก็จำไม่ได้ เหม่ยอิงอยากจะตะโกนใส่หน้าหล่อ ๆ นั่นสักทีว่าหยุดว่าเธอร้ายนักร้ายหนาก่อนได้ไหมเพราะตอนนี้เธอลืมสิ้นทุกการกระทำของตัวเองไปหมดแล้ว! “ฉันว่าคุณจงเซ่อคงบอกคุณเรื่องอาการของฉันไปแล้วว่าตอนนี้ฉันอยู่ในสภาวะไหน เรื่องที่คุณกำลังต่อว่ากันตอนนี้ฉันไม่สามารถตอบอะไรได้เพราะจำไม่ได้เลยสักอย่าง” ประโยคแรกจากร่างระหงที่นั่งอยู่บนเตียงยิ่งทำให้เหวินเจิ้งแสยะยิ้มร้ายเข้าไปใหญ่ เพิ่งจะเคยได้ยินเธอเรียกคนอื่นแบบสุภาพเช่นนั้นแล้วแปลกหูไม่ใช่น้อย เขาคงลืมคำรายงานจากลูกน้องคนสนิทไปเสียได้...ตอนนี้ภรรยาเขาสูญเสียความทรงจำนี่? “งั้นก็รู้ไว้ซะสิว่าเมื่อก่อนทำอะไรเอาไว้ ฉันไม่สนว่าตอนนี้เธอจะอยู่ในสภาพไหน คนเราทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบการกระทำตัวเอง จริงไหม?” เหม่ยอิงพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็น สูดหายใจลึก ๆ เพื่อไม่ให้เผลอด่าแรง ๆ ใส่เหวินเจิ้งไปเสียก่อน เขาตั้งแง่ใส่กันได้แม้กระทั่งคนความจำเสื่อมเนี่ยนะ? “ค่ะ แน่นอนว่าฉันจะรับผิดชอบให้ถ้าเกิดว่าแข็งแรงกว่านี้แล้ว” เหวินเจิ้งแค่นหัวเราะ เขายักไหล่หนึ่งครั้งคล้ายจะบอกว่ารอดูให้เธอทำตามที่พูดก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เหม่ยอิงอยากจะรู้นักว่าก่อนหน้านี้หกเดือนเธออยู่กับชายผู้นี้ได้อย่างไร? “พรุ่งนี้จงเซ่อจะเป็นคนมารับ” เหวินเจิ้งทิ้งท้ายด้วยประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินออกไป หญิงสาวอยากจะเอ่ยเถียงนักว่าต่อให้ไม่บอกเธอก็รู้เองได้ ก็นอกจากจงเซ่อเธอมีใครอื่นอีกหรือไง? ทำไมสามีเธอไม่เป็นจงเซ่อซะให้จบ ๆ ไปเลยนะ ให้ตายเถอะ...แล้วแบบนี้เธอจะทนอยู่กับไท่เหวินเจิ้งไปได้อีกนานแค่ไหน แล้วไหนจะค่าเสียหายอีก เธอควรจะทำเช่นไรเพื่อเอามาชดใช้ดีล่ะเนี่ย... To be continued...ไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหน
หลังจากที่รู้ว่าเหวินเจิ้งโกรธกัน เหม่ยอิงก็ต้องล้มเลิกการไปงานเลี้ยงในคืนนี้แล้วหาวิธีง้อสามีแทน “คุณเหวินล่ะ?” เธอเอ่ยถามหลันที่เพิ่งลงมาจากชั้นสอง “กำลังพาคุณหนูจูเข้านอนค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณหนูเหม่ยต้องไปงานเลี้ยงอีกคืนใช่ไหมคะ? งั้นให้ฉันช่วยเตรียมชุดดีไหมคะ” เหม่ยอิงส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่ไปแล้วล่ะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถึงจะงง ๆ แต่หลันก็ยอมค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อคล้อยหลังสาวใช้คนสนิทไปแล้ว เหม่ยอิงก็พรูลมหายใจและครุ่นคิดกับตัวเอง เธอควรจะเอาใจเหวินเจิ้งอย่างไรดี? คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวรู้ว่าหากสามีกำลังกล่อมลูกนอนก็คงจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนี้เธอก็เลยกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ในโซนสำหรับไว้แต่งตัวนั้นยังพบชุดที่ลี่ถิงเตรียมไว้ให้สำหรับงานคืนนี้ “ดูท่าแกคงต้องกลับไปนอนในตู้อีกครั้งแล้วล่ะ” เสียงหวานว่าแกมหัวเราะเจื่อน ๆ ทว่าในตอนที่กำลังเก็บชุดนั้น เหม่ยอิงก็ต้องผงะไปเมื่อเจอของที่อยู่ด้วยกัน มันคือชุดชั้นในลูกไม้เข้าเซ็ท พร้อมกับถุงน่องสีดำ… ร่างขาวเม้มปากแน่น ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ดีเทลของลูกไม้ในผ้าผืนบางนั้น ในใจก็เริ่มครุ่นคิดไปเรื่อย ก่อนดวงตาก
เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา หมู่นี้นายหญิงเหม่ยอิงจึงมีงานล้นมือเป็นพิเศษ เธอต้องคิดทั้งคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับเทศกาล และออกแบบแพ็กเกจแบบใหม่ด้วยตัวเอง “ยังไงฉันก็อยากให้ลวดลายของกล่องมีสัญลักษณ์กวางเรนเดียร์” เสียงหวานยามนี้เคร่งขรึม เหม่ยอิงกำลังหารือกับเหล่าลูกน้องที่ทำงานร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยเสนอไอเดียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ “ค่ะ งั้นดิฉันคิดว่า…” “ครับ ทางผมก็มีเรื่องเสนอ…” ร่างบางกวาดสายตามองตามสไลด์ที่พนักงานกำลังอธิบาย บางไอเดียก็ดูน่าสนใจ ทว่าก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง การคุยงานผ่านไปอีกเป็นชั่วโมง กระทั่งได้ข้อสรุปที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงดีขึ้น เธอจึงเอ่ยปิดวาระการประชุม ดวงตากลมโตดูเหนื่อยล้านิด ๆ จนลี่ถิงต้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย “พักสักหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย” คนงามส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวออกแบบเสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว” เมื่อห้ามไม่ได้ก็มีแต่จะต้องช่วยให้นายหญิงไม่กดดันตัวเองเกินไปก็เท่านั้น ลี่ถิงจึงจัดการเตรียมน้ำชาและขนมมาไว้ให้ เผื่อเหม่ยอิงอยากพักก็จะได้ทานได้ทันที “ฉันจะทำงานรอที่ด้านนอกนะคะ มีอะไรเรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” “ขอบคุ
หลายปีก่อน ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ! ‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’ ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง? นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่าง
ข่าวเรื่องทายาทตระกูลไท่ถูกพูดถึงอย่างมากในหลายสัปดาห์นี้ มีตระกูลน้อยใหญ่ส่งของขวัญมาให้มากมายจนเหล่าสาวใช้แทบจะช่วยกันรับไม่หวาดไม่ไหว เหม่ยอิงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังคลอด งานใด ๆ หรือธุรกิจใด ๆ ถูกเหวินเจิ้งสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเป็นอันขาด ส่วนเขาก็เป็นคนคอยดูแลแทนทั้งหมด “ของขวัญชิ้นสุดท้ายของรอบเช้าค่ะคุณหนูเหม่ย” “ขอบคุณจ้ะ” เหม่ยอิงหันไปตอบอาหลันที่วางกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายเสร็จ ในอ้อมแขนคนงามกำลังประคองเจินจูพลางกล่อมนอน คุณหนูน้อยหลับตาพริ้ม ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก “เสร็จแล้วใช่ไหม นั่งเล่นในนี้ก่อนก็ได้นะ” เหม่ยอิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ที่นี่คือห้องของเจินจูที่เหวินเจิ้งสั่งทำใหม่เป็นพิเศษ เขาทุบสองห้องเข้าด้วยกัน พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยของใช้เด็กอ่อน ทั้งเตียงทั้งตู้ก็สั่งทำไว้เรียบร้อย เรียกได้ว่ามีใช้ยันอายุเจ็ดขวบเลยทีเดียว หลันนั่งลงข้างกัน เธอมองเจินจูที่ยังหลับอยู่แล้วยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสดใส “คุณหนูน้อยน่ารักน่าชังมากเลยค่ะ โตมาจะต้องงามเหมือนคุณหนูเหม่ยแน่เลย” เหม่ยอิงหัวเราะนิดหน่อย “หน้าตาไม่เท่าไหร่หรอก อย่าเอานิสัยหม่าม๊าไปแล้วกันนะอาจู” เธอเอ่
ครรภ์ของคุณหนูเหม่ยตอนนี้ล่วงเลยมาถึงห้าเดือนแล้ว จากเดิมที่แค่มีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหม่ยอิงกลายเป็นคุณแม่ตุ้ยนุ้ยน่าฟัด ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากกัดแก้มกลมนั้นสักทีให้หายมันเขี้ยว อาการแพ้ท้องของเธอก็ดีขึ้นมาก เหม่ยอิงเริ่มกลับมาได้กลิ่นกุ้ยฮวาได้อีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยอีกต่อไป ยิ่งทำให้เจริญอาหารจนท้องกลมแก้มกลม นอกจากเรื่องครรภ์แล้ว หมู่นี้เหม่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ กลับมาทีละนิด ภาพแฟลชแบ็คของเหตุการณ์ในอดีตค่อย ๆ ทำให้เธอคุ้นเคยทีละน้อย คุณหมอบอกว่ามันอาจใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิ์ที่เหม่ยอิงจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ในตอนที่หวังฝูและฉีถงรู้เรื่องนี้ก็ดีใจกันอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเด็กในท้องคือพรอันวิเศษและเป็นโชคของเหม่ยอิง “พร้อมหรือยัง?” เสียงของสามีดึงให้คนที่กำลังสวมต่างหูอยู่หันไปมอง เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อื้อ” เหวินเจิ้งมองภาพภรรยาที่สะท้อนในกระจก เหม่ยอิงที่อายุครรภ์เพิ่มขึ้นจนหน้าท้องนูนอาจดูแปลกตาไปบ้าง เพราะปกติแล้วคุณหนูเหม่ยของเขาจะมีทรวดทรงองค์เอวที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ทว่าตอนนี้ร่างบางกลับดูเปลี่ยนไปด้วยความโค้งเว้าของร่