เข้าสู่ระบบหลังจากกินข้าวเสร็จสามีก็เก็บถ้วยชามไปล้าง ทำราวกับเป็นหน้าที่ในชีวิตประจำวัน ส่วนเธอที่เป็นภรรยานั้นแค่นั่งเป็นกำลังใจให้ก็พอ
"ไม่ถูกต้องเอามากๆ"
ซูพึมพำ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เสนอตัว ไม่ใช่ว่าเธอรักสบาย แต่ผู้ชายร่างสูงใหญ่เขากำชับเธอเสียงหนักแน่นว่าอย่าฝืนทำอะไรที่เกินตัว ไอ้ที่เกินตัวเขาหมายถึงอะไร ถ้าหมายถึงถ้วยชามที่เพิ่งกินไป มันไม่ได้เหนื่อยหนักหนาอะไรเลย หญิงสาวคิดในใจ ในเมื่อไม่รู้ว่าทำอะไร เธอจึงลุกขึ้นยืนสำรวจในบ้านของเจ้าของร่างนี้แทน
"ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่"
ดวงตาคู่สวยกวาดมองทุกอย่างรอบตัวที่ดูแตกต่างไปจากโลกเดิมของเธอ เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มี ทั้งๆ ที่นี่คือปี 1980 ที่จีนกำลังพัฒนา สามีของซูเอ๋อร์คงจนมากสินะ ถึงยังใช้ตะเกียงให้ความสว่างอยู่เลย หญิงสาวคิดในใจ การไม่มีไฟฟ้าใช้บอกตรงๆ ว่าลำบากพอสมควร
บ้านไม้เก่าๆ หลังนี้ในสายตาของเธอที่อยู่คอนโดและมีพื้นที่จำกัด ถือว่ากว้างพอสำหรับสองสามีภรรยา ภายในบ้านถูกจัดสรรแบ่งออกเป็นสัดส่วน มีห้องนอน ห้องเก็บของ มีพื้นที่โถงตรงกลาง ส่วนห้องครัวอยู่นอกบ้าน มีห้องน้ำที่สร้างถัดจากห้องครัวหน่อยหนึ่ง
ห้องน้ำอยู่ข้างนอกนี่นะ??
ซูคิดพลางถอนหายใจ หญิงสาวสมัยใหม่ที่ชินกับการมีไฟฟ้าใช้ การที่เธอต้องถือตะเกียงเดินฝ่าความมืดไป มันน่ากลัวจริงๆ นะบอกตรง
ยังดีนะที่มีน้ำประปา
ซูหาข้อดีมาทดแทนในสิ่งที่ขาดหาย ปกติเธอไม่ได้เป็นคนเรื่องมากอะไร ถ้าตัดเรื่องห้องน้ำที่สร้างอยู่นอกบ้านออกไป เธอมั่นใจว่าตัวเองอยู่ได้อย่างแน่นอน
ต้องกวาดตรงนั้น...
แล้วจัดของใหม่มาวางตรงนี้
ไอ้ฝุ่นที่รกตาจะปัดออกให้หมดเลย
หญิงสาวคิดสิ่งที่อยากทำในใจ เจ้าของร่างเดิมที่วันๆ ไม่ทำอะไร นั่งหายใจทิ้งส่องกระจกไปวันๆ กินข้าวจานชามไม่ล้าง เป็นผู้หญิงประเภทสวยแต่รูปจูบไม่หอมของแท้เลย ซูกรอกตามองเพดานเมื่อความทรงจำของร่างนั้นทำเธอรู้สึกสงสารตัวเองที่ต้องมากลายเป็นภรรยาที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย
'ขี้เกียจตัวเป็นขน'
'สงสารพ่อหนุ่มจริงๆ'
'มีเมียก็เหมือนไม่มี'
คำนินทาที่ลอยมาให้ได้ยินยามที่มีคนเดินผ่านหน้าบ้านไป ไม่ได้ทำให้ซูเอ๋อร์สำนึกอะไร เธอยังเป็นเธอที่งอมืองอเท้าไม่ทำอะไร ใครจะมองก็ช่างหัวมัน แล้วสามีที่แสนดีนั้นก็ไม่เคยแม้แต่จะอ้าปากต่อว่าเธอ
"พรุ่งนี้ไปช่วยพี่เก็บเห็ดไหม"
"ไม่เอากลัวเล็บสกปรก"
"พี่ต้องไปในเมือง อย่าลืมให้อาหารไก่นะ"
"โอ้ย!! พี่เลี้ยงพี่ก็ให้เองสิ"
ความทรงจำที่หาคำว่า 'ดี' ไม่เจอทำซูได้แต่ถอนหายใจแรง แค่เก็บเห็ดมันจะไปเหนื่อยอะไร ให้อาหารไก่ง่ายๆ ก็ยังไม่อยากทำ ถือเป็นกรรมของผู้ชายที่ชื่อ 'เฉิงอี้' จริงๆ หญิงสาวคิดก่อนจะเปิดประตูห้องนอนเข้าไป เป็นห้องที่เจ้าของร่างเดิมนั้นทำอะไร ความทรงจำที่หล่อหลวมรวมกันเป็นหนึ่งทำเธอหน้าแดง และรีบสลัดภาพลามกมากมายในหัวออกไป ถึงจะไม่ได้สัมผัสทว่าก็จินตนาการได้ สิ่งที่ดึงดูดให้พี่เฉิงไม่ไปไหนคงเพราะเรื่องนั้นแน่นอน
"ซูเอ๋อร์"
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังทำคนตัวเล็กสะดุ้งตกใจ เจ้าของร่างกายแน่นปึกสูงใหญ่ในความทรงจำลามกนั้นทำเธอไม่กล้ามองสบตา พลันอดคิดไม่ได้ว่า ผู้หญิงโสด ซิง ไม่เคยผ่านมือชายจะทำหน้าที่ภรรยาแสนเร่าร้อนได้อย่างไร มันยากเกินไป แล้วเธอก็ไม่มีประสบการณ์ด้วย
"พี่ทำเธอตกใจรึเปล่า"
"มะ...ไม่ค่ะ"
พอไม่มองหน้า ก้มหน้าลงต่ำ ความคิดเจ้ากรรมก็สั่งให้ดวงตาของเธอเพ่งมองสิ่งที่ทำให้เจ้าของร่างร้องคราง ความคิดลามกนั้นทำเธอหน้าแดง มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดี
"จะนอนเลยไหม"
"นอนเหรอคะ??"
หญิงสาวขึ้นเสียงสูงด้วยความตกใจ อย่าบอกนะว่านี่คือการชวนเธอขึ้นเตียงในแบบฉบับของสามีภรรยาที่มองตาก็รู้กัน
"อื้อ!"
เฉิงอี้พยักหน้าตอบ หมอที่มารักษากำชับบอกเขาว่าต้องให้เธอได้นอนพักผ่อนเยอะๆ
"ฉันยังไม่ง่วงค่ะ"
ถ้าตอบว่า 'นอน' เธอก็ยังไม่พร้อมกับการต้องทำหน้าที่ภรรยา เธอเพิ่งทะลุมิติมา ขอเวลาให้เตรียมตัวเตรียมใจนิดหนึ่ง
คำว่า 'ไม่ง่วง' ของภรรยา คือคำพูดที่เธอมักจะสื่อให้เขารู้เป็นนัยๆ ต่อให้เหนื่อยหรือง่วงแค่ไหน หากเธอต้องการ เขาก็พร้อมสนองให้ในฐานะสามีที่มีเธอเป็นครอบครัวเพียงคนเดียว
"แต่หมอบอกว่าต้องพักเยอะๆ"
"ฉันพักมาสามวันแล้วค่ะ"
ซูตอบกลับไป ต่างคนต่างตีกันคนละความหมาย ซึ่งตอนนี้ซูเองก็ไม่ได้เอะใจ กับท่าทีของสามีที่ไม่รู้ว่าควรทำหรือไม่ทำตามใจภรรยาดี
"แน่ใจนะ"
"ค่ะ"
หญิงสาวตอบด้วยแววตามั่นใจ ตอนนี้เธอรู้สึกโล่งอกเกินบรรยาย จังหวะที่เธอลอบถอนหายใจ สามีก็รั้งตัวเธอเข้ามา ก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูภรรยา ตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นมาก็ทำตัวแปลกไป คำพูดมีหางเสียงต่อท้าย ถ้าเขาเผลอทำรุนแรงไปก็เกรงว่าสมองของเธออาจกระทบกระเทือนมากกว่าเดิม
"รอบเดียวพอนะครับ"
แสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างปลุกให้หญิงสาวที่เพิ่งผ่านศึกหนักในคืนร้อนแรงลืมตาตื่นขึ้นมาในสภาพที่ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ เสื้อผ้ากระจัดกระจาย ส่วนสามีก็ไม่รู้ไปไหน เธอมองผ่านหน้าต่างออกไป ถึงได้รู้ว่าสามีแสนดีกำลังปลูกผักในสวนอย่างตั้งใจ หัวกะหล่ำปลีเพิ่งเก็บไป ส่วนแปลงปลูกคะน้าตรงนั้นก็กำลังโตได้ที่สวยเชียว"ขยันจริงๆ"ซูพูดกับตัวเองที่มีความทรงจำของซูเอ๋อร์ทุกอย่าง ผู้ชายคนนี้ทำแต่งาน วันๆ อยู่แต่ในสวนหรือไม่ก็ไปรับจ้างปลูกข้าวสาลีช่วยชาวบ้านที่มีพื้นที่ทำนาทำไร่ ฤดูเก็บเกี่ยวเขาก็ไป เงินทุกหยวนที่ได้มา ไม่ทันจะได้เก็บไว้ก็มักจะถูกภรรยาขอไปใช้ซื้อเสื้อผ้าและของฟุ่มเฟือย แล้วสามีจะมีเงินเหลือเก็บได้อย่างไร มีปลิงตัวใหญ่คอยสูบ คอยใช้ คำว่า 'ประหยัด' ไม่เคยอยู่ในหัวสมองด้วยซ้ำ'ฉันอยากได้ชุดใหม่''แต่คุณเพิ่งซื้อไปเองนะ''โอ้ยพี่!! จะงกอะไรนักหนา'พอโดนขัดใจ ซูเอ๋อร์ก็มักจะขึ้นเสียงใส่ ดวงตาคู่สวยเบิกโตอย่างไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดก้นใส่สามีที่เพิ่งได้เงินมา ทำหน้างอไม่พูดไม่จา น้ำสักแก้วยื่นให้สามีหายเหนื่อยล้าก็ไม่มี เร่งแต่จะเอา เงิน เงิน และ เงิน อย่างเดียว'ซูเอ๋อร์'เฉิงอี้เรียกภรรยาที
"รอบเดียวพอนะครับ"คำพูดสองแง่สองง่ามทำให้คนที่คิดว่ารอดแน่ๆ ถึงกับต้องคิดใหม่ ดูเหมือนการสื่อสารของเธอจะผิดพลาดไป ทำไมเขาถึงได้มองเธอด้วยแววตาแฝงความนัยและดูกรุ้มกริ่มยังไงพิกล"รอบเดียวอะไรคะ"คนที่โดยสามีรั้งไว้ฝืนยิ้มแห้งๆ ถามกลับไป เธอแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ท่าทีซื่อใสนั้นทำชายหนุ่มงง ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เธอเป็นคนเอ่ยปากชวนเอง"จะยั่วพี่หรือครับ"เสียงทุ้มถาม ริมฝีปากของเขาที่คลอเคลียข้างหูทำซูขนลุกซู่ "พี่เฉิงอย่าแกล้งสิคะ"หญิงสาวตอบไป ในใจของเธอตอนนี้คือร้อนรน จะหนียังไงให้พ้นจากสามีที่จ้องจะกินภรรยา"ใครแกล้งกันแน่"มุมปากหยักกระตุกยิ้มจางๆ เมื่อเห็นแววตาของภรรยาสั่นไหว ไม่ต่างจากกวางน้อยที่กลัวหมาป่าจนกระสับกระส่าย ท่าทีที่ดูเปลี่ยนไป มันควรทำให้เขากังวลใจ แต่ทำไมนะ ทำไม เขาถึงได้มองว่ามันน่ารักน่าเอ็นดู"พี่เฉิง"หญิงสาวเรียกชื่อของสามีที่มือเริ่มซุกซน เดี๋ยวจับตรงนั้น เดี๋ยวแตะตรงนี้ บางตำแหน่งก็แอบรู้สึกดี แต่บางตำแหน่งก็ทำเธอใจเต้นไม่เป็นส่ำเลย"หือ??"ชายหนุ่มตอบรับเบาๆ "อย่าค่ะ"คำห้ามถูกกลืนหายเมื่อถูกริมฝีปากของสามีเจ้าของร่างทาบทับลงมา ความรู้สึกมันวาบหวามซาบซ่าน เหมือ
หลังจากกินข้าวเสร็จสามีก็เก็บถ้วยชามไปล้าง ทำราวกับเป็นหน้าที่ในชีวิตประจำวัน ส่วนเธอที่เป็นภรรยานั้นแค่นั่งเป็นกำลังใจให้ก็พอ"ไม่ถูกต้องเอามากๆ"ซูพึมพำ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เสนอตัว ไม่ใช่ว่าเธอรักสบาย แต่ผู้ชายร่างสูงใหญ่เขากำชับเธอเสียงหนักแน่นว่าอย่าฝืนทำอะไรที่เกินตัว ไอ้ที่เกินตัวเขาหมายถึงอะไร ถ้าหมายถึงถ้วยชามที่เพิ่งกินไป มันไม่ได้เหนื่อยหนักหนาอะไรเลย หญิงสาวคิดในใจ ในเมื่อไม่รู้ว่าทำอะไร เธอจึงลุกขึ้นยืนสำรวจในบ้านของเจ้าของร่างนี้แทน "ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่"ดวงตาคู่สวยกวาดมองทุกอย่างรอบตัวที่ดูแตกต่างไปจากโลกเดิมของเธอ เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มี ทั้งๆ ที่นี่คือปี 1980 ที่จีนกำลังพัฒนา สามีของซูเอ๋อร์คงจนมากสินะ ถึงยังใช้ตะเกียงให้ความสว่างอยู่เลย หญิงสาวคิดในใจ การไม่มีไฟฟ้าใช้บอกตรงๆ ว่าลำบากพอสมควรบ้านไม้เก่าๆ หลังนี้ในสายตาของเธอที่อยู่คอนโดและมีพื้นที่จำกัด ถือว่ากว้างพอสำหรับสองสามีภรรยา ภายในบ้านถูกจัดสรรแบ่งออกเป็นสัดส่วน มีห้องนอน ห้องเก็บของ มีพื้นที่โถงตรงกลาง ส่วนห้องครัวอยู่นอกบ้าน มีห้องน้ำที่สร้างถัดจากห้องครัวหน่อยหนึ่งห้องน้ำอยู่ข้างนอกนี่นะ??ซูคิดพลางถอนหายใจ หญิงส
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา ชายหนุ่มที่เป็น 'สามี' ก็รีบรุดเข้ามาประคอง ดวงตาคมเข้มที่มองหน้าเธอนั้นแดงเหมือนผ่านการร้องไห้มา และสีหน้าของเขานั้นก็ดูอิดโรยเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายวัน"พี่ขอโทษ"เป็นคำขอโทษที่ซูไม่ได้อยากรับไว้ การที่เจ้าของร่างล้มหัวฟาดไป ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะเจ้าหล่อนทำตัวเอง "ช่วยพี่หว่านเมล็ดผักได้ไหม""พี่ไม่เห็นรึไงว่าแดดมันร้อน"หญิงสาวยกมือขึ้นมาบังหน้า แสงแแดดยามเที่ยงวันที่สาดส่องมามันทำเธอหงุดหงิดอยากกลับไปที่ร่มเร็วๆ"อีกแค่นิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว""เอ๊ะพี่...."หญิงสาวขึ้นเสียงทำหน้าไม่พอใจใส่ ก่อนจะพูดประโยคที่ทำคนบ้านใกล้เรือนเคียงส่ายหน้าไปมา นึกสงสารชายหนุ่มจับใจ มีตาหามีแววไม่ เมียสวยแล้วอย่างไร แต่นิสัยนั้นน่ารังเกียจริงๆ "เบาๆ สิซูเอ๋อร์""ไม่เบา"หญิงสาวไม่มีทีท่าจะทำตามคำพูดสามี"คนมองกันหมดแล้วนะ"ชายหนุ่มที่เกรงว่าภรรยาจะโดนคนนินทาพยายามดึงตัวเธอเข้าไป แต่สาวเจ้าก็สะบัดแขนใส่ ท่าทีไร้มารยาทต่างจากใบหน้าสวยพิมพ์ใจ ใครเห็นก็เอือมระอา"มองก็ดี จะได้รู้กันให้หมดว่าฉันเป็นภรรยาไม่ใช่คนใช้ที่ต้องก้มหน้าทำงานงกๆ ไปวันๆ "ซูเอ๋อร์โวยวายใส่สามีที่ถือถุงใส่เม
เคยได้ยินประโยคที่ว่า...'ผู้หญิงทุกคนมีค่าไหม??'ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าคอนโด ค่านู่น ค่านี่ บลา บลา บลา ที่รอให้จ่ายตอนสิ้นเดือน มันเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้หญิงโสดวัยทำงานอย่าง 'ซู' ต้องขยันทำงาน คติประจำใจของเธอคือทำงาน = มีเงินซูที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยดัง จึงเลือกสมัครงานที่บริษัทดัง อัตราการแข่งขันสูงมาก เธอต้องทำผลงาน ผลของความขยันก็ไม่เคยทรยศใคร "ยินดีด้วยนะ""เก่งมากเลยซู""น่าอิจฉาจังเลย"ซึ่งบริษัทที่ซูได้ทำงานเป็นบริษัทที่ให้ค่าตอบแทนในการทำงานสูงมาก เป็นศูนย์รวมหัวกะทิที่จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และซูก็ได้เป็นหนึ่งในพนักงานที่สอบผ่านข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ตัวต่อตัวเมื่อทำงานได้ระยะหนึ่ง ซูก็เลือกที่จะผ่อนคอนโด ผ่อนรถ ด้วยความอยากมีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง ทำให้เธอใช้ชีวิตบ้าระห่ำไปกับการทำงาน เพื่อหาเงินมาโปะคอนโด โปะรถให้หมดไวๆ ใช้เวลาสามปี เธอก็ปลดหนี้ได้ และจุดมุ่งหมายใหม่คือเก็บเงินเพื่อเปิดร้านอาหารที่เป็นความชอบส่วนตัว เธอโตมากับครอบครัวฐานะปานกลาง ไม่ได้มีต้นทุนมาก ดังนั้นเธอจึงต้องปากกัดตีนถีบสอบให้ได้ทุน และทุนนี้ก็เปลี่ยนชีวิตของเธอ เธอมีโอกาสเธอมีงาน เธอม







