นึกถึงพี่หญิงใหญ่ เฉินชิวเยว่ ที่บุกมาอาละวาดด่าทอนางอย่างที่ไม่เคยกระทำมาก่อนเช่นนั้นแล้ว เซียงหรงก็อดคิดไม่ได้ว่า เรื่องครั้งนี้เป็นสวรรค์เมตตาหรือฟ้าดินลงโทษกันแน่ ยังไม่นับอีกว่าผู้เก็บตัวในจวนอย่างสงบและปลอดภัยมาเนิ่นนานอย่างนาง ยังต้องออกไปแสดงตัวต่อหน้าผู้คน เข้าร่วมการแข่งขันที่ถูกจัดขึ้นเพื่อให้เหล่าสาวงามได้ออกมาแสดงฝีไม้ลายมือในด้านต่างๆ รวมไปถึงคุณธรรม ความรู้
หากการออกนอกจวนครั้งนี้ ทำให้ตัวนางเกิดไปสะดุดตาตระกูลสูงศักดิ์หรือผู้มากบารมีใดเข้า...
เซียงหรงสะบัดหน้า สลัดความคิดในแง่ร้ายออกไปจากใจ
ย่อมไม่เป็นเช่นนั้นหรอก...
ตั้งแต่ยังเยาว์ มีข่าวเล่าลือแพร่กระจายไปทั่ว ว่านางในวัยเพียงเจ็ดขวบครึ่งได้ถูกบุรุษไม่รู้หัวนอนปลายเท้าพรากชิงความบริสุทธิ์ไปแล้ว เช่นนั้น ต่อให้นางจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน อวดความรู้ แสดงความสามารถด้านใด ก็คงไม่มีใครที่ไหน ตระกูลใด ต้องการสตรีที่แปดเปื้อนราคีกระมัง
แม้ภายนอกจะดูคล้ายรับมือเรื่องวุ่นวายทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ทว่าเซียงหรงกลับพบว่าตนเองสับสนและกังวลเรื่องครั้งนี้กว่าที่คิด หลักฐานก็คือการที่ตอนนี้คุณหนูสามอย่างนางถึงกับเดินเหม่อลอยออกมาจนถึงเขตอุทยานกว้างใหญ่ใจกลางจวน
เซียงหรงมองภาพสระบัวตรงหน้าแล้วได้แต่กะพริบตาปริบๆ
นี่นางต้องใจลอยถึงเพียงไหน จึงได้เดินไม่ดูทางจนเกือบจะก้าวขาลงสระบัวท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเช่นนี้
หรือส่วนลึกของจิตใจนางถึงกับอยากทำให้ตนเองล้มป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงการออกนอกจวนครั้งแรกในรอบหลายปี?
นี่ถ้าเมื่อครู่ไม่ได้พี่ซู่ซินของนางรั้งไว้ ป่านนี้ทั่วทั้งร่างของนางคงเปียกปอน...ไม่ถูก สระบัวใจกลางอุทยาน แต่แรกนั้นถูกขุดขึ้นเพื่อนำเอาดินมาใช้ในการก่อสร้างเรือนต่างๆ ภายในจวน ก้นบ่อจึงค่อนข้างลึก หากเผลอพลัดตกลงไป นางอาจถึงขั้นจมน้ำในสระบัวที่ลึกท่วมศีรษะกว่าเท่าตัวแห่งนี้จนถึงแก่ชีวิตไปแล้วก็ได้
ใช่ว่า...ใช่ว่านางและพี่ซู่ซินที่ติดตามมาด้วยจะว่ายน้ำเป็นเสียเมื่อไหร่
เมื่อนึกถึงเรื่องน่ากลัวที่อาจเกิดขึ้น เซียงหรงก้าวขาถอยห่างขอบสระ เพิ่งจะก้าวขาได้ก้าวเดียวก็ชนเข้ากับพี่หญิงรองของนาง เฉินเหม่ยลี่
ชั่วขณะนั้น นางรู้สึกได้ว่าพี่หญิงรองจับข้อมือนางแน่นมาก ทว่าไม่รู้เป็นเพราะอะไร จู่ๆ พี่หญิงรองก็ร้อง “โอ๊ย!” ปล่อยมือจากนาง ก้าวขาถอยห่าง ใบหน้าเผือดสี สาวใช้ข้างกายพี่หญิงรองเองก็ดูตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
เสี่ยวซาน สาวใช้วัยเดียวกับนางที่พี่หญิงรองโปรดปรานเป็นที่สุด จับประคองมือคุณหนูรองของตนไว้แน่น สายตาจ้องตรงมาที่คุณหนูสามอย่างนาง แววตาหวาดกลัว
เป็นเช่นนี้อีกแล้ว... หลายปีมานี้ มีบ่อยครั้งที่พี่หญิงน้องหญิงของนาง อนุหาน อนุซู และอนุจาง รวมถึงสาวใช้ข้างกายพวกนางทั้งหมด ทำท่าทางแปลกๆ เช่นนี้ พวกนางคล้าย...หวาดกลัวอะไรบางอย่าง แล้วไม่นานก็หาเหตุปลีกตัว ถอยห่างออกไปทันที
“น้องสาม สระบัวนี้ลึกมาก พี่รองกลัวว่าเจ้าจะพลัดตกลงไป จึงคิดจะประคองเจ้าเอาไว้...” จู่ๆ พี่หญิงรองของนางก็กล่าวคล้ายจะอธิบายถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ “เวลาไม่เช้าแล้ว ยามบ่ายแดดแรง เทศกาลชมบุปผาใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว พวกเราพี่หญิงน้องหญิงรีบกลับเรือนไปพักผ่อนกันเถอะ อย่ารั้งอยู่ที่อุทยานนี้อีกเลย หากล้มป่วยไปจะไม่ดี” ว่าจบพี่หญิงรองเฉินเหม่ยลี่ที่ถูกประคองไว้ด้วยสาวใช้ข้างกายก็รีบร้อนจากไปทันที
เซียงหรงผินหน้าสบตาซู่ซินที่ปราดเข้ามาประคองอยู่ด้านข้างนานแล้วเป็นเชิงถาม นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นพี่ซู่ซินของนางอมยิ้มจนแก้มแทบปริ ดูสาแก่ใจเป็นอย่างยิ่ง
นี่ก็แปลกอีกคนแล้ว... เมื่อครู่นี้มีเรื่องดีๆ ใดเกิดขึ้นกันแน่ พี่ซู่ซินของนางจึงได้เผลอแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา?
ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้นในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจกระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่
“ท่านเป็นใครกัน” ฟูเหรินที่เริ่มเรื่องถามอย่างหวั่นๆนั่นสิ! ท่านเป็นใคร! เซียงหรงเองก็อยากรู้เช่นกันราวกับตอบคำถามของนาง ผู้อ้างตัวเป็นคู่หมั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด รอยยิ้มบนริมฝีปากเหี้ยมเกรียมขับให้ใบหน้าคมเข้มดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใบหน้าโจรภูเขาที่ถูกปราบเมื่อเดือนก่อนด้วยซ้ำ“จวิ้นหวังจ๋างจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจิน หลี่จือหลิน!”พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อ! เซียงหรงเกือบจะตกใจจนทำพู่กันหลุดมือไปแล้ว ใช่เขาจริงๆ หรือ! ไม่...ไม่ถูก ต่อให้ไม่ใช่เขา แต่เล่นประกาศเสียขนาดนี้ หากท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วนางจะเอาเหตุผลใดไปบ่ายเบี่ยงกันเล่า! เซียงหรงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่เขียนอักษรต่อไปด้วยใจหดหู่บรรดาผู้คนที่พูดนินทาต่างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกหลี่จือหลินไม่ได้รอให้ใครกล่าวอะไรอีก เขาโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่แต่งกายเรียบง่ายดุจเดียวกันอยู่จัดการเรื่องการพนันขันต่อแทนตน แล้วเดินไปยังที่นั่งข้างมารดา ท่าทางสนิทส
โฉมสะคราญต่างทำหน้าที่ของตนในการประชันฝีมือ แต่ผู้มาเฝ้าชมด้านข้างกลับเริ่มประชันคำพูดกันขึ้นมาแล้ว เสียงซุบซิบนินทาจากกลุ่มคนในมุมหนึ่งของสวนชิงหลิงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ“...ช่างน่าอดสูนัก...” ฟูเหรินผู้หนึ่งเอ่ยคล้ายพึมพำกับตนเอง “ไม่ใช่ว่าหลายปีก่อนในงานเทศกาลหยวนเซียว คุณหนูสามถูกคนแปลกหน้าลักพาตัวไป…ย่ำยี…” ราวกับลืมตัว ยิ่งพูดเสียงของฟูเหรินวัยกลางคนก็ยิ่งชัดถ้อยชัดคำขึ้นเรื่อยๆ จนฟังชัดถนัดหู ทำเอาคนอื่นๆ เริ่มหันมามองบุรุษอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวเราะเบาๆ แล้วเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น ข้าจำได้แม่น คุณหนูสามที่ยังเยาว์ถูกบุรุษอุ้มร่างไร้สติไปทิ้งไว้หน้าจวนเฉินกั๋วกง พวกเขาบอกว่านางถูกย่ำยีจนไร้ค่าตั้งแต่นั้นมา”“นางมาทำไมกัน? ข่าวลือของนาง... เป็นข้าคงอับอายจนไม่อาจเงยหน้าอวดใครได้อีก”“ดูเถิด ต่อให้นางจะงดงามหรือมีฝีมือเพียงใด ชื่อเสียงเช่นนั้นย่อมไม่มีตระกูลใดต้องการหรอก”คำพูดเหล่านั้นพร้อมเสียงหัวเราะเยาะแผ่วจางแว่วมาให้ได้ยิน เ
เสียงฆ้องเบาๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน หัวข้อในการประชันความสามารถรอบที่สี่ถูกประกาศโดยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิที่นั่งอยู่ในศาลากลางลาน"สายลมฤดูใบไม้ผลิพลิ้วพัด บุปผานับพันผลิบาน"กลายเป็นว่าในรอบที่สี่ สาวงามทั้งหมดจะต้องแต่งบทกวีจากหัวข้อที่กำหนดให้นี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงสามารถเริ่ม ‘คัดอักษร’ ตามคำสั่งที่จะได้รับในภายหลัง ทั้งหมดนี้กำหนดให้ใช้เวลาไม่เกินสองก้านธูปเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันจึงพยายามเพ่งสมาธิ ขยับพู่กันจรดลงบนกระดาษ เซียงหรงเองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่เริ่มลงมือบรรจงเขียนด้วยท่วงท่าสง่างาม"บุปผาร่วงโรยใต้เงาจันทร์ น้ำค้างหล่นราวน้ำตาผู้คนเฉกเช่นสกุณารำพัน ถึงเมฆางดงามไร้ผู้ยลหยกงามอาจหักด้วยกำลัง สัตย์จริงถูกบิดเบือนด้วยเล่ห์กล"เห็นคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงแต่งบทกวีได้เร็วนัก เหล่าผู้ใคร่รู้ต่างอดใจไม่ไหว ลุกขึ้นยืน ชะเง้อมองมีบางคนเริ่มกระซิบกระซาบ“ถ้อยคำของนาง...ช่างลึกซึ้งและงดงาม”&
ไท่โฮ่วเดาความคิดสะใภ้ออก ทว่าทั้งนางและหวงโฮ่วก็ล้วนเป็นคนสกุลเดียวกัน เหตุใดนางจะไม่อยากสนับสนุนหวงโฮ่ว ช่วยอุ้มชูหลานชายที่มีสายเลือดเดียวกันกับตนเองถึงสองชั้นรอจนถึงคราวที่ภาพวาดของเฉินเซียงหรงเปิดเผยแก่สายตาทุกคน สวีไท่โฮ่วประเมินแล้วว่าภาพนั้นมิได้มีสิ่งใดเสียหายก็ปรบมือดังสนั่น แย้มรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่าบุปผา เอ่ยเสียงนุ่ม ทว่าดังกังวาน“วาดได้ดี ดียิ่ง!” ไท่โฮ่วกล่าวชื่นชมคล้ายลืมตัว “ผู้อื่นวาดภาพสาวงามกับดอกไม้งาม บ้างวาดภาพโบตั๋นสีแดงสื่อความนัย คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงกลับวาดสิ่งที่ต่างออกไป ช่างกล้าหาญ ตรงไปตรงมา ทั้งยังมีฝีมือการวาดภาพเหนือชั้นยิ่งนัก หากบุปผาเปรียบได้กับสตรี ใต้หล้านี้จะมีสตรีใดเหมาะสมกับคำว่า ‘ยอดบุปผา’ ยิ่งกว่ามารดาของแผ่นดิน!”สวีหวงโฮ่วใจเต้นรัว คาดไม่ถึงว่าไท่โฮ่วจะกล่าวยกย่องพระนางต่อหน้าคนทั้งหมดชัดแจ้งถึงเพียงนี้โชคดีเหลือเกินที่ตนเกิดมาในสกุลสวี จึงนับได้ว่าอยู่ฝักฝ่ายเดียวกันกับไท่โฮ่วอย่างไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่แรกเข้าวัง แม้จะมีที่ต้องเผชิญสถานการณ์ยากลำบากอยู่บ้าง แต่ลงท้ายแล้วทุกครั้งก็ล้วนผ่านมาได้ด้วยดี กล่าวได้ว่าชั่วชีวิตนี้ ต่อให้ไม่อาจปีน
จู่ๆ สวีหวงโฮ่วก็คล้ายจะมองเห็นภาพตนเองซ้อนทับคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ขึ้นมาปีนั้น...พระนางก็อาศัยการประชันขันแข่งในเทศกาลชมบุปผา ย้ำเตือนทุกคนถึงสายสัมพันธ์ของพระนางกับราชวงศ์สกุลหลี่เช่นนี้...ถูกแล้ว นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของคุณหนูสี่สกุลอู๋ สกุลอู๋แม้ยามนี้ยังคงมีหน้ามีตา ทว่ากลับค่อยๆ สูญเสียความน่าเกรงขามลงไปทุกขณะ ด้วยหลายสิบปีมานี้ไม่มีผู้ใดในจวนไต่เต้าถึงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ไร้ความโปรดปรานจากฝ่าบาท ไร้ความสัมพันธ์เครือญาติกับราชวงศ์และขุนนางใหญ่สวีหวงโฮ่วจ้องมองแววตาอันสงบเยือกเย็นของคุณหนูสี่สกุลอู๋แล้วก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย สตรีเช่นนี้...สำหรับพระนางแล้วนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแค่ความน่าสนใจยังนับว่าไม่พอ สิ่งที่ผู้เป็นชายาของบุตรชายพระนางพึงมี มิใช่เพียงสติปัญญา ความสามารถ แต่ยังต้องมีตระกูลที่สามารถสนับสนุนส่งเสริมบุตรชายซึ่งเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพระนางได้อีกด้วยเฟ้นหาสะใภ้ที่เหมาะสม...นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของพระนางในการเข้าร่วมชมการประชันขันแข่งในครั้งนี้สวีหวงโฮ่วเบนสายตากลับไปมองยังคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ก็พบว่าเด็กสาวผู้นั้นกำลังจ้องมองไปยังอู