เห็นคุณหนูของตนจ้องมองด้วยสายตางุนงงสงสัย ซู่ซินรีบเก็บสีหน้า นางกระแอมเสียงเบา ก่อนกล่าวเสียงนุ่ม ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“คุณหนูสาม...เวลาไม่เช้าแล้ว แดดแรงจริงดังที่คุณหนูรองกล่าวมาไม่มีผิด พวกเราก็รีบกลับเรือนอี้หรงดีหรือไม่”
เฉินเซียงหรงกะพริบตาสองปริบ พยายามไม่ใส่ใจท่าทีประหลาดนั้น
ถึงถามพี่ซู่ซินของนางไปก็ไม่ได้คำตอบ นางคร้านจะถามแล้ว
“ไปสิ...พวกเรากลับเรือนกัน ข้าเพิ่งนึกได้ว่าสมควรปักถุงหอมลายมงคลให้ท่านป้าสะใภ้สักถุง...ยังมีของท่านพ่อ พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง น้องเล็ก ท่านแม่รอง ท่านแม่สาม ท่านแม่สี่ พี่หญิงน้องหญิงทุกคน...แน่นอนว่ายังต้องมีของพี่ซู่ซินกับป้าเหลียงอีกคนละถุงอีกด้วย”
“มีของบ่าวกับป้าเหลียงด้วยหรือเจ้าคะ”
“พี่ซู่ซินและป้าเหลียงก็เหมือนครอบครัวของข้า จะไม่มีได้อย่างไร”
ซู่ซินอมยิ้ม กล่าวอย่างขวยอายระคนดีใจ “กล่าวเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ หากผู้อื่นมาได้ยิน...”
“ได้ยินแล้วอย่างไร” เซียงหรงแย้มยิ้มงดงามเฉิดฉัน “ทั้งพี่ซู่ซินและป้าเหลียงต่างคอยดูแลข้า ปกป้องคุ้มครองข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ พวกท่านไม่เพียงดีต่อข้า ยังดีต่อผู้อื่นในจวน เป็นผู้รู้ระวังหนักเบา ความประพฤติดีงาม ไร้ตำหนิบกพร่อง ถุงหอมเพียงถุงเดียว เมื่อเทียบกับความดีของพวกท่านแล้วจะนับว่าเป็นอะไรได้...หากไม่ใช่เพราะสินเดิมของท่านแม่ไม่อาจนำออกมาใช้ และหากไม่ใช่เพราะเรือนอี้หรงของพวกเราในยามนี้ต้องประหยัด ข้ายังอยากตอบแทนพวกท่านทั้งสองคนให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“คุณหนูของบ่าวช่างเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีที่ดีนัก...เช่นนี้อย่างไรเล่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์และฟูเหรินที่เฝ้ามองอยู่จึงไม่อาจไม่รักใคร่ให้ความคุ้มครองคุณหนูที่แสนดีของบ่าว ช่วยให้คุณหนูของบ่าวสามารถเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นสตรีที่สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ฉลาดปราดเปรื่อง และงดงามถึงเพียงนี้” กล่าวแล้ว ซู่ซินก็ไล่สายตามองผมเพ้าผิวพรรณของคุณหนูอย่างนางด้วยแววตาชื่นชมประสมภูมิใจ
เส้นผมยาวเหยียดเงางามและผิวพรรณที่เกลี้ยงเกลาไร้รอยขีดข่วนย่อมบ่งบอกถึงการได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีนับตั้งแต่ยังเยาว์...
พี่ซู่ซินของนางมองผิวพรรณนางแล้วนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมารดาที่ล่วงลับของคุณหนูอย่างนาง แต่เซียงหรงกลับนึกขอบคุณท่านป้าสะใภ้ พี่ซู่ซิน ป้าเหลียง รวมถึงบ่าวชายสาวใช้ทุกคนในเรือน ที่ช่วยกันทะนุถนอมปกป้องดูแลนางมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ใช้ชีวิตมาจนถึงป่านนี้ คุณหนูอย่างนางเพิ่งจะเคยหกล้มได้แผลเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งนั้นในเรือนวุ่นวายกันมากทีเดียว จำได้ว่าท่านป้าสะใภ้ถึงกับเร่งรุดมาส่งยาสมานแผลลบเลือนริ้วรอยราวกับพระโพธิสัตว์มาดลใจ บ่าวชายสาวใช้ก็คุ้มกันเรือนแน่นหนา พี่ซู่ซิน ป้าเหลียง คอยป้อนทั้งยาบำรุง ทั้งทายาที่ท่านป้าสะใภ้หามาให้ถึงสองหีบใหญ่ๆ ไม่เว้นวัน ทำราวกับเด็กสาวอย่างนางป่วยหนักก็ไม่ปาน กระทั่งผู้ที่ทำให้นางหกล้มเพราะบังเอิญหยอกล้อกันตามประสาพี่น้องกับพี่หญิงใหญ่และพี่หญิงรอง จนพลาดวิ่งมาชนนางล้มอย่างน้องสี่ ก็ยังถึงกับมาก้มศีรษะขอขมานางยกใหญ่ กล่าวแต่ว่า “ข้าจะไม่ทำให้พี่หญิงสามต้องเจ็บตัวอีกแล้ว จะไม่ทำอีกแล้ว” ซ้ำๆ ไม่ยอมหยุด พี่หญิงใหญ่และพี่หญิงรองเองก็ยังรีบร้อนมาถามไถ่อาการด้วยใบหน้าเผือดสี จับมือขอขมา กล่าวในทำนองเดียวกันว่า “จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเด็ดขาด”
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากเหตุการณ์คราวนั้น ต่อมาแม้จะมีเรื่องขัดแย้งใด พี่หญิงน้องหญิงในจวนเฉินกั๋วกงก็ล้วนยั้งมือไว้ไมตรี ต่อให้กรุ่นโกรธจนตัวสั่นก็ไม่เคยแตะต้องรังแกนางสักนิด อย่างมากที่สุด พวกนางก็แค่โวยวายต่อว่า ทว่าเมื่อระงับความโกรธได้ แต่ละคนก็ยังยอมรักษาหน้าไว้ไมตรี ยอมปล่อยให้คุณหนูสามอย่างนางได้ใช้ชีวิตอย่างสงบในเรือนหลังต่อไปตามประสานาง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์และท่านแม่ผู้ล่วงลับคอยรักใคร่ให้ความคุ้มครองอย่างนั้นหรือ...
จนถึงตอนนี้ เซียงหรงคิดว่าบางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณของท่านแม่ที่ล่วงลับของนางอาจมีอยู่จริงและคอยดลใจให้ผู้คนในจวนล้วนดีต่อนางเช่นนี้ก็เป็นได้
นึกขึ้นมาได้เช่นนี้แล้ว เซียงหรงก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในอก สุขใจยิ่ง
ในจวนเฉินกั๋วกงเกิดความวุ่นวาย ทว่าภายในตำหนักอันโอ่อ่าของจวิ้นหวังเถี่ยเม่าจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจินในยามนี้ กลับมีเสียงหัวเราะของสวีเซียงเซียง ชายาเอกในจวิ้นหวังผู้เป็นเจ้าของครอบครองตำหนักอันยิ่งใหญ่งามตระการแห่งนี้ ดังกึกก้องต่อเนื่องยาวนานอย่างที่ไม่เคยมีมา
ช่วยไม่ได้เลยจริงๆ ที่ผู้เป็นจวิ้นหวังเฟยอย่างนางจะดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่เช่นนี้...
หลานสาวของนางสามารถผ่านการคัดเลือกได้จริงๆ อย่างที่คิด!
หึหึ เหตุใดจะไม่ผ่านการคัดเลือกเล่า ในเมื่อผ้าปักลายผืนนั้นทั้งงดงาม ทั้งแฝงไว้ด้วยความห่วงใย ใส่ใจ และความปรารถนาดีอย่างแรงกล้า ทุกฝีเข้ม ทุกเส้นด้าย ล้วนบอกถึงความตั้งใจจริงของผู้ปักชัดแจ้งถึงเพียงนั้น
“ทีนี้หรงเอ๋อร์ของข้าก็จะได้กอบกู้ชื่อเสียงที่เสียหายลงไปเพราะคำครหาในวัยเยาว์ และได้ฉายแสงต่อหน้าผู้คนทั้งหมดเสียที!”
การประชันขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีเช่นนั้นหรือ...
นึกถึงเรื่องนี้แล้ว ก็พาให้อดีตบุตรสาวที่ไม่ได้รับความสำคัญจากสกุลสวีอย่างนาง ทั้งสะท้อนใจและอาลัย ‘เซียงเหลียนจวิ้นจู’ สตรีแสนดีที่โน้มกายลงมาเป็นสหายผู้รู้ใจกับบุตรสาวซึ่งเกิดจากอนุภรรยาชาติกำเนิดต่ำต้อยที่ไม่ได้รับความสำคัญอย่างนางยิ่งนัก
คนถึงกล่าวกันว่าสวรรค์ไม่เป็นธรรมอย่างไรเล่า สตรีที่ดีอย่างหลี่เซียงเหลียนสหายเพียงผู้เดียวของนางต้องมาด่วนตายจากไป ในขณะที่เหล่าสตรีอสรพิษในจวนเฉินกั๋วกงกลับได้อยู่เสวยสุข หากไม่เรียกว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรมแล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร?
ครั้งนั้นสหายของนาง หลี่เซียงเหลียน ก็ใช้ฝีมือการปักผ้าในการสมัครเข้าคัดเลือกเพื่อเข้าประชันขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีเช่นเดียวกัน...
นับตั้งแต่ยังเยาว์ หรงเอ๋อร์ของนางจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ เรียนรู้ไว ชำนาญสิ้นทั้งพิณ ภาพ หมาก อักษร ทั้งยังปักผ้าได้งดงามเป็นที่หนึ่ง ทั้งคุณสมบัติและรูปสมบัติล้วนราวกับถอดแบบมารดาของตนมาไม่มีผิด นางไม่เชื่อหรอกว่าสตรีดีๆ เช่นหลานสาวของนางผู้นี้จะไม่อาจคว้าเอาตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีมาครอบครอง ตอกหน้าเหล่าคนจิตใจสกปรกหยาบช้าเห็นแก่ได้ในจวนเฉินกั๋วกง และบิดาที่เอาแต่ขลุกอยู่กับภาระการงานและสุราละเลยบุตรธิดา ให้หงายหลัง!
ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้นในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจกระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่
“ท่านเป็นใครกัน” ฟูเหรินที่เริ่มเรื่องถามอย่างหวั่นๆนั่นสิ! ท่านเป็นใคร! เซียงหรงเองก็อยากรู้เช่นกันราวกับตอบคำถามของนาง ผู้อ้างตัวเป็นคู่หมั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด รอยยิ้มบนริมฝีปากเหี้ยมเกรียมขับให้ใบหน้าคมเข้มดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใบหน้าโจรภูเขาที่ถูกปราบเมื่อเดือนก่อนด้วยซ้ำ“จวิ้นหวังจ๋างจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจิน หลี่จือหลิน!”พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อ! เซียงหรงเกือบจะตกใจจนทำพู่กันหลุดมือไปแล้ว ใช่เขาจริงๆ หรือ! ไม่...ไม่ถูก ต่อให้ไม่ใช่เขา แต่เล่นประกาศเสียขนาดนี้ หากท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วนางจะเอาเหตุผลใดไปบ่ายเบี่ยงกันเล่า! เซียงหรงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่เขียนอักษรต่อไปด้วยใจหดหู่บรรดาผู้คนที่พูดนินทาต่างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกหลี่จือหลินไม่ได้รอให้ใครกล่าวอะไรอีก เขาโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่แต่งกายเรียบง่ายดุจเดียวกันอยู่จัดการเรื่องการพนันขันต่อแทนตน แล้วเดินไปยังที่นั่งข้างมารดา ท่าทางสนิทส
โฉมสะคราญต่างทำหน้าที่ของตนในการประชันฝีมือ แต่ผู้มาเฝ้าชมด้านข้างกลับเริ่มประชันคำพูดกันขึ้นมาแล้ว เสียงซุบซิบนินทาจากกลุ่มคนในมุมหนึ่งของสวนชิงหลิงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ“...ช่างน่าอดสูนัก...” ฟูเหรินผู้หนึ่งเอ่ยคล้ายพึมพำกับตนเอง “ไม่ใช่ว่าหลายปีก่อนในงานเทศกาลหยวนเซียว คุณหนูสามถูกคนแปลกหน้าลักพาตัวไป…ย่ำยี…” ราวกับลืมตัว ยิ่งพูดเสียงของฟูเหรินวัยกลางคนก็ยิ่งชัดถ้อยชัดคำขึ้นเรื่อยๆ จนฟังชัดถนัดหู ทำเอาคนอื่นๆ เริ่มหันมามองบุรุษอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวเราะเบาๆ แล้วเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น ข้าจำได้แม่น คุณหนูสามที่ยังเยาว์ถูกบุรุษอุ้มร่างไร้สติไปทิ้งไว้หน้าจวนเฉินกั๋วกง พวกเขาบอกว่านางถูกย่ำยีจนไร้ค่าตั้งแต่นั้นมา”“นางมาทำไมกัน? ข่าวลือของนาง... เป็นข้าคงอับอายจนไม่อาจเงยหน้าอวดใครได้อีก”“ดูเถิด ต่อให้นางจะงดงามหรือมีฝีมือเพียงใด ชื่อเสียงเช่นนั้นย่อมไม่มีตระกูลใดต้องการหรอก”คำพูดเหล่านั้นพร้อมเสียงหัวเราะเยาะแผ่วจางแว่วมาให้ได้ยิน เ
เสียงฆ้องเบาๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน หัวข้อในการประชันความสามารถรอบที่สี่ถูกประกาศโดยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิที่นั่งอยู่ในศาลากลางลาน"สายลมฤดูใบไม้ผลิพลิ้วพัด บุปผานับพันผลิบาน"กลายเป็นว่าในรอบที่สี่ สาวงามทั้งหมดจะต้องแต่งบทกวีจากหัวข้อที่กำหนดให้นี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงสามารถเริ่ม ‘คัดอักษร’ ตามคำสั่งที่จะได้รับในภายหลัง ทั้งหมดนี้กำหนดให้ใช้เวลาไม่เกินสองก้านธูปเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันจึงพยายามเพ่งสมาธิ ขยับพู่กันจรดลงบนกระดาษ เซียงหรงเองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่เริ่มลงมือบรรจงเขียนด้วยท่วงท่าสง่างาม"บุปผาร่วงโรยใต้เงาจันทร์ น้ำค้างหล่นราวน้ำตาผู้คนเฉกเช่นสกุณารำพัน ถึงเมฆางดงามไร้ผู้ยลหยกงามอาจหักด้วยกำลัง สัตย์จริงถูกบิดเบือนด้วยเล่ห์กล"เห็นคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงแต่งบทกวีได้เร็วนัก เหล่าผู้ใคร่รู้ต่างอดใจไม่ไหว ลุกขึ้นยืน ชะเง้อมองมีบางคนเริ่มกระซิบกระซาบ“ถ้อยคำของนาง...ช่างลึกซึ้งและงดงาม”&
ไท่โฮ่วเดาความคิดสะใภ้ออก ทว่าทั้งนางและหวงโฮ่วก็ล้วนเป็นคนสกุลเดียวกัน เหตุใดนางจะไม่อยากสนับสนุนหวงโฮ่ว ช่วยอุ้มชูหลานชายที่มีสายเลือดเดียวกันกับตนเองถึงสองชั้นรอจนถึงคราวที่ภาพวาดของเฉินเซียงหรงเปิดเผยแก่สายตาทุกคน สวีไท่โฮ่วประเมินแล้วว่าภาพนั้นมิได้มีสิ่งใดเสียหายก็ปรบมือดังสนั่น แย้มรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่าบุปผา เอ่ยเสียงนุ่ม ทว่าดังกังวาน“วาดได้ดี ดียิ่ง!” ไท่โฮ่วกล่าวชื่นชมคล้ายลืมตัว “ผู้อื่นวาดภาพสาวงามกับดอกไม้งาม บ้างวาดภาพโบตั๋นสีแดงสื่อความนัย คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงกลับวาดสิ่งที่ต่างออกไป ช่างกล้าหาญ ตรงไปตรงมา ทั้งยังมีฝีมือการวาดภาพเหนือชั้นยิ่งนัก หากบุปผาเปรียบได้กับสตรี ใต้หล้านี้จะมีสตรีใดเหมาะสมกับคำว่า ‘ยอดบุปผา’ ยิ่งกว่ามารดาของแผ่นดิน!”สวีหวงโฮ่วใจเต้นรัว คาดไม่ถึงว่าไท่โฮ่วจะกล่าวยกย่องพระนางต่อหน้าคนทั้งหมดชัดแจ้งถึงเพียงนี้โชคดีเหลือเกินที่ตนเกิดมาในสกุลสวี จึงนับได้ว่าอยู่ฝักฝ่ายเดียวกันกับไท่โฮ่วอย่างไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่แรกเข้าวัง แม้จะมีที่ต้องเผชิญสถานการณ์ยากลำบากอยู่บ้าง แต่ลงท้ายแล้วทุกครั้งก็ล้วนผ่านมาได้ด้วยดี กล่าวได้ว่าชั่วชีวิตนี้ ต่อให้ไม่อาจปีน
จู่ๆ สวีหวงโฮ่วก็คล้ายจะมองเห็นภาพตนเองซ้อนทับคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ขึ้นมาปีนั้น...พระนางก็อาศัยการประชันขันแข่งในเทศกาลชมบุปผา ย้ำเตือนทุกคนถึงสายสัมพันธ์ของพระนางกับราชวงศ์สกุลหลี่เช่นนี้...ถูกแล้ว นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของคุณหนูสี่สกุลอู๋ สกุลอู๋แม้ยามนี้ยังคงมีหน้ามีตา ทว่ากลับค่อยๆ สูญเสียความน่าเกรงขามลงไปทุกขณะ ด้วยหลายสิบปีมานี้ไม่มีผู้ใดในจวนไต่เต้าถึงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ไร้ความโปรดปรานจากฝ่าบาท ไร้ความสัมพันธ์เครือญาติกับราชวงศ์และขุนนางใหญ่สวีหวงโฮ่วจ้องมองแววตาอันสงบเยือกเย็นของคุณหนูสี่สกุลอู๋แล้วก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย สตรีเช่นนี้...สำหรับพระนางแล้วนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแค่ความน่าสนใจยังนับว่าไม่พอ สิ่งที่ผู้เป็นชายาของบุตรชายพระนางพึงมี มิใช่เพียงสติปัญญา ความสามารถ แต่ยังต้องมีตระกูลที่สามารถสนับสนุนส่งเสริมบุตรชายซึ่งเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพระนางได้อีกด้วยเฟ้นหาสะใภ้ที่เหมาะสม...นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของพระนางในการเข้าร่วมชมการประชันขันแข่งในครั้งนี้สวีหวงโฮ่วเบนสายตากลับไปมองยังคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ก็พบว่าเด็กสาวผู้นั้นกำลังจ้องมองไปยังอู