เข้าสู่ระบบเพราะเซียงหรงมัวใช้เวลาไปกับการคิดใคร่ครวญปัญหาหนักอก เวลาจึงล่วงเลยไปมากแล้ว ยามนี้การคัดเลือกในรอบแรกได้เริ่มขึ้นแล้ว ซ้ำยังมีผู้ตอบคำถามถูกไปแล้วหลายราย ธูปบอกเวลาก้านใหญ่ถูกตัดและจุดใหม่นับครั้งไม่ถ้วน จนยามนี้เหลือส่วนที่เป็นเนื้อธูปสั้นกุดจนแทบจะมองไม่เห็น
เซียงหรงกวาดสายตาไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไร้เงาพี่หญิงใหญ่และพี่หญิงรอง ก็เดาได้ว่าพวกนางล้วนตอบคำถามได้ถูกต้อง ผ่านเข้ารอบกันไปแล้วทั้งคู่
ในรอบแรกนี้ เซียงหรงถูกจัดให้นั่งอยู่ที่มุมท้ายสุดของลานแข่งขัน เรือนร่างโปร่งบางในอาภรณ์ผ้าแพรบางสีฟ้าอ่อนขับเน้นความอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาและทำให้ผู้สวมใส่งดงามราวหยาดน้ำค้างพิสุทธิ์กระจ่างใส พู่กันในมือนางยังไม่จรดลงกระดาษ แต่หูของนางกลับได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากรอบทิศ
“เห็นโฉมงามปานนั้นจึงเผลอคาดหวัง ที่ไหนได้กลับสติปัญญาไม่สู้ดี”
ใครอีกคนสำทับ “ จิ๊! นับว่างามเสียเปล่าโดยแท้…”
ในสายตาผู้คน กิริยาของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เฉินเซียงหรง ในยามนี้ ดูราวกับผู้อับจนหนทางมองหาความช่วยเหลือไม่มีผิด ชั่วอึดใจจึงเกิดมีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยติฉินนินทาดังขึ้นจากฝูงชน
ท่ามกลางกระแสเสียงติฉินนินทา เยาะเย้ย ถากถาง ไม่นานนัก ใครอีกคนก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“นั่นไม่ใช่บุตรีเฉินกั๋วกงซึ่งเกิดจากภรรยาเอกผู้ได้ชื่อว่าเป็นโฉมงามยอดเมธีที่ยากจะหาใครเทียมในเมื่อราวยี่สิบปีก่อนท่านนั้นหรือ!”
บุรุษที่นั่งอยู่ไม่ไกลนึกขึ้นได้จึงร้องรับทันที “จริงสิ! ชื่อว่าอะไรนะ? เซียง...เซียงเหลียน? ถูกแล้ว นามของโฉมงามยอดเมธีผู้นั้นก็คือหลี่เซียงเหลียน เซียงเหลียนจวิ้นจู! จวิ้นจูท่านนั้นเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับจวิ้นหวังเถี่ยเม่าจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจินเราผู้นั้นอย่างไรเล่า ทั้งสองคนเป็นคู่พี่น้องหงส์มังกร[1]ที่ทั้งเก่งกาจปราดเปรื่องและรูปโฉมงดงามจำเริญตากันทั้งคู่!”
ชายคนก่อนหน้าพยักหน้า กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ เสียงดังกว่าเก่า
“ถูกแล้ว ถูกแล้ว! ข้ายังจำได้ดี ครั้งนั้นท่านหญิงเซียงเหลียน แฝดผู้น้องที่เป็นสตรี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เลื่อนชั้นขึ้นเป็นจวิ้นจูก็เพราะยามนั้นบ้านเมืองถึงคราวเคราะห์ ต้าเว่ยกุมชัยชนะเหนือกองทัพเทียนจิน ได้แผ่นดินชายแดนไปครอง พวกต้าเว่ยในยามนั้นย่ามใจถึงขั้นกระทำการหยามหมิ่นพวกเราชาวเทียนจิน กล่าวว่ายินดีสงบศึก หากเทียนจินเรายอมมอบองค์หญิงหมิงจูและองค์หญิงจินจูให้แต่งให้รัชทายาทของพวกมันเป็นชายาฝ่ายซ้ายและขวา และมอบเมืองกุ้ย เมืองเหลียง ที่อยู่ถัดจากเมืองที่พวกมันเหล่าต้าเว่ยยึดครองเอาไว้ให้พวกมันเพิ่มอีกสองเมือง ครั้งนั้น ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด จวิ้นจูที่หลบหนีออกจากตำหนักสกุลหลี่เพื่อไปช่วยเหลือดูแลพี่ชายทนฟังไม่ไหว จึงได้ก้าวขาออกไปแสดงตัวว่าเป็นหญิง ออกปากท้ารัชทายาทต้าเว่ยพนัน จากนั้นก็แสดงฝีไม้ลายมือ เล่นหมากกระดานกุมชัยชนะเหนือรัชทายาทจอมโอหังผู้นั้นถึงสามกระดานรวด ครั้งนั้นจวิ้นจูไม่เพียงช่วยปกป้องเมืองเหลียง เมืองกุ้ย องค์หญิงหมิงจู และองค์หญิงจินจู ยังสามารถโน้มน้าวรัชทายาทต้าเว่ยที่โกรธจนขาดสติให้เอาเมืองที่ยึดครองไว้มาเดิมพัน สุดท้ายก็สามารถช่วงชิงเอาแผ่นดินชายแดนเทียนจินเรากลับคืนมาจากฝั่งต้าเว่ย!”
“โอ้ยหยา! นึกไม่ถึงว่าบุตรสาวของจวิ้นจูผู้งดงามปราดเปรื่องกลับเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีที่หาประโยชน์อันใดมิได้...” ใครสักคนทอดถอนใจ ก่อนสบถบ่น “มารดามันเถอะ! ข้าอุตส่าห์ร่วมลงขันกับเหล่าสหาย วางเดิมพันข้างบุตรสาวของจวนเฉินกั๋วกงที่เกิดจากภรรยาเอกเช่นนาง...นับว่าลงทุนเสียเปล่าโดยแท้!”
“ถูกต้อง” ใครอีกคนกล่าวอย่างเดือดดาล “หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่สู้วางเดิมพันข้างคุณหนูใหญ่ของจวนที่เก่งกาจปราดเปรื่องเลื่องชื่อยังดีกว่า! เกิดจากอนุภรรยาแล้วอย่างไร ต่อให้เกิดจากสาวใช้ห้องข้าง หากงดงามรอบรู้ถึงเพียงนั้น เทียบกับนางแล้ว บุตรสาวภรรยาเอกที่หาดีไม่ได้สักอย่างยังจะนับเป็นตัวอะไรได้!”
ใครอีกคนเย้ยหยัน “มีหลานสาวเช่นนี้ จวิ้นหวังเถี่ยเม่าจื่อจะไม่ขายหน้าแย่หรือ?”
[1] คู่พี่น้องฝาแฝดที่คลอดออกมาเป็นชายและหญิง
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







