LOGINสำหรับนางแล้วไม่ว่าจะสามารถเข้าถึงการแข่งขันในรอบสุดท้ายได้หรือไม่ ล้วนไม่สำคัญ ขอเพียงบุตรสาวจวนกั๋วกงอย่างนางไม่ทำให้ท่านพ่อของตนและจวนเฉินกั๋วกงต้องขายหน้า เท่านี้นางก็พอใจแล้ว
แม้นางจะไม่อยากแสดงความสามารถให้สะดุดตาผู้คนจนไปต้องตาผู้หลักผู้ใหญ่หรือคุณชายจากตระกูลใด ให้มีอันต้องถูกทาบทามสู่ขอจากตระกูลสักตระกูล หรืออาจจะหลายตระกูล ทว่าที่อนุหานกล่าวมาก็มีเหตุผล ตัวนางเองก็ไม่อาจแกล้งทำตัวโง่เขลาไร้ความสามารถ ทำลายเกียรติภูมิของจวนเฉินกั๋วกง ทำให้บิดาของตนต้องอับอายขายหน้าผู้คนได้เช่นกัน
จะทำอย่างไรดีนะ...
เซียงหรงคิดแล้วก็หนักใจเป็นอย่างยิ่ง
นางไม่น่าถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมประชันขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีเช่นนี้เลย...
ไม่ถูก ต่อให้มีใบเรียกตัวนางเข้าประชันขันแข็ง นางก็สมควรแกล้งป่วย สมควรยืนกรานคัดค้านพี่ชายใหญ่และน้องเล็กของตน ไม่ยอมตามใจพวกเขา ชักนำตนเองเข้าสู่การแข่งขันท่ามกลางความไม่พอใจของอนุหาน อนุจาง และพี่หญิงทั้งสองของตนเช่นนี้
นี่กระมัง สิ่งที่ท่านอาจารย์ของนางเคยย้ำเตือนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...
“เกิดเป็นมนุษย์ต้องรู้จักหลบเลี่ยง...เรื่องใดที่ไม่อาจแน่ใจว่าจะส่งผลดีมากกว่าเสีย ย่อมไม่พึงกระทำ” ...เพราะเรื่องบางเรื่อง หากกระทำการอย่างไม่รอบคอบ ผลที่ตามมาอาจยากจะแก้ไข ไม่สู้ไม่กระทำตั้งแต่แรกยังดีกว่า ด้วยหากได้กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งนั้นลงไปแล้ว แม้จะสำนึกได้ในภายหลัง แม้จะรู้ตัวแล้วว่าเดินหมากพลาดไป ต่อให้เสียใจและเสียดายเพียงใด ก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งใดทั้งนั้น เรื่องทุกอย่างล้วนนับว่าสายไปเสียแล้ว...
ที่ผ่านมา ยามอยู่ในจวนนางเชื่อฟังอาจารย์หญิงจึงหลบเลี่ยงเรื่องราวยุ่งเหยิงวุ่นวายทั้งหมด เก็บตัวเงียบเชียบ ใช้ชีวิตเรียบง่าย วางตัวเป็นมิตร ไม่ขัดแย้งกับผู้ใด เรื่องใดประนีประนอมได้ก็ประนีประนอม ไม่สร้างความขุ่นข้องหมองใจให้ใครทั้งนั้น ทว่า...ดูเหมือนว่าครั้งนี้ นางจะตัดสินใจพลาดไปเสียแล้ว
ขณะเซียงหรงกำลังชั่งน้ำหนักเรื่องการแข่งขันตรงหน้าในใจ จู่ๆ ตาหงส์คู่งามก็สะดุดเข้ากับผู้เข้าชมการประชันขันแข่งคนหนึ่งที่เพิ่งจะมาถึง คนผู้นั้นแม้จะแต่งกายด้วยผ้าเนื้อดี แลดูภูมิฐาน งามสง่า ทว่าผมที่เกล้าอย่างไม่ค่อยจะดีนัก พอจะบอกได้ว่าคนผู้นี้รีบร้อนออกจากเรือนเพียงใด
คนผู้นั้นก็คือบิดานาง เฉินกั๋วกง!
“เหตุใดท่านพ่อ...”
แม้จะไม่ต้องการแสดงความสามารถให้พลาดพลั้งไปต้องตาตระกูลใด ด้วยนอกจากจะหวาดกลัวการแต่งงานคลอดบุตรจนฝังใจ อีกทั้งลึกๆ แล้วยังเบื่อหน่ายกับการต้องคอยรักษาความสงบในจวนด้วยการเพียรรักษาสมดุลย์อำนาจในเรือนหลังให้อนุภรรยาทั้งสามของบิดา รวมถึงต้องคอยรับมือพี่หญิงน้องหญิงของตนด้วยวิธีการประนีประนอมนุ่มนวล...นางยังคิดตกนานแล้ว ว่าสำหรับนาง การอยู่เป็นสาวเทื้อไม่แต่งงานออกเรือน น่าจะสุขกายสบายใจกว่ามาก ด้วยอยู่ในจวนเฉินกั๋วกง แม้ท่านพ่อไม่เคยชายตาแล ทว่าท่านพ่อของนางกลับคล้ายจะตามใจให้อภิสิทธิ์บุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกอย่างนางทุกอย่าง ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องการย่างเท้าออกจากจวน กล่าวได้ว่ายามนี้นางมีท่านพ่อที่แม้ภายนอกดูเฉยชาไม่แยแสทว่ากลับไม่ได้ทอดทิ้งนางเสียทีเดียวคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ห่างๆ ในภายภาคหน้าเกิดประเหมาะเคราะห์ไม่ดี สิ้นท่านพ่อ อีกหน่อยพี่ชายใหญ่รับสืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างจากท่านพ่อ อาจได้เป็นถึงกั๋วกง พี่ชายใหญ่ที่ดีต่อนางมาเสมอเองก็ย่อมไม่ทอดทิ้งนาง ดีต่อนาง นางคิดเอาไว้แล้วว่าจะปักหลักใช้ชีวิตอยู่ในจวนตระกูลเฉินไปจนแก่เฒ่า ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระจากตระกูลสามี ในแต่ละวันล้วนเป็นสุข สะดวกกาย สบายใจ แม้ต่อไปอาจเหงาใจอยากเลี้ยงดูบุตรหลาน ผู้เป็นพี่สาวน้องสาวร่วมบิดามารดาเดียวกันกับพี่ชายใหญ่และน้องเล็กอย่างนางที่ไหนจะต้องคลอดเด็กออกมาเอง นางสามารถช่วยพี่ชายใหญ่และน้องเล็กเลี้ยงดูบุตรหลานของพวกเขา มีสิบคนก็เลี้ยงสิบคน มีร้อยคนก็เลี้ยงร้อยคน หากนางดีต่อพวกเขา เลี้ยงพวกเขาให้ดี อบรมสั่งสอนพวกเขาให้ดี นางไม่เชื่อว่าเด็กๆ จะกล้าไม่กตัญญูต่อท่านน้าที่แสนดีอย่างนาง...
ทว่า...หากทำให้บิดาที่ครั้งนี้ถึงกับออกนอกจวนทั้งๆ ที่ไม่มีกิจธุระเพื่อมาดูนางและพี่หญิงน้องหญิงแข่งขันชิงชัยต้องขายหน้าและเห็นว่านางเป็นบุตรสาวที่ไม่ได้ความ...ท่านพ่อของนางคงไม่วายยิ่งโกรธเกลียดชิงชังนางยิ่งขึ้นแล้ว...
เห็นผู้เป็นบิดามองมาที่ตนด้วยสายตาคล้ายคาดหวัง รอคอย จากที่เคยคิดว่าจะเก็บงำความสามารถ วางตัวกลางๆ ไม่กระทำตนให้โดดเด่นจนเกินไป เฉินเซียงหรงก็เกิดหักใจกระทำไม่ลงขึ้นมา
นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ท่านพ่อมองนางด้วยสายตาเช่นนี้
ไม่ถูก...นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ท่านพ่อทอดสายตามองตรงมาที่บุตรสาวอย่างนาง...
จะทำอย่างไรดีนะ...
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







