เช้าวันถัดมา...เฉินเซียงหรงรีบตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ในใจคิดแต่จะรีบไปหาท่านแม่กับน้องชายตัวน้อย ทว่าหลังแต่งชุดขาวแปลกตาให้นาง แม่นมหลินกลับรั้งนางไว้ กล่าวว่า “คุณหนูสาม...สตรีคลอดบุตรนั้นเหน็ดเหนื่อยยิ่ง เมื่อคืนฟูเหรินคลอดบุตร เหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย จึงอยากนอนพักอย่างสงบเจ้าค่ะ...ต่อไป...ต่อไปนี้ฟูเหรินจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินเซียงหรงแม้ยังเด็กอยู่มาก แต่ไม่ใช่คนเขลา นางเข้าใจดีว่าคนหลับไม่ตื่นหมายถึงอะไร นางรู้ก็เพราะอนุหานเคยบอกนางไว้!
“ท่านแม่...ท่านแม่จะไม่กอดข้า จะไม่เล่นกับข้าอีกแล้วใช่หรือไม่...”
เสี่ยวเซียงหรงร้องไห้จนตัวโยน
ที่แท้...ที่แท้แม้นางจะรีบตื่นนอนรีบแต่งเนื้อแต่งตัวไปพบท่านแม่อย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ท่านแม่...ท่านแม่ไม่อาจลุกขึ้นมากอดนาง ลูบศีรษะปลอบโยนนางได้อีกแล้ว!
วันเดียวกันนั้น ขณะแม่นมหลินพานางไปพบท่านแม่ที่กำลัง ‘นอนหลับอย่างสงบ’ อนุหานที่มักใส่ใจนางกว่าใครก็ยังเข้ามากล่าวปลอบโยนนางอีกว่า...
“หรงเอ๋อร์...เจ้าก็อย่าได้เศร้าเสียใจจนเกินไปนัก สตรีที่ไหนๆ ยามตั้งครรภ์คลอดบุตรก็ล้วนเจ็บปวดทรมานเยี่ยงนี้ ยังไม่นับอีกว่าแต่ละครั้งที่คลอดบุตรธิดาก็ไม่ต่างอะไรไปจากการย่างเท้าข้างหนึ่งเข้าปากทางไปยมโลก...พี่หญิงใหญ่มารดาของหรงเอ๋อร์คนดีต้องเผชิญความทุกข์ทรมานจากการคลอดบุตร เลือดไหลไม่หยุดจนต้องมาเสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์เช่นนี้...แม้จะน่าสะท้อนสะเทือนใจยิ่งนัก ทว่าเรื่องเหล่านี้ก็ล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมดา หรงเอ๋อร์ของพวกเราเป็นเด็กดีที่รู้ความมาเสมอ เจ้าก็เชื่อแม่รองสักครั้ง อย่าได้โศกเศร้าแสดงความเสียใจออกมามากมายนัก มิฉะนั้นท่านกั๋วกงและท่านย่าของเจ้าคงยิ่งปวดใจยิ่งขึ้น ทั้งยังต้องเป็นห่วงพะวงสุขภาพและความรู้สึกของหรงเอ๋อร์คนดีเพิ่มอีกข้อ...”
อนุหานยังแย้มรอยยิ้มงดงามราวบุปผา ก่อนกล่าวกับนางด้วยสีหน้าเครียดขึง จริงจัง
“เฮ้อ...แม่รองอย่างข้าก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่ง เมื่อคุณหนูสามของตระกูลเราอย่างเจ้าแต่งงานออกเรือน จะไม่เป็นดังเช่นมารดา...คลอดลูกแต่ละครั้งล้วนยากลำบาก จนสุดท้าย...” นางเลือกละเอาไว้ ไม่พูดประโยคที่ไม่สมควรพูดออกมา
แม้อีกฝ่ายจะไม่พูดออกมา แต่เฉินเซียงหรงเป็นเด็กหัวไว เหตุใดนางจะไม่เข้าใจ
นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว นางก็ถึงกับตัวสั่น ทั้งหวาดกลัวทั้งเสียใจจนกลั้นน้ำตาที่เพิ่งจะหยุดไหลเอาไว้ไม่อยู่
ไม่ดี...ไม่ดีแล้ว! เป็นสตรีที่จริงแล้วไม่ดีเลยสักนิด! เข้าห้องที่ใช้ทำคลอดได้ต่างจากบุรุษแล้วอย่างไร? หากผู้ที่ต้องคลอดบุตรเป็นนาง แล้วต้องเจ็บปวดทรมานเสียเลือดจนตายเช่นมารดา นาง...นางไม่เอา!
เสี่ยวเซียงหรงกอดซบบ่าแม่นมหลินที่ย่อตัวลงปลอบโยนตนเอง บอกเสียงสั่น
“แม่นมหลิน ข้า...ข้าไม่เอา...ข้าไม่อยากเป็นเช่นท่านแม่ ข้า…ข้าจะไม่ได้เจอท่านแม่อีกแล้ว!” เฉินเซียงหรงร้องไห้โฮ เสียงร้องของนางดังก้องไปทั้งเรือนอันเงียบเชียบวังเวง
แม้เด็กน้อยอย่างนางจะพยายามกลั้นสะอื้น เสียงสะอึกสะอื้นของนางก็ยังดังไม่หยุดจนผู้เป็นแม่นมหวั่นใจ
แม่นมหลินได้แต่พยายามปลอบโยนคุณหนูสามของตน ทั้งสงสาร ทั้งสะเทือนใจ
นอกจากสงสารและสะเทือนใจแล้ว ยิ่งเห็นคุณหนูของตนปลดปล่อยความเศร้าเสียใจร้องห่มร้องไห้เนิ่นนานเข้า แม่นมหลินก็ยิ่งกรุ่นโกรธ ที่แม่นม อย่างนางโกรธที่สุดคือเรื่องที่แม้แม่นมอย่างนางจะขุ่นเคืองอนุหานที่ชอบพูดจาไม่รู้จักคิด นางที่เป็นแม่นมของคุณหนูสามกลับไม่กล้าต่อว่า เหน็บแนม หรือขัดขวางสตรีปากหวานปานน้ำผึ้งผสมยาพิษจากสกุลหานท่านนี้สักนิด
อนุหาน หานชิงเยว่ ผู้นี้ แม้ยามนี้อยู่ในจวนจะไม่ได้รับความสำคัญสักเท่าใด ทว่าตระกูลที่อยู่เบื้องหลังอย่างสกุลหานก็นับว่าเป็นตระกูลบัณฑิตที่ยิ่งใหญ่ ซ้ำยังนับได้ว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ของแผ่นดินเทียนจินตระกูลหนึ่ง หากทำให้สตรีเช่นนี้โกรธ กลัวแต่ว่าบ่าวคนหนึ่งของจวนอย่างนางจะรองรับโทสะของอนุหานท่านนี้ไม่ไหว จะอย่างไรแม่นมอย่างนางก็ยังมีพ่อแม่สามีที่แก่ชราและบุตรสาวบุตรชายที่ยังเล็กให้ต้องเลี้ยงดู!
แม่นมหลินมีความคิดของนาง เซียงหรงเองก็มีความคิดของนาง
เสี่ยวเซียงหรงจ้องมองท้องฟ้า กล่าวคำสัตย์สาบานในใจ น้ำตาสีใสกลบนัยน์ตาจนมองไม่เห็นอะไรแล้วสักนิด
“ข้า เฉินเซียงหรง ขอสาบาน! ชาตินี้ทั้งชาติไม่ขอยอมแต่งงานคลอดบุตร! แลกกับเรื่องนี้ ข้ายินดีกระทำตนเป็นเด็กดีทั้งชีวิต แม้ผู้อื่นตีข้า ข้า...ข้าก็จะปล่อยให้พวกเขาตี! จะไม่ตีพวกเขากลับสักนิด! เห็นแก่ที่ข้ากระทำตนเป็นเด็กดี ขอบรรพชนและสวรรค์โปรดเห็นใจ ช่วยปกป้องคุ้มครองข้า ชั่วชีวิตนี้...ชั่วชีวิตนี้ขออย่าให้ข้าต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับท่านแม่ที่น่าสงสารของข้าเลย!”
จู่ๆ ก็เกิดมีเสียงฟ้าร้องครืนครางดังออกมาจากกลุ่มเมฆหม่นครึ้มเหนือจวนเฉินกั๋วกงอย่างถูกจังหวะ เซียงหรงทึกทักเอาเองว่าสวรรค์เบื้องบนได้ตอบรับคำขอของนางแล้ว จึงกำมือน้อยๆ แน่น ตอกหมุดปักความตั้งใจอันแน่วแน่ตรึงไว้ในใจ
ถูกแล้ว ขอเพียงชาตินี้ทั้งชาติบุตรสาวกั๋วกงอย่างนางไม่ต้องแต่งงานคลอดบุตร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด นางก็ยอมทำทั้งนั้น!
เสี่ยวเซียงหรงพยายามกลั้นสะอื้น แต่ยิ่งพยายามหยุดตัวเอง นางกลับยิ่งร้องไห้หนัก ยิ่งนึกถึงคำพูดอนุหาน นางก็ยิ่งหวาดกลัวสุดหัวใจ
ระ ร้องไห้แบบนี้...การร้องไห้เสียงดังแบบนี้ นับว่าทำให้ท่านพ่อและท่านย่าต้องทุกข์ใจใช่หรือไม่? เช่นนี้...เช่นนี้แล้วนางก็จะไม่ใช่เด็กดี หากนางไม่กระทำตนเป็นเด็กดี บรรพชนและสวรรค์ที่ไหนจะยอมรับฟังคำขอร้องอ้อนวอนของนาง!
นึกถึงตรงนี้ เสี่ยวเซียงหรงก็หวาดกลัวยิ่งนัก นางพยายามกัดริมฝีปากอันบอบบาง ข่มความรู้สึก ทว่ากลับหยุดน้ำตาที่ท่วมทะลักออกมาเป็นสายไม่ได้อย่างใจนึก
ต่อไป...ต่อไปนี้นางจะต้องเรียนรู้วิธีที่จะหยุดน้ำตาพวกนี้ นางจะไม่ร้องไห้เช่นนี้อีก นาง...นางจะต้องเป็นเด็กดี เด็กดีจะไม่กระทำสิ่งใดให้ผู้อื่นต้องรู้สึกไม่สบายใจทั้งนั้น เพราะเหตุนี้...เพราะเหตุนี้นางจึงไม่อาจร้องไห้โยเยเป็นเด็กไม่รู้ความเช่นนี้อีก!
เฉินเซียงหรงเม้มริมฝีปากแน่นสนิท ซบหน้ากอดแม่นมหลิน
แม้จะไม่รู้ความคิดของเด็กน้อยที่ตนเลี้ยงดูมา ท่าทีคุณหนูสามของตนก็พาให้แม่นมหลินสะเทือนใจยิ่งนัก
แม่นมหลินกอดร่างน้อยๆ ของคุณหนูสามไว้แน่น แค้นใจนักที่ไม่กล้าพอจะพูดจาตอบโต้อนุหานปกป้องคุณหนูสามที่น่าสงสารของตนแม้เพียงครึ่งคำ
หากก่อนหน้านี้รู้ความคิดของคุณหนูตัวน้อยในอ้อมอก แม่นมอย่างนางก็คงจะได้รีบแก้ไขความคิดบิดๆ เบี้ยวๆ ที่อนุหานนำมาพูดกรอกหูเด็กน้อยที่เพิ่งจะขาดมารดา…
น่าเสียดายที่แม่นมหลินไม่รู้ถึงความคิดนั้น
กว่าแม่นมอย่างนางจะจับสังเกตได้ว่าคุณหนูสามมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการแต่งงานออกเรือน ทั้งยังตั้งใจแน่วแน่ถึงขั้นสาบานว่า “จะขอกระทำตัวเป็นเด็กดี ที่แม้ถูกผู้อื่นตี ก็จะไม่ขอตีตอบชั่วชีวิต แต่ไม่ขอยอมแต่งงานคลอดบุตร” ก็ถึงวันที่อนุหานอสรพิษขับไล่แม่นมอย่างนางออกจากจวนอย่างไม่ไว้หน้า ไร้ไมตรี กระทั่งเสี่ยวซีบุตรสาวของนางที่แต่เดิมท่านกั๋วกงหมายใจจะให้เป็นเพื่อนร่วมเล่นร่วมเรียนกับคุณหนูสาม ก็ยังถูกขับไล่ออกมาจากจวนพร้อมๆ กันกับนางด้วย
ฟูเหรินจากไปได้เพียงสองปี อนุหานหานชิงเยว่ก็กำจัดผู้ภักดีรอบๆ ตัวคุณหนูสามไปจนหมด แม่นมอย่างนางหวาดกลัวยิ่งนัก ว่าอนาคตของคุณหนูสามที่อยู่ในเงื้อมมืออนุหาน จะไม่งดงามดังภาพฝันที่ตนเคยคาดเดาไว้
ไม่ถูก...อย่าว่าแต่อนาคตที่ดีเลย เอาแค่ว่าจะสามารถรอดชีวิตไปจนเติบใหญ่ได้หรือไม่ นั่นต่างหากที่น่าเป็นห่วงกังวลเสียยิ่งกว่า!
“ของเหล่านั้นก็เพียงของนอกกาย ท่านเก็บไว้เถอะ!”“หรงเอ๋อร์...” หลี่จือหลินขยับมือที่กุมมือน้อยไว้ ยกมือของเซียงหรงข้างที่ถือถังหูลู่ขึ้นจรดริมฝีปากเล็กๆ ดูจิ้มลิ้ม “กัดสักคำสิ”เสี่ยวเซียงหรงตื่นตระหนก รีบส่ายหน้ายิกเห็นนางใกล้จะหลั่งน้ำตาเต็มทีแล้ว หลี่จือหลินยิ้มน้อยๆ ก่อนย่อตัวลงนั่งชันเข่า ปาดน้ำตาที่ใกล้จะร่วงหล่นให้นาง จุมพิตแก้มนุ่มละมุนที่เริ่มจะโดนความเย็นกัดจนขึ้นสีแดงระเรื่อเหมือนถังหูลู่ที่ถูกตนบังคับจับมือให้ถือเอาไว้เบาๆเซียงหรงพลันตกใจจนลืมร้องไห้อา...บอกนางเรื่องกำไลหยกที่ห้อยคอนางอยู่ดีไหมนะ? หลี่จือหลินไล้ปลายนิ้วเรียวงามไปตามกรอบหน้าเล็กๆ ที่ผิวพรรณขาวนวลผ่องใสราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้หลังชั่งใจอยู่ชั่วครู่ จวิ้นหวังจ๋างจื่อก็เลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะน้อยๆ ของนางอย่างถนอมยังก่อนถูกแล้ว...เขายังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนบอกนางในยามนี้ รอนางโตกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน...ทว่าเรื่องที่สมควรพูดก็ยังต้องพูด หว่านเมล็ดไปแล้วที่ไหนเลยคนชนชั้นตระหนี่ถี่เหนียวเช่นเขาจะปล่อยให้เสียเปล่า ไม่คิดเก็บเกี่ยวสักนิด ยามนี้เกาทัณฑ์ของเขาง้างสายเอาไว้แล้ว ลูกศรหรือก็ชี้ไปที่เป้า จะไม่ใ
“ข้าไม่แต่งให้ท่านนะ!!!” เสียงอันดังของเซียงหรง กับประโยคน่าตกใจ ทำเอาคนรอบข้างหันมามองพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อกับนางเป็นตาเดียวกันสายตาของคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนด้านหน้า ทำเอาเสี่ยวเซียงหรงต้องกัดริมฝีปากแน่น ในใจได้แต่คิดว่า แย่แล้ว!นาง...เหตุใดนางกระทำการไม่ยั้งคิด โพล่งประโยคไร้มารยาทพรรค์นั้นออกมาต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้! ทำเช่นนี้...ทำเช่นนี้จวิ้นหวังจ๋างจื่ออย่างเขาคงเสียหน้ามากกระมัง?“เอ่อ...คือ...คือว่าข้า...” เซียงหรงอยากจะแก้ไขสถานการณ์ แต่ไม่รู้ว่าสมควรแก้ไขอย่างไรดีแล้วก็...ก็นางไม่อยากแต่งให้คนผู้นี้จริงๆ นี่นา!ไม่ใช่แค่กับคนผู้นี้ กับผู้ใดนางก็ไม่แต่งทั้งนั้น!หลี่จือหลินเห็นท่าทางของนางและสายตาคนรอบข้างแล้ว ก็แย้มรอยยิ้มที่ไม่พาดผ่านไปถึงดวงตา กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ“ของหมั้นก็รับไปแล้ว จะไม่แต่งให้ข้าได้อย่างไร”เอ๋!!! ของหมั้น? นางไปรับของพรรค์นั้นมาตั้งแต่เมื่อใด???หลี่จือหลินลดสายตาลงมองถังหูลู่ในมือนางเสี่ยวเซียงหรงเห็นสายตาเขาแล้วก็มองตามนะ นี่มัน หรือ...หรือว่า...“ต่อให้เจ้าโยนทิ้งลงพื้น ก็ถือว่าเจ้ารับของจากข้าไปแล้ว” หลี่จือหลิน ชิงดักคอ“ข้าจะคืน
เซียงหรงพยายามกวาดตามองหาพี่หญิงรอง น้องสี่ ท่านพ่อ และพี่ชายใหญ่ ทว่ากลับมองไม่เห็นใครสักคนแม้เงา“เป็นอะไรไป” เจ้าของร้านพลันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องหรือเด็กสาวคนนี้จะพลัดหลงกับสาวใช้?ประเดี๋ยวนะ...เด็กสาวผู้นี้มีเงินติดตัวมาหรือไม่ ได้ยินมาว่าพวกคุณหนูตัวน้อยเช่นนี้มักไม่ค่อยพกถุงเงิน เป็นหญิงรับใช้ต่างหากที่คอยดูแลชำระค่าสินค้าต่างๆ ให้พวกนาง...หากนางพลัดหลงกับสาวใช้และครอบครัวจริง เช่นนั้นความหวังที่จะได้เงินห้าตำลึงของตนคงหมดลงแล้ว! ไม่ถูก อย่าว่าแต่ห้าตำลึงเลย กับแค่เงินห้าอีแปะนางจะมีจ่ายให้หรือไม่ก็ยังไม่รู้!เจ้าของร้านพลันหงุดหงิดขึ้นมา วันนี้ค้าขายไม่ดียังไม่พอ ยังถูกคุณหนูตัวน้อยไม่รู้ความจากเรือนใดก็ไม่รู้มาก่อกวนเช่นนี้อีก!เขารีบเอ่ยเสียงแข็ง “คุณหนู จะไม่เอาถังหูลู่ทั้งหมดนี้แล้วก็ไม่เป็นไร ทว่าถังหูลู่ที่ท่านทำตกพื้นไม้นั้นเป็นของซื้อของขาย ท่านจะเก็บขึ้นมากินหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ทว่าท่านสมควรจ่ายค่าถังหูลู่ไม้นั้นมา” เจ้าของร้านแบมือ กระดิกนิ้ว เอ่ยเสียงขรึม “ข้าคิดค่าเสียหายกับค่าเสียเวลารวมทั้งหมดห้าอีแปะก็แล้วกัน! กับแค่เงินห้าอีแปะ อย่าบอกเชียวนะว่าคุณห
เฉินเซียงหรงหันกลับไปมองทางพี่ใหญ่และท่านพ่อที่ยืนอยู่คนละฟากฝั่งเล็กน้อยเอาเถอะ...แยกจากไปซื้อถังหูลู่ครู่เดียว ทั้งยังมีสาวใช้ตามมาด้วยถึงสี่คน คงไม่เกิดเรื่องไม่ดีใดให้ทุกคนต้องเดือดร้อนวุ่นวายใจกระมัง?เสี่ยวเซียงหรงหันกลับไปยิ้มให้พี่หญิงรองและน้องสี่ แปลกใจเล็กน้อยที่วันนี้รอยยิ้มของพี่หญิงรองกับน้องสี่ดูแปลกนักล้วนคิดมากไป...ล้วนคิดมากเกินไปทั้งนั้น...เสี่ยวเซียงหรงสลัดความคิดในแง่ร้ายที่ก่อตัวขึ้นอย่างน่ารังเกียจทิ้งไป ก้าวขาเดินไปพร้อมๆ กับพี่หญิงน้องหญิงด้วยหัวใจที่เป็นสุขอา...ถังหูลู่...แค่นึกถึงรสหวานของน้ำตาลที่เคลือบอยู่บนผิงกั่ว[1] นางก็แทบอดใจรอลิ้มชิมรสชาติที่ไม่ได้สัมผัสมานานไม่ไหวในจวนของพวกนางไม่เคยทำขนมชนิดนี้เลยสักครั้ง ด้วยท่านพ่อและท่านย่าเกรงว่าจะทำให้ฟันของพวกนางไม่งาม ซ้ำยังปวดฟัน ยามออกมาข้างนอกเช่นนี้ ท่านพ่อก็ยังห้ามปรามไม่ให้นางแตะต้อง กล่าวว่านอกจากจะทำให้ฟันเสียได้แล้ว ยังไม่แน่ว่าจะสะอาด...กินถังหูลู่ไม้หนึ่งเพื่อให้พี่หญิงรองและน้องสี่สบายใจ คงไม่ถึงกับนับว่าเป็นเด็กไม่ดีกระมัง?อื้อ! ถูกแล้ว นางทำเพื่อให้พี่หญิงรองและน้องสี่สบายใจอย่างไรล่ะ!
เสี่ยวเซียงหรงเห็นพี่ชายใหญ่ดูฮึกเหิมจริงจังก็อดขำไม่ได้ดูเหมือนพี่ใหญ่ของนางจะถูกเกมทายปริศนาทำให้เพลิดเพลินจนไม่อาจถอนตัวโดยง่ายแล้วเมื่อเห็นว่ามีการท้าทายกันเกิดขึ้น คนทั้งหลายในบริเวณนั้นต่างก็พากันแห่เข้ามาร่วมฟังคำถามจากเถ้าแก่ และรอลุ้นว่าคุณชายที่ยังเยาว์ผู้นี้จะตอบคำถามไปได้สักกี่ข้อ ชั่วอึดใจเดียวหน้าร้านทายปริศนาก็มีผู้คนมามุงแน่นขนัดเซียงหรงเองก็เพลิดเพลินไปกับการละเล่นทายปริศนาครั้งนี้ นางยืนฟังคำถามอย่างสงบ ขณะฟังไปก็คิดตามไปด้วย เถ้าแก่ถามมาสองข้อ นางก็ตอบในใจถูกทั้งสองข้อ ขณะกำลังตั้งใจฟังคำถามข้อที่สาม คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีมือคู่หนึ่งมาปิดปาก พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพี่หญิงรอง เฉินเหม่ยลี่ และน้องสี่ เฉินเหม่ยเซียงกำลังจะเอ่ยทัก พี่หญิงรองกลับดึงนางออกไปจากกลุ่มคนทั้งอย่างนั้นเซียงหรงเห็นว่าพี่ใหญ่และน้องเล็ก รวมถึงบ่าวชายสาวใช้ที่ติดตามมาล้วนกำลังเพลิดเพลินกับการทายปริศนา ซ้ำพี่หญิงรองและน้องหญิงสี่ยังมีสาวใช้ตามมาด้วยคนละสองคน รวมเป็นสี่คน นางจึงไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่รบกวนความสนุกของผู้คน ยอมเดินตามพี่หญิงน้องหญิงของตนออกไปอย่างเงียบๆเดินห่างออกมามากห
เด็กสาวที่ไหนๆ ก็ชอบของน่ารักๆ เช่นนี้ทั้งนั้น เขามั่นใจว่าตนเองเดาไม่ผิดและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเสี่ยวเซียงหรงพยักหน้าเล็กๆ ดูจิ้มลิ้ม กล่าวเสียงหวาน สำเนียงติดจะอ้อน“พี่ใหญ่...โคมกระต่ายอันนั้นน่ารักมากจริงๆ”เห็นนัยน์ตาสุกสกาวของน้องสาวแล้ว เฉินจิ้งอี้ก็ยิ่งฮึกเหิมในที่สุดน้องสาวตัวน้อยของเขาก็เลิกเหม่อลอยแล้ว!“ดี! ในเมื่อเจ้าอยากได้ พี่ใหญ่ก็จะชิงโคมกระต่ายมาให้เจ้า!” เฉินจิ้งอี้จูงมือน้องชายน้องสาวแยกจากคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปทายปริศนาชิงโคมไฟทันทีหึ...คนอื่นๆ ก็ล้วนมีคนติดตามกันทั้งนั้น เหมือนๆ กับที่เขาและน้องชายน้องสาวมี เหตุใดเขาจะต้องใส่ใจคนเหล่านั้น?คนเหล่านั้นยามอยู่ในจวนล้วนเก่งกาจ หาเหตุมากลั่นแกล้งรังแกหรงเอ๋อร์ของเขาได้ทุกวัน ส่วนท่านพ่อแม้จะรักเอ็นดูเขาและน้องชายน้องสาวแล้วอย่างไร? วันทั้งวันท่านพ่อผู้นั้นก็เอาแต่ใส่ใจงานราชการ ไม่สนใจเรื่องในเรือนสักนิด เขาบอกกล่าวสิ่งใดกลับดุว่า กล่าวว่าบุรุษเช่นเขาสมควรใส่ใจศึกษาหาความรู้และความเจริญก้าวหน้า มิใช่คอยกล่าวหาคนในเรือนทั้งๆ ที่ไม่มีมูลเช่นนี้ ยามนี้ออกมานอกจวนก็เชิญเหล่าคนที่เก่งกาจทั้งหลายดูแลตนเองและกันและกันให้ดีก็