ซู่ซินหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยิน
"แต่คุณหนูเจ้าขา จวิ้นหวังจ๋างจื่อของพวกเรา...เอ้อ...ข้าหมายถึงของคุณหนูเจ้าค่ะ”
“พี่ซู่ซิน!”
ซู่ซินกระแอมไอ กลั้นยิ้ม
“คุณหนูเจ้าขา...จนป่านนี้แล้วท่านยังไม่รู้ใจจวิ้นหวังจ๋างจื่ออีกหรือเจ้าคะ นับตั้งแต่กลับเมืองหลวงมา จวิ้นหวังจ๋างจื่อก็สารพัดจะหาข้ออ้างแวะเวียนมาหาท่านไม่ได้หยุด หากท่านไม่ออกเรือน จวิ้นหวังจ๋างจื่อที่ไหนจะยอมรามือ เช่นนี้แล้วคุณหนูจะปล่อยให้จวิ้นหวังจ๋างจื่อคอยตามติดท่านไปอีกกี่ปี?"
เซียงหรงตอบอย่างจริงจัง “อืม...สักสี่สิบปีกระมัง”
ไม่แน่ว่าพอเข้าปีที่สาม จิตใจเขาอาจเปลี่ยนผัน หันไปชอบพอผู้อื่นแล้วก็เป็นได้!
“จวิ้นหวังจ๋างจื่อประกาศต่อหน้าไท่โฮ่ว หวงโฮ่ว และผู้คนมากมายชัดเจนถึงเพียงนั้น คงไม่ยอมรามือจากคุณหนู ซ้ำคงไม่ยอมรอนานถึงเพียงนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
เซียงหรงนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบเสียงเบา "ไม่รามือแล้วอย่างไร หากข้าหนีไปบวชชี ต่อให้เป็นจวิ้นหวังจ๋างจื่อก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วกระมัง..."
“ท่านว่าเขาจะปล่อยให้ท่านไปบวชชีได้ง่ายๆ หรือเจ้าคะ” ซู่ซินถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหว “พนันกันได้เลยว่าต่อให้คุณหนูของข้าปลงผมบวชชี จวิ้นหวังจ๋างจื่อก็ต้องหาทางสึกท่านออกมาแต่งให้เขาจนได้!”
“หากข้าปลงผมบวชชีจริง ถึงตอนนั้นจะยังมีความงามอันใดอีก”
“จวิ้นหวังจ๋างจื่ออาจไม่ได้ปักใจต่อท่านเพียงเพราะความงามอย่างเดียวน่ะสิเจ้าคะ” ซู่ซินแย้มยิ้มอ่อนหวาน ขณะเริ่มนวดแขนให้คุณหนูคนงามของตน “กระนั้นก็เถอะ ต่อให้ไม่มีผม คุณหนูของพวกเราที่ไหนจะงดงามน้อยลง”
เซียงหรงส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะถอนหายใจ นางอยากคัดค้าน อยากปฏิเสธสิ่งที่พี่ซู่ซินของนางพูด แต่เมื่อหวนคิดถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของหลี่จือหลินและพฤติกรรมทั้งหมดทั้งมวลของเขา นางก็อดคิดไม่ได้ว่าการหมั้นหมายครั้งนี้อาจเป็นกับดักที่ไม่มีวันหลุดพ้น
นี่ตกลงแล้วคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่นะ… ที่แน่ๆ ตอนนี้นางเริ่มจะรู้สึกว่าความสงบในชีวิตนางค่อยๆ ลดน้อยถอยลงทุกทีแล้ว
บรรยากาศยามสายในจวนเฉินกั๋วกงมีแสงแดดอบอุ่นลอดผ่านใบไม้ ส่องลงมาบนลานหินขัดที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างงดงาม เซียงหรงนั่งอยู่ที่ศาลาเล็กกลางสวน มือหนึ่งถือพู่กัน อีกมือวางอยู่บนโต๊ะ ซู่ซินยืนอยู่ด้านข้างกำลังฝนหมึกให้นางอย่างตั้งใจ
แต่ก่อนที่โฉมสคราญจะเขียนตัวอักษรลงไป เสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ฟังดูราวกับอารมณ์ดีเกินกว่าจะไว้ใจได้พลันดังขึ้นข้างหลัง
"น้องหญิงกำลังทำอะไรหรือ?"
เซียงหรงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบวางพู่กันและหันไปมอง ก็พบกับร่างสูงในชุดลำลองเรียบง่าย แต่ท่วงท่ากลับดูสง่างามของหลี่จือหลินที่ยืนพิงเสาอยู่ ใบหน้าประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันเป็นเอกลักษณ์
นางกลอกตา พยายามวางท่าเคร่งขรึม
"ท่านมาที่นี่อีกแล้วหรือ?" นางถามเสียงแข็ง พลางขยับตัวห่างออกไป
"อีกแล้วหรืออะไรกัน" สีหน้าแววตาเขาโศกสลดลงทันตา "หรงเอ๋อร์ นี่เจ้าไม่ยินดีที่เห็นพี่ชายเช่นนั้นหรือ..."
"แล้วผู้ใดพูดว่ายินดีตั้งแต่แรก” นางไม่หลงกลท่าทีเช่นนี้หรอก! “แล้วก็อย่ามาเรียกข้าว่าหรงเอ๋อร์ด้วย ข้าไม่เคยอนุญาตให้ท่านเรียก!"
หลี่จือหลินหัวเราะเบาๆ เขาหยิบกล่องของขวัญขนาดเล็กออกจากแขนเสื้อ ยื่นให้คนงาม "ของขวัญสำหรับคู่หมั้นของข้า"
เซียงหรงมองกล่องนั้นอย่างระแวง แต่ด้วยมารยาท นางก็ยื่นมือออกไปรับ นิ้วมือเรียวยาวของเขาแตะถูกหลังมือนางแผ่วเบา ทำให้เซียงหรงขนลุกซู่
“อ๊ะ!”
นางเกือบสะบัดกล่องนั้นลงด้วยความตกใจ ทว่าชายหนุ่มผู้นี้กลับรวดเร็วกว่านาง เขาคว้าทั้งกล่องเอาไว้ ทั้งยังกุมมือนางไว้แนบแน่น ทาบทับเหนือกล่องนั้น
“ระวังหน่อย...กล่องนี้บอบบาง แตกหักง่ายนัก”
เซียงหรงริมฝีปากสั่นระริก “ทะ...ท่านปล่อยมือข้าสิ!”
"อ้อ...จริงด้วย ข้าลืมไป…ขออภัย” หลี่จือหลินยิ้มกว้าง “กระนั้นก็เถอะ...มือของเจ้าช่างนุ่มนิ่มนวลเนียนดีจริงๆ" เขากล่าวพลางลูบหลังมือนางเบาๆ ราวกับต้องการจดจำว่าผิวเนื้อตรงนั้นนุ่มเนียนละเอียดวิเศษเลิศล้ำเพียงใด “อืม...ผิวสัมผัสช่างดีนัก”
"ปล่อย!" เซียงหรงสะบัดมือหนี หน้าแดงจัดด้วยความโกรธผสมอับอาย "ท่านนี่มัน...” นางพยายามเค้นสมองนึกคำตำหนิที่เจ็บแสบและตรงประเด็นที่สุด “ท่านช่าง...”
“ข้าช่าง?”
“ช่างไร้ยางอายจริงๆ!" นี่เป็นคำพูดที่ไร้มารยาทและรุนแรงที่สุดเท่าที่นางจะนึกได้แล้ว
"ข้าจะไร้ยางอายได้อย่างไร?" หลี่จือหลินทำหน้าซื่อตาใส "ข้าก็เพียงอยากยืนยันว่าเจ้าดูแลตัวเองดีหรือไม่เท่านั้น หากคู่หมั้นของข้ามือลอกเป็นขุย ผู้คนจะกล่าวกันอย่างไร? พวกเขาจะไม่ตำหนิว่าข้าดูแลเจ้าไม่ดีพอหรอกหรือ?”
เซียงหรงอยากจะด่าอีกสักคำ แต่กลับไม่รู้ว่าสมควรด่าอย่างไรแล้ว
"ท่าน...ไปให้พ้นเลย!" นางหยิบพู่กันขึ้นมาข่มขู่
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนแบบไหนกันแน่ เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความโกรธ “เจ้าจะพลีกายให้คนที่ไม่รู้จัก ไม่สนว่าจะเป็นใคร เพียงเพราะต้องการหนีการแต่งงานงั้นหรือ?!”เซียงหรงกัดริมฝีปาก นางหลบสายตาเขา รู้ดีว่าคำพูดของตนเองอาจจะดูไร้ยางอาย แต่ในสถานการณ์นี้ นางมองไม่เห็นทางเลือกอื่นใดอย่างน้อยคนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เดินทางร่วมกันมานานหลายวัน เขาไม่เคยฉวยโอกาส ไม่ใช้กำลังบังคับข่มเหง ย่อมจะต้องเป็นผู้มีคุณธรรมและมีเกียรติมีศักดิ์ศรีผู้หนึ่ง ซ้ำยังเป็นสหายกับผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือพี่ซู่ซิน ของนางเอาไว้ ในตอนที่นางจากไป นางย่อมสามารถฝากฝังพี่ซู่ซินของนางให้พวกเขาดูแล อีกทั้ง…“ชีวิตนี้ของข้าเป็นท่านช่วยไว้ถึงสองครั้ง” หากนับเรื่องที่เขายังเป็นคนช่วยพานางที่เหนื่อยจนหมดสติไปพักและรักษาให้ในกระท่อมร้าง ก็ไม่ใช่เพียงสองครั้ง แต่เป็นสาม...ตอนนั้น หากไม่ได้เขามาช่วยไว้ นางอาจกลายเป็นซากร่างเย็นชืดไร้ลมหายใจที่ฝูงสัตว์รุมกัดแทะไปนานแล้วก็เป็นได้ไม่แน่ว่ายามนี้อาจไม่เหลือแม้กระทั่งเศษกระดูกแล้วด้วยซ้ำ
ไม่ทันที่นางจะได้ขยับตัว ตงหยางที่รัดท่อนแขนตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ก้มลงดูดที่แผลของตนเอง ดูดแล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ดูด แล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ทำวนซ้ำอยู่อย่างนี้จนเลือดที่ดูดออกมาจากปากแผลเป็นสีแดงสด ถึงยอมหยุดมือเขาปล่อยให้สายรัดเอวที่รัดท่อนแขนอยู่ค่อยๆ คลายออกเอง กระถดเข้าไปนั่งชิดผนัง ก่อนถอนหายใจออกมาตงหยางเหลียวมองซากงูตัวนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดสายตามองเฉินเซียงหรง เอ่ยอย่างหัวเสีย“ดีเหลือเกิน ข้าบอกให้อยู่นิ่งๆ เจ้าก็รีบขยับตัวทันที!”“ก็ข้านึกว่า...” นางละอายเกินกว่าจะกล้าพูดต่อเขาช่วยชีวิตนาง...อีกเป็นครั้งที่สอง นางกลับคิดว่าเขาจะฉวยโอกาสใช้กำลังข่มเหงรังแก ทำเรื่องที่นาง...ไม่ยินยอม...“คุณหนูเฉิน ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบังคับข่มเหงสตรีที่ไม่เต็มใจ” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกล่าวต่อไป “ทว่าเป็นเช่นนี้จะดีหรือ หากร่วมทางกันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งข้าเกิดดื่มสุราเมามายจนขาดสติเล่า เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าจะยังกล้าติดตาม ‘รับใช้’ ข้าอีกหรือ ข้าว่าเจ้ายอมกลั
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเซียงหรงเองยังอดตกใจไม่ได้คืนหนึ่ง ขณะหลบฝนอยู่ในถ้ำเล็กๆ ตงหยางจุดไฟให้แสงสว่าง อากาศในถ้ำเย็นชื้น และเสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้นจนต้องพาดไว้ใกล้กองไฟ เซียงหรงนั่งกอดเข่าห่างออกไปเล็กน้อย ดวงตาของนางมองเปลวไฟนิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์กระทั่งตงหยางมองนางด้วยสายตาขบขัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่าแม้จะหนีการแต่งงาน แต่ในที่สุดเจ้าก็ต้องหาสามีอยู่ดี” เขาเอ่ยเสียงเบาเช่นเดิม “คุณหนูเฉิน เจ้ากล่าวว่าต้องการแน่ใจว่าจะสามารถส่งจดหมายถึงมือบิดาและพี่ชายที่อยู่ต่างเมือง จะทำเพียงส่งจดหมายบอกล่าวเล่าความ ไม่พบพวกเขา เจ้ามีพ่อและพี่ชายกลับคิดหนีหน้า เจ้าบอกว่ามีคู่หมั้น แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับคู่หมั้นผู้นั้น กลับมุ่งหมายออกบวชละกิเลสเสียมากกว่า ช่างไม่รู้เสียเลยว่าต่อให้เจ้าจะโกนผมโกนคิ้ว บุรุษที่ได้พบเห็นเจ้า พูดคุยกับเจ้า พวกเขาไหนเลยจะลืมเลือนเจ้าได้ลง เจ้าคิดว่าหากได้ออกบวช จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้จริงหรือ” เซียงหรงเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของนางเย็นชา “ก็ยังดีกว่ามีสามี&rdquo
ยามบ่ายคล้อย แดดร่ม ลมตก เป็นช่วงเวลาที่เซียงหรงรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่สุดในช่วงวัน พื้นอารมณ์จึงค่อนข้างดีทว่าอารมณ์ดีๆ ของนาง กลับถูกทำลายลงด้วยเสียงเฉยชาที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ“เป็นเช่นไรล่ะ คุณหนูเฉิน ใช้ชีวิตแบบนี้สนุกดีหรือไม่ ไม่ต้องมีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมีที่นอนอุ่นๆ ไม่ต้องกินอาหารดีๆ ใช้สองขาเดินทาง ร่อนเร่พเนจร ค่ำไหนนอนนั่น” นั่นประไร! นางรู้ว่าเขาคงอดทนไม่ว่านางได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหรอก ยิ่งในตอนที่นางกำลังมี ‘ช่วงเวลาดีๆ’ รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่!เดินทางร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ นางแทบจะนับเวลาที่เขาจะเอ่ยปากเหน็บแนมนางได้แม่นยำแล้ว!นางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาขุ่นมัว “ไม่เห็นจะลำบากอะไร” นางตอบเสียงเรียบพลางรวบชายเสื้อที่ปลิวเพราะลมเย็นตงหยางหันมามองนาง หัวคิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย “อ้อ เช่นนี้ไม่ลำบาก” เขาหัวเราะในลำคอ “เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่ดื้อดึงยิ่งนัก เจ้าอยากมีชีวิตแบบนี้ไปจนตายเช่นนั้นหรือ”นางหยุดเดิน หันไปสบตาเข
“ข้าขอร้อง...” เซียงหรงเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ “ข้าไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ ที่บ้านของข้าในยามนี้ไม่มีใครที่ข้าจะไว้ใจได้อีก อีกทั้ง... อีกทั้งในเมืองหลวงยังมีสิ่งที่น่ากลัวมากๆ รอข้าอยู่ที่นั่น...” นางพยายามยื่นข้อเสนอ “ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ขอเพียงท่านช่วยสะสางเรื่องที่ยังค้างคาใจและพาข้าหลบหนีจากฝันร้ายเหล่านั้น ข้ายินดีติดตามรับใช้ท่านในฐานะบ่าวคนหนึ่ง จะไม่สร้างความลำบากใดใดให้ท่านจอมยุทธสักนิด”“บ่าวคนหนึ่ง...” ชายสวมหน้ากากนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนถอนหายใจยาว “เอาเถิด หากเจ้าไม่สร้างปัญหาจริงดังปากว่า ข้าจะให้เจ้าเดินทางไปด้วย ระหว่างนั้นสบโอกาสค่อยหาทางส่งจดหมายไปถึงบิดาและพี่น้อง เรื่องคนของเจ้า สหายของข้าช่วยนางเอาไว้แล้ว”“จริงหรือ!”ได้ยินเช่นนี้ เซียงหรงโล่งใจเป็นอย่างยิ่งเขายังคงกล่าวต่อไป “ตงหลินผู้นี้เป็นสุภาพชน เชื่อถือได้ คนของเจ้าจะปลอดภัยอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่มีความคิดอยากกลับบ้านก็ไม่ควรติดต่อ ‘คนของเจ้า’ ผู้นั้นอีก”แม้แว