เข้าสู่ระบบประเดี๋ยวก่อน! เรื่องเรียนมาจากที่ใดนั้น เอาไว้ก่อนเถอะ บันไดที่นางวาดออกมานั่นมีเก้าขั้นใช่หรือไม่
นี่...
นี่หรือว่า...
เพียงนึกขึ้นได้ว่าสตรีชุดแดงที่เบื้องหลังมีดอกโบตั๋นงามสะพรั่งเป็นฉากหลังนั้นคือผู้ใด ผู้ที่พอคาดเดาได้แล้วว่าคุณหนูสามวาดภาพอะไรออกมาก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ผู้ที่หัวช้าสักหน่อย แม้ทีแรกยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อคิดใคร่ครวญให้ดีแล้ว ก็ตกใจจนถึงกับหัวสมองด้านชา ไม่รู้แล้วว่าสมควรเชื่อสายตากับสามัญสำนึกของตนดีหรือไม่
ไม่...
อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้...
ผู้คนทั้งหัวช้าทั้งหัวเร็วต่างถกเถียงกับตนเองในใจ
หลายปีมานี้ ไม่มีใครขวัญกล้า ไม่กลัวตาย ริอ่านวาดภาพเหล่าสมาชิกในราชวงศ์โดยไม่ได้รับอนุญาตเลยสักคน คุณหนูสามท่านนี้ต่อให้หลายปีมานี้จะถูกกักตัวไว้ในเรือนหลังก็คงไม่ถึงกับไม่รู้ความถึงเพียงนั้น วัดจากการที่นางสามารถตอบคำถามของเหล่าราชบัณฑิตในรอบแรก และวัดจากการที่นางสามารถประลองหมากกับคุณหนูสี่สกุลอู๋ได้อย่างสูสี ซ้ำยังสามารถใช้กลวิธีขั้นสูงวาดภาพที่ดูงดงามสมจริงเช่นนี้ออกมาได้ คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงที่ผู้คนมองข้ามเพียงเพราะเห็นว่านางไม่ได้เข้าศึกษาในสถาบันชื่อดังดีๆ ใดดังเช่นพี่หญิงน้องหญิงในจวนและเหล่าบุตรสาวผู้ดีมีตระกูลรายอื่นๆ ในเทียนจินเรา ที่ไหนเลยจะโง่เขลาเบาปัญญา ถึงกับวาดภาพที่ไม่สมควรจะวาดออกมาได้
แต่...แต่ต่อให้ไม่ใช่อย่างที่คิด การที่นางวาดภาพสาวงามนั่งอยู่เหนือบันไดเก้าขั้นออกมาเช่นนี้ ก็นับว่าหมิ่นพระเกียรติหวงโฮ่วยิ่งแล้ว แท่นประทับของหวงโฮ่วในยามนี้ ไม่ใช่ว่าตั้งอยู่เหนือบันไดเก้าขั้นหรืออย่างไร?
หืม? ประเดี๋ยวนะ...หรือว่า...หรือว่านางจะวาดภาพหวงโฮ่วจริงๆ!
หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องนับว่านางยิ่งกว่าเสียสติ...เสียสติไปแล้วชัดๆ!
หวงโฮ่วนับเป็นบุคคลชนชั้นใด? พระนางเป็นดั่งพระมารดาของแผ่นดิน เป็นผู้ที่ปุถุชนคนอย่างพวกเราเหล่าราษฎรไม่สมควรแตะต้อง แม้จะลอบมองพระพักตร์ของพระนางเพียงชั่วครู่ยังนับว่าไม่เหมาะสม คุณหนูสามผู้นี้แม้จะมีสายเลือดของราชวงศ์สกุลหลี่ ก็เป็นเพียงสายเลือดอันเจือจางจากข้างฝ่ายมารดา ตำแหน่งจวิ้นจูของมารดานางและตำแหน่งจวิ้นหวังเถี่ยเม่าจื่อของท่านลุงแท้ๆ ของนาง ก็หาได้ได้มาด้วยชาติกำเนิด แต่ได้มาด้วยคุณธรรมความสามารถ ทว่านางที่แทบไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนในราชวงศ์ กลับหาญกล้า ดึงเอาหวงโฮ่วผู้สูงส่งลงมาข้องเกี่ยวกับการประชันขันแข่ง ทั้งยังถึงกับวาดภาพของพระนางโดยมิได้รับพระราชทานพระราชานุญาต กระทั่งท่านหญิงเทียนจูที่ได้รับความโปรดปรานยังไม่ขวัญเทียมฟ้ากล้าวาดภาพเช่นนี้ออกมาเลยด้วยซ้ำ แล้วนางคิดว่าตนเองเป็นใคร? นี่...นี่นางยังเห็นว่าหัวน้อยๆ ของนางและผู้คนทั้งจวนเฉินกั๋วกงสำคัญอยู่หรือไม่? หรือคุณหนูสามผู้นี้ถูกกักขังไว้ในจวนเนิ่นนานเกินไป จึงกลายเป็นผู้วิกลจริตจิตวิปลาสสติสตังไม่สู้ดี ยามนี้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากหน่อยจึงเกิดลนลานหวาดกลัวเสียจนสติสัมปชัญญะและสามัญสำนึกที่มีพลันเลือนหาน แม้แต่หัวน้อยๆ ของตนและผู้คนทั้งจวนเฉินกั๋วกงก็ไม่ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว?
แม้การวาดภาพเชื้อพระวงศ์จะมิใช่เรื่องต้องห้ามที่ถูกตราเอาไว้เป็นกฎหมายหรือข้อบัญญัติใด แต่การวาดภาพเชื้อพระวงศ์โดยมิได้รับอนุญาตก็ช่าง...
ครั้งหนึ่งมีจิตรกรเอกของเมืองหลวงเกิดหลงใหลในพระสิริโฉมของหวงโฮ่วเมื่อครั้งยังเยาว์ จึงได้ลอบวาดภาพเหมือนของพระนางในยามนั้นขึ้นมาหลายภาพ ทำให้ถูกตัดหัวฐานหมิ่นพระเกียรติหวงโฮ่ว ต่อมาก็มีคุณชายตระกูลขุนนางใหญ่ที่หลงใหลการวาดภาพสาวงาม ลอบวาดภาพเหมือนขององค์หญิงที่เปรียบเสมือนไข่มุกและทองคำล้ำค่าบนฝ่าพระหัตถ์ของฝ่าบาทและหวงโฮ่วอย่างองค์หญิงหมิงจูและองค์หญิงจินจู แล้วติดประดับภาพองค์หญิงทั้งสองที่ล้วนเป็นผู้ลงมือวาดด้วยตนเองเอาไว้ในเรือนนอน ใจหมายเพียงอยากเก็บภาพหญิงงามไว้ชื่นชมทุกค่ำเช้า ฝ่าบาทรู้เข้าก็ทรงกริ้ว ถึงกับสั่งตัดหัวบุตรชายของขุนนางผู้มากบารมีผู้นั้น ทั้งยังลงโทษโบยขุนนางผู้ใหญ่ที่เป็นบิดาถึงสี่สิบไม้ โทษฐานที่ปกครองเรือนไม่ดี ไม่อาจอบรมสั่งสอนบุตรหลาน ทำให้บุตรชายคนโตเกิดเหิมเกริม ขวัญกล้า บังอาจจาบจ้วงล่วงเกินหมิ่นเกียรติเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ไม่เพียงเท่านี้ ต่อมาไม่นานยังเกิดมีบัณฑิตที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงมา วาดภาพเสมือนของฝ่าบาทและเหล่าขุนนางขึ้นภาพหนึ่ง ฝ่าบาทรู้เข้าก็ทรงกริ้ว มีรับสั่งให้คุมตัวบัณฑิตที่ว่า แล้วหลังจากนั้นอีกเจ็ดวันถัดมา บัณฑิตผู้นั้นก็ต้องโทษข้อหาเดียวกับบุตรชายขุนนางใหญ่ท่านนั้น ไม่เพียงถูกบั่นศีรษะ ก่อนถูกตัดคอ ยังถูกลงโทษด้วยการตัดมือไม่รักดีทั้งสองข้างอีกด้วย นับแต่นั้นมาจึงไม่เคยมีผู้ใดขวัญกล้า ไม่กลัวตาย ริอ่านวาดภาพเหมือนหรือแม้แต่ภาพเสมือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ด้วยไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะไม่พลาดพลั้งสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ โดยเฉพาะฝ่าบาทและหวงโฮ่ว จนเป็นเหตุให้ศีรษะถูกแยกออกจากตัว...
ทว่ายามนี้ ต่อหน้าผู้คนมากมาย คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงกลับขวัญกล้าไม่กลัวตาย ริอ่านวาดภาพเสมือนของหวงโฮ่วขึ้นมา หากมีผู้ตีความไปในแง่ร้าย คิดเอาความคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงผู้นี้ขึ้นมา เกรงว่าศีรษะน้อยๆ ของนางคงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้เป็นแม่นมั่น
ยังมีบิดาที่เป็นถึงกั๋วกงนั่นอีก! เมื่อครั้งคุณชายตระกูลขุนนางผู้นั้นวาดภาพเหมือนขององค์หญิงทั้งสอง บิดาที่เป็นขุนนางใหญ่ก็ยังถูกสั่งโบยถึงสี่สิบไม้ และถอดยศ ลดตำแหน่ง...
เหล่าคนที่มองภาพนี้ออกต่างเหลียวมองเฉินกั๋วกงเป็นตาเดียวกัน คาดไม่ถึงว่ากลับได้เห็นท่านกั๋วกงมองตรงไปยังบุตรสาวด้วยแววตาปลาบปลื้มดีใจสุดกำลัง ยิ่งมองบุตรสาวคนที่สามที่ไม่เคยให้ความสำคัญเนิ่นนานเข้า รอยยิ้มของเฉินกั๋วกงก็ยิ่งสว่างไสวงดงามอย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยได้เห็น จนยากจะเชื่อว่าคนผู้นี้คือเฉินกั๋วกงคนเดียวกับที่กักขังบุตรสาวตรงหน้านี้ไว้ในเรือนหลัง ไม่เคยชายตาแลบุตรสาวคนที่สามของตนเองสักนิด
เสียสติ...เห็นได้ชัดว่าพ่อลูกคู่นี้ล้วนเสียสติ! คนหนึ่งก็ถูกกักขังไว้ในจวนจนเสียสติ อีกคนหากไม่โหมงานหนักก็เอาแต่ร่ำสุราอยู่ในเรือนจนพื้นความคิดวิปริตวิปลาสไปหมดแล้ว! พวกเขาคงไม่รู้เสียแล้วว่าอะไรคือฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่รู้เสียแล้วว่าอะไรคือไม่เหมาะและไม่ควร!
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







