“สวัสดีครับน้องมะนาว เปิดร้านแต่เช้าอย่างนี้ทุกวันเลยหรือ พี่นึกว่าจะยังไม่เปิดเสียอีก”
ธีทัต...ลูกค้าคนแรกของเช้านี้เอ่ยทักอย่างสดใส รอยยิ้มหล่อเหลาของเขาเจิดจ้าพอ ๆ กับแสงตะวันของเช้าวันใหม่ แต่มนิษาไม่ได้ยิ้มตอบด้วย เธอชี้มือไปที่แผ่นไม้ที่มีระบุเวลาเปิดปิดไว้ชัดเจน“แล้วเห็นป้ายไหมล่ะ...คะ”
ชายหนุ่มหัวเราะอีกตามเคย
“มะนาวพูดอย่างนี้กับลูกค้าทุกคนเลยหรือ”
“เปล่า ถ้าเป็นลูกค้านาวจะพูดดีด้วย แต่กับคนที่ไม่ใช่ลูกค้า ไม่ต้องพูดไพเราะด้วยก็ได้”
“รู้ทันจริง ๆ ด้วยแฮะ พี่ก็ไม่ใช่ลูกค้าจริง ๆ นั่นแหละ ที่มานี่ก็คึอจะมาหาส้มหวาน”
“นั่นไง ฉันว่าแล้วว่านายต้องมีจุดประ...”
มนิษาชะงักเมื่อมีหญิงสาวตัวสูงปรี๊ดอีกคนเดินตามธีทัตเข้ามาในร้านต้นไม้ หล่อนสูงเกือบเท่า ๆ ชายหนุ่มทั้งที่ไม่ได้ใส่ส้นสูงและที่สำคัญคือสวยมาก สวยจัด ๆ ผมยาวดำขลับมัดเป็นหางม้าเผยให้เห็นดวงหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาขาวใสเหมือนถ้วยกระเบื้อง
หญิงสาวเจ้าของร้านต้นไม้ใจหล่นวูบ จำได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้นี่ไงที่เธอเห็นอยู่กับธีทัตในคืนที่เธอไปเที่ยวกลางคืน คืนนั้นมนิษายังแอบถ่ายคลิปไว้เพื่อมาเปิดให้พี่สาวกับป้าดู (แม้สองคนนั่นดูแล้วจะไม่ได้เกลียดชังธีทัตอย่างที่เธออยากให้เป็นก็ตามที) แล้วดูนี่สิ...วันนี้เขากล้าพาแฟนมาถึงนี่เชียวหรือ
“ร้านน่ารักจังเลย”
สาวสวยอุทาน เงยหน้ามองไปรอบร้านที่แม้จะอัดแน่นด้วยสีเขียวของต้นไม้แต่ก็มีเครื่องเซรามิกกระจุ๋มกระจิ๋มมุมนั้นมุมนี้เพิ่มสีสันสดใส
“แนต นี่มะนาว น้องสาวของส้มหวานที่ฉันเล่าให้ฟัง”
“อ๋อ สวัสดีค่ะน้องมะนาว”
แนตตี้ทักทายอย่างมีไมตรี มนิษาสวัสดีตอบแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ยังรู้สึกตกใจและคล้ายมีอะไรแปลก ๆ ในตัวผู้หญิงคนนี้แต่ก็นึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
“จำเพื่อนพี่ได้ไหม คนที่เคยเจอที่ร้านแบล็กเอาต์ไง”
“อ้าว เราเคยเจอกันแล้วเหรอ” แนตตี้ยิ้มกว้าง
“แกไม่ได้เจอน้องเขาหรอก แต่น้องเขาเห็นตอนเราสองคนไปเที่ยวด้วยกันก็เลยคิดว่าคงจำแกได้”
“อ๋อ”
แนตตี้พยักหน้ายิ้ม ๆ ไม่ได้ติดใจอะไร มนิษามองธีทัตอย่างคลางแคลงใจ ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าคนคู่นี้จะมาเพื่อซื้อต้นไม้แต่เช้า
“คือเพื่อนพี่จะมาหาส้มหวาน นัดไว้แล้วล่ะ ส้มได้บอกมะนาวแล้วใช่ไหมครับว่าพี่สองคนจะมาหา”
“เอ่อ ยังไม่ได้บอกค่ะ”
มนิษาตอบ สีหน้าระแวงสงสัย ธีทัตคิดอะไรอยู่จึงได้พาแฟนตัวเองมาหาพี่สาวของเธอ
“พี่ธีมาแล้วหรือคะ”
เสียงหวานใสดังมาตามทางเดินกรวด สริดานั่นเองที่เดินออกมาหา
“พี่ส้ม คุณพี่ธีเขาบอกว่านัดพี่ส้มไว้แล้วน่ะ”
มะนาวจงใจเรียกชายหนุ่มเช่นนั้นเพื่อประชดประชัน
“ใช่จ้ะใช่ พี่ไม่ทันได้บอกมะนาว เพื่อนพี่ธีจะมาเรียนทำขนมง่าย ๆ สักหนึ่งวัน วันนี้พี่ไม่ได้รับออเดอร์ก็เลยนัดให้พี่ธีมาวันนี้ได้เลย”
สริดาบอกก่อนเงยหน้ายิ้มให้แนตตี้ คงนึกในใจเหมือนทุกคนว่าผู้หญิงคนนี้ตัวสูงจัง
“พี่ธีกับพี่แนตตี้กินข้าวมาหรือยังคะ ส้มให้น้องทำกับข้าวไว้รอแล้ว เชิญทางนี้ดีกว่าค่ะ”
สริดาเอ่ยชื่อหญิงสาวอีกคนราวกับรู้จักมาก่อน แสดงว่าพี่สาวของเธอกับธีทัตคงโทรคุยกันแล้ว มนิษามองตามทั้งสามคนที่เดินกลับไปตามทางเดินโรยกรวด สีหน้ายังเหลอหลาไม่เข้าใจ แฟนเก่า แฟนใหม่ ใครเป็นใคร โอ๊ยงงไปหมดแล้ว ***
หลังกินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแนตตี้ก็ผูกผ้ากันเปื้อนพร้อมเรียนทำขนมไทยด้วยความกระตือรือร้น ในครัวไทยที่กว้างขวางและโล่งโปร่ง นอกจากสริดาแล้วก็ยังมีนิดหน่อย เด็กสาววัยสิบแปดที่มาขอทำงานรับจ้างกับสริดาตั้งแต่ยังเรียนมัธยมฯ ต้น
เมื่อสาว ๆ เริ่มเรียนทำขนม ธีทัตก็ปลีกตัวเดินกลับออกมาที่ร้านต้นไม้นายขาม เขาเคยถามสริดาว่านายขามคือใคร จึงได้รู้ว่านายขามก็คือนายมะขาม น้องชายแท้ ๆ ของป้าองุ่น พ่อแท้ ๆ ของสริดาและมนิษา
ลูกสาวคนเล็กของนายขามผู้ล่วงลับเพิ่งจะยกถุงดำใส่ต้นไม้ไปไว้หลังรถลูกค้าตอนที่ธีทัตเดินมาถึงหน้าร้าน พี่ดอกรัก คนงานร้านต้นไม้ที่คุ้นเคยกับชายหนุ่มดีเอ่ยทักทาย
“คุณธีจริง ๆ ด้วย เอารถเข้ามาจอดในบ้านสิคะ จอดตรงนั้นแดดร้อนนะ” ตรงนั้นของดอกรักหมายถึงริมฟุตปาธ
“เขามาจอดเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวเขาก็กลับ”
มนิษาพูดแทน ดอกรักอมยิ้ม รู้เหมือนที่ทุกคนในบ้านนี้รู้ว่าถ้าเป็นเรื่องของธีทัตล่ะก็ น้องมะนาวผู้แสนจะใจกว้างก็กลายเป็นใจแคบได้ทุกครั้งไป
“พี่ยังไม่กลับง่าย ๆ หรอก ถอยรถไปจอดในบ้านก็เข้าท่าดี... แต่ขอซื้อต้นไม้ก่อน มะนาวแนะนำหน่อยสิ”
“ไม่ขาย ไม่ต้องมาแกล้งเป็นลูกค้า”
“ใครว่าแกล้ง จะซื้อจริง ๆ เพื่อนพี่จะขึ้นบ้านใหม่ มันบอกไว้เลยว่าใครจะไปไม่ต้องใส่ซอง แต่ให้เปลี่ยนเป็นต้นมงต้นไม้หรือพวกของใช้ในครัว พี่เลยคิดว่ามาซื้อต้นไม้ที่นี่ดีกว่า ชอบอุดหนุนคนกันเอง”
ธีทัตอธิบายยืดยาวก่อนจะมองไปรอบ ๆ สวนไม้เล็ก ๆ แห่งนั้นอย่างสนอกสนใจ มนิษาหรี่ตามองอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก เมื่อชายหนุ่มหันมาหาเธออีกครั้ง สีหน้าของเธอก็ทำให้เขาเลิกคิ้ว
“ไหงทำหน้าแบบนั้นล่ะ หรือว่าจะเกลียดขี้หน้าพี่มากเสียจนไม่คิดจะขายต้นไม้ให้พี่เลยสักต้น”
“แหม ก็ไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก คุณพี่ธีอยากได้ต้นอะไรหรือพันธุ์ไม้แบบไหนล่ะคะ บอกมาสิจะช่วยเลือกให้”
หญิงสาวเจ้าของร้านเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ แต่น้ำเสียงก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“อืม... อยากได้ต้นที่เลี้ยงง่าย ๆ โตเร็ว ๆ แล้วก็ทนแดดทนฝน แบบนั้นพอจะมีไหม”
“พูดเหมือนว่าคนที่จะซื้อไปให้เขาเป็นคนไม่ชอบดูแลอะไรเลย กลัวต้นไม้ตายหรือถึงได้ขอแบบทน ๆ”
มนิษาอดถามไม่ได้ ชายหนุ่มหัวเราะ
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก มะนาวมีต้นไหนจะแนะนำไหมล่ะครับ”
“ของขวัญขึ้นบ้านใหม่ อย่างนั้นเลือกเป็นกระถางไม้มงคลก็แล้วกัน มีหลายไซซ์เลย...”
มนิษาก้าวไปทางโซนไม้มงคลที่ส่วนใหญ่ลงกระถางไว้แล้วเรียบร้อย บางกระถางมีผูกโบไว้ด้วยอย่างสวยงาม ทุกต้นทุกพันธุ์มีชื่อปักอยู่พร้อมราคาเห็นได้ชัด
เมื่อแน่ใจว่าธีทัตต้องการซื้อต้นไม้จริง ๆ หญิงสาวก็ยอมลดกำแพงลงชั่วคราวเพื่อทำหน้าที่เจ้าของร้านที่ดี และเมื่อได้คุยเรื่องที่ถนัด บทสนทนาระหว่างธีทัตกับมนิษาก็สามารถยืดยาวออกไปได้โดยไม่จิกกัดกันเป็นครั้งแรก
ภูมิวัตน์ส่งต่อบ้านให้เพื่อนอย่างเรียบร้อยก่อนตัวเองจะย้ายไปอเมริกา ธีทัตจึงได้เวลาขนของย้ายเข้าไปอยู่อย่างเป็นทางการ และเริ่มตกแต่งทั้งข้างนอกและข้างในให้เข้ากับรสนิยมตัวเองธิดาแม้ไม่อยากให้ลูกชายแยกบ้านแต่ก็ต้องยอมรับว่าบ้านและที่ดินหลังนี้สวยงามคุ้มค่าน่าอยู่"ภูมิเพื่อนลูกเขาดูแลบ้านดีมากเลยนะ ไม่มีเสียหายตรงไหนเลย แล้วลูกจะขึ้นบ้านใหม่เมื่อไรล่ะธี”คนเป็นแม่ถามระหว่างเดินสำรวจบ้าน"ใหม่ที่ไหนแม่ ซื้อต่อจากไอ้ภูมิก็ไม่ใหม่แล้วสิ""ก็ใหม่ของเรา จะเก่าของใครก็ช่างสิ”ธิดาพูดพลางเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ตัวบ้าน ฝ้าเพดานในห้องรับแขกที่สูงไปถึงชั้นสองทำให้ตัวบ้านดูโปร่งโล่ง"ถึงธีจะไม่ได้นอนที่นี่ทุกวัน แต่ยังไงมันก็เป็นบ้านของเราแล้ว ทำบุญเลี้ยงพระสักทีก็น่าจะดีนะลูก ถ้าไม่อยากจัดอะไรให้ยุ่งยาก แค่นิมนต์พระมาสัก ๙ รูป ๑๒ รูปก็ได้""ทำอย่างที่แม่เขาบอก พ่อว่าก็ดีนะ"คงเดชออกความเห็นบ้าง"ก็ได้ครับ ผมยังไงก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ผมเช็คตารางงานก่อน แล้วได้วันไหนจะบอกแม่อีกที"ธิดาคิดว่าอาจต้องรออีกหลายวั
“อ้าว...นั่นคุณธีมานี่คะ”ดอกรักที่กำลังจัดเรียงถุงต้นกล้าให้เข้าที่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าใครที่อยู่หน้าร้าน มีแค่สองคนที่ยังเรียกธีทัตว่าคุณ ก็คือพี่ดอกรักกับน้าน้อย เพราะทั้งคู่มีอายุมากกว่าธีทัตหลายปี ส่วนมนิษานั้นไม่นับ หญิงสาวนึกอยากจะใช้สรรพนามเรียกขานชายหนุ่มว่าอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะนั้นและตอนนี้มนิษาก็ใจหายวาบเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินมาหลายวัน ก่อนจะค่อย ๆ หันไปหาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตรงข้ามกับใบหน้าคมคุ้นตามที่เดินยิ้มแฉ่งตรงมาหาพร้อมถุงของฝากเต็มสองมือ“สวัสดีครับพี่ดอกรัก”“สวัสดีค่ะคุณธี หายไปไหนตั้งนานคะ ไม่เห็นหน้าเลย”“เพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ ครับ...ไปทำงานมา”ประโยคหลังเขาตั้งใจเอ่ยกับเจ้าของร้านต้นไม้“อ้าว... น้องมะนาวก็อยู่ด้วยหรือนี่ พี่ไม่ทันเห็น สวัสดีจ้ะ”มนิษาแยกเขี้ยวใส่ รู้ว่าเขาแกล้ง“ผมซื้อของมาฝากครับพี่ดอกรัก” ดอกรักรีบถอดถุงมือออกก่อนเอื้อมมือไปรับถุงของฝากจากชายหนุ่ม ธีทัตซื้อมาฝากครบทุกคนเหมือนเช่นเคย แต่ถุงสุ
เสียงฝีเท้าหลายคู่พร้อมกับเสียงพูดคุยครึกครื้นที่หน้าร้าน ทำให้มนิษาที่กำลังทอนเงินให้ลูกค้า หันขวับไปหาทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ในบรรดาลูกค้ากลุ่มใหญ่นั้น กลับไม่มีใบหน้าที่เธอคุ้นเคยและเผลอคาดหวังว่าจะได้เห็น... พี่ดอกรักกับน้าน้อย รีบเข้าไปบริการลูกค้ากลุ่มใหม่ดังกล่าว คนงานทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของร้านต้นไม้แห่งนี้มาตั้งแต่มนิษายังเป็นเพียงเด็กมัธยมฯ เธอไว้ใจพวกเขาได้เท่ากับที่ไว้ใจครอบครัวของตัวเอง หญิงสาวจึงไม่เข้าไปวุ่นวายและเลิกจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านเงียบ ๆ ด้วยอาการเงื่องหงอย"วันนี้ทำอะไรน่ะพี่ส้ม" มะนาวถามเนือย ๆ เมื่อโผล่หน้าเข้าไปในครัวและเดินตรงไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำมารินใส่แก้วให้ตัวเอง "ขนมกรวยจ้ะ" "ทำคนเดียวเหรอ ไม่ให้นิดหน่อยมาช่วยล่ะ" "ทำคนเดียวได้ ทำง่ายแล้ววันนี้พี่ก็ทำไม่เยอะจ้ะ" คนเป็นพี่สาวตอบ กำลังหยอดแป้งลงในกรวยใบตองที่ม้วนเตรียมไว้แล้ว ตัวแป้งเนื้อขนมทำไม่ยาก ใช้แป้งข้าวเจ้าผสมกับแป้งถั่วเขียวอีกนิดหน่อย เติมกะทิ น้ำตาลปี๊บ เหยาะเกลือเล็กน้อยอย่าเผลอหลุดมือใส่ลงไปเยอะ แล้วก็กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
“เมื่อไรมึงจะยอมไปนอนบ้านกูสักที มากี่หนก็จะนอนแต่โรงแรม” ทยากรเอ่ยกับธีทัตที่เพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ เขาขับรถมารับเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนที่สนามบิน ชวนแวะกินข้าวร้านประจำก่อนจะไปส่งโรงแรม“กูชอบอาหารเช้าโรงแรม มึงทำไม่อร่อยไงไอ้ทอยกูเลยไม่อยากไปนอนด้วย”ธีทัตแกล้งตอบ ทยากรหัวเราะหึ ๆ รู้ว่าเพื่อนเกรงใจเพราะตอนนี้แฟนสาวของเขาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ถ้าทยากรอยู่คนเดียวตามประสาหนุ่มโสดแบบเมื่อก่อน ธีทัตก็คงจะไม่ปฏิเสธทยากรคือหุ้นส่วนหนึ่งในสามคนของ ‘ทรีทีพรอเจคต์แอนด์ดีไซน์’ เมื่อสถาปนิกหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีที่เชียงใหม่ เขาลงขันเปิดบริษัทกับธีทัตและเพื่อนรักอีกหนึ่งคนที่เรียนสถาปัตย์เหมือนกัน โดยมีธีทัตเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่สุดคือถือหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทยากรกับเพื่อนอีกคนคนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ แบ่งหน้าที่กันไปตามความถนัดแม้สำนักงานหลักจะอยู่ที่เชียงใหม่ แต่ตัวทยากรเองก็มารับงานที่กรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านเกิดของเขา วันนี้ที่ธีทัตเดินทางมาก็เพื่อจะมาช่วยประเมินโครงสร้างอาคารของโปรเจกต์ใหม่ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญารีโนเวต
วันนี้ป้าองุ่นขับโฟล์กสวาเก้นรุ่นปี ๑๙๖๗ หรือ 'รถเต่า' สีน้ำเงินของตัวเองมากินข้าวเที่ยงกับหลานสาวอีกเช่นเคย นอกจากจิ๊นหมูนึ่ง[1] ผักนึ่ง ตำบะหนุน[2] น้ำพริกข่า[3] กับข้าวนึ่ง(ข้าวเหนียว) สริดาก็ยังเตรียมมะยงชิดลอยแก้วใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยเพราะรู้ว่าป้าจะต้องไปเที่ยวหาป้าธิดาเพื่อนสนิท หญิงสาวจึงทำเผื่อไปฝากบ้านนั้นอีกกล่องใหญ่ ๆ“เมื่อวานพี่ธีซื้อมาฝากเยอะแยะเลยค่ะ ส้มเลยแบ่งทำมะยงชิดโซดาให้คนงานกินแก้เหนื่อย แล้วก็แบ่งทำลอยแก้วให้ป้าหงุ่นกับป้าธิดาด้วย”“ขอบใจนะส้ม นี่ป้าไม่ได้กินมานานแล้วนะนี่”“มะยงชิดลอยแก้วทำง่ายค่ะป้าหงุ่น ถ้าวันไหนป้าอยากกินอีกบอกส้มก็ได้นะคะ แค่ปอกเปลือกคว้านเมล็ด แล้วก็ทำน้ำเชื่อม ตอนจะกินก็แค่ตักน้ำเชื่อมราด เติมน้ำแข็งอีกหน่อย เหมาะกับอากาศบ้านเราตอนนี้สุด ๆ”คนเป็นหลานบอกพลางตักให้ป้าชิมหนึ่งถ้วยใหญ่ ๆ“มะนาวไม่กินเหรอ”สริดาถามน้องสาวอย่างแปลกใจเพราะปกติมนิษาจะต้องถามหาของหวานด้วยเสมอ แต่วันนี้เจ้าหล่อนส่ายหน้าดิก ตั้งปณิธานว่าจะไม่ยอมกินของฝากของธีทัตให้ป้าองุ่นเห็นเด็ดขาด“พ่อธีนี่ก็น่ารักจริง ๆ เลยน
ในห้องครัว สริดากำลังตั้งหม้อนึ่งถั่วเขียวซีกเพื่อเตรียมจะทำขนมถั่วแปบ ตอนที่มนิษากับนิดหน่อยช่วยกันยกกล่องลังผลไม้เข้ามาหลายกล่อง“พี่ธีเอามะยงชิดมาฝากค่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยรีบบอกโดยไม่ต้องรอให้ถามตอนแรกคนงานทุกคนไม่กล้าเรียกธีทัตว่าพี่ และยืนยันจะเรียก “คุณธี” เหมือนที่เรียกลูกค้าคนอื่น ๆ แต่เมื่อชายหนุ่มมาเป็นแขกบ้านนี้บ่อยครั้งเข้า และทุกครั้งที่มาเขาก็ขอร้องให้ทุกคนเลิกใช้คำเรียกขานที่ห่างเหิน คนงานทุกคนจึงค่อย ๆ เรียกเขาว่าพี่ธีหรือธีเฉย ๆ ได้อย่างสนิทปากสนิทใจ (แต่แน่ล่ะว่าสร้างความหมั่นไส้ให้ มนิษาอย่างที่สุด)“พี่ธีเอามาฝาก? ทั้งหมดนี่เลยหรือ”สริดาเปิดกล่องแล้วหยิบพวงมะยงชิดมาชื่นชมอย่างแปลกใจ แต่ละลูกผลใหญ่ ผิวสีส้มเนียนสวยน่ารับประทาน“ใช่แล้วจ้ะ ตอนแรกหนูนึกว่ามะปราง แต่พี่ธีบอกว่าเป็นมะยงชิด มันต่างกันยังไงอะพี่ส้ม”นิดหน่อยถามซื่อ ๆ ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักผลไม้ในประเทศตัวเองได้หมดนี่นา“ที่จริงมันก็คือมะปรางเหมือนกันนั่นล่ะจ้ะ มะปรางจะผลเล็กกว่ามะยงชิดแต่เม็ดในใหญ่กว่า เปลือกจะออกนวล ๆ แล้วก็หวานจัดกว่าด้วย แต่
เมื่อถึงห้องน้ำ ฟ้าลดาโก่งคออาเจียนอาหารออกมาจนหมดท้อง เธอรู้สึกคลื่นไส้มาเป็นเดือนแล้ว กินได้แต่น้ำผักผลไม้ แม่ก็สังเกตเห็นแต่หญิงสาวก็อ้างเพียงว่ากินแต่อาหารจืด ๆ มานานจนท้องไส้ไม่ค่อยยอมรับอาหารรสจัดแบบไทย ๆล้างปากล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็พาร่างบอบบางจนแทบปลิวลมกับใบหน้าซีดเซียวเดินออกจากห้องน้ำ ยังไม่อยากกลับไปที่โต๊ะแต่เลือกเดินออกไปสูดอากาศด้านนอกที่ระเบียงติดแม่น้ำเมื่อผลักประตูกระจกออกมา สายลมของเดือนมีนาคมก็สัมผัสใบหน้า แม้จะเป็นสายลมอุ่นแต่ก็ทำให้หายใจได้โล่งขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวนักเรียนนอกจึงหันกลับจะเข้าไปในร้าน ลูกค้าจากด้านในกำลังผลักประตูกระจกออกมาพอดีเธอจึงหยุดรอ ร่างสูงชะงักกึกตอนที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาตาคมเข้มคู่นั้น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างขึ้นพร้อมกัน“ฟ้า!”“ธี!”***สามปีก่อน...“ไม่อยากให้ฟ้าไปเลย แค่คิดว่าต้องอยู่คนเดียวก็ใจจะขาดแล้ว”ธีทัตออดอ้อนร่างบางเปล่าเปลือยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา สองร่างอิงซบกันอยู่บนเตียงกว้าง ห้วงยามหวามหวานเพิ่งผ่านพ
ธีทัตยอมรับว่าเงินซื้อบ้านหลังนี้ไม่ใช่เงินที่เขาหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองทั้งหมด แต่เป็นเงินมรดกจากปู่ย่าตายายที่ส่งต่อมาให้กับพ่อกับแม่ในรูปแบบของที่ดิน ตลาด โรงงาน และกิจการอีกหลายอย่าง และดอกผลจากธุรกิจเหล่านั้นก็ส่งต่อมาถึงเขาอีกทีเมื่อตกลงกันได้ ภูมิวัตน์ก็ยิ้มโล่งใจ ธีทัตโอบไหล่เพื่อน“คืนนี้ไปหาอะไรดื่มกัน อีกหน่อยมึงไปอยู่นู่นก็ไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงเอง”“ไม่ได้ ๆ มึงจะซื้อบ้านกูทั้งที ให้กูเลี้ยงเอง”ภูมิวัฒน์รีบบอก ก่อนจะกดโทรศัพท์ชวนเพื่อนสนิทอีกสี่ห้าคนออกไปสังสรรค์กันในคืนนี้ **ธีทัตกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนจะออกไปเจอกับเพื่อนที่ร้านอาหารที่ภูมิวัตน์จองไว้ เขาแวะบอกพ่อกับแม่ให้กินข้าวเย็นได้เลยไม่ต้องรอ และบอกด้วยว่าเขาตกลงจะซื้อบ้านใหม่ต่อจากเพื่อนแล้ว“ตกลงซื้อแน่ใช่ไหมลูก”คงเดชถามย้ำ เขาได้เห็นรูปบ้านที่ลูกชายส่งมาแล้ว“ครับพ่อ ราคานี้แทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เข้าอยู่ได้เลย”“โอ๊ย... เงินทองน่ะมีก็เก็บ ๆ กันไว้บ้างเถอะ”ธิดาเอ่ยขัดพลางมองลูกชายตาเขียว
“จริงเหรอ หมู่นี้ธีไปหาส้มหวานแทบทุกสัปดาห์เลยเหรอ”องุ่นถามย้ำอย่างตื่นเต้นเมื่อ ‘สายลับ’ ของหล่อนที่ทำงานอยู่บ้านหลานสาว โทรศัพท์มาบอก“ใช่ค่ะป้าหงุ่น เดือนก่อนคุณธีพาเพื่อนมาเรียนทำขนมกับพี่ส้ม ตอนนี้เห็นว่าเพื่อนกลับเยอรมันไปแล้ว แต่คุณธีก็ยังแวะมาหาทุกอาทิตย์ มากินข้าวบ้าง มาซื้อต้นไม้บ้าง หนูว่าเป็นข้ออ้างทั้งนั้นล่ะค่ะ...”สายขององุ่นหัวเราะคิกคัก ก่อนพูดต่อไปว่า“คุณธีคงจะเดินหน้าจีบพี่ส้มหวานจริง ๆ จัง ๆ อย่างที่ป้าหงุ่นหวังแล้วล่ะค่ะ”“ขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็แล้วกัน ป้าล่ะกลัวจะแก่ตายก่อนได้เห็นหลานเป็นฝั่งเป็นฝา”“อ้าว... ทำไมจู่ ๆ พูดแช่งตัวเองอย่างนั้นล่ะคะ”“เออ ๆ ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อยนั่นล่ะ”องุ่นว่า หล่อนเพิ่งเกษียณจากราชการในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ยังไม่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ คงยังเร็วไปที่จะพูดจาดราม่าแบบวัยไม้ใกล้ฝั่ง“ขอบใจนะนิดหน่อยที่โทรมารายงานความคืบหน้า มีอะไรก็โทรมาบอกอีกนะ”“ได้เลยค่ะป้าหง