“อิ่มแล้วหรือธี กินอะไรเพิ่มอีกหน่อยดีไหม เช้า ๆ ต้องกินให้อยู่ท้องเข้าไว้นะ แล้วค่อยไปเบาตอนมื้อเย็น ๆ"
ธิดาเอ่ยกับลูกชายระหว่างนั่งรับประทานอาหารมื้อเช้าด้วยกันพร้อมหน้าในห้องอาหารของครอบครัว เช้านี้แม่บ้านคนสนิทของหล่อนทำข้าวต้มปลาไว้ให้ และก็ไม่ลืมอาหารเช้าสไตล์อเมริกันอย่างขนมปัง แฮม เบคอน ไข่ดาว ให้ชายหนุ่มอย่างธีทัตด้วย
“ขอเป็นขนมปังปิ้งกับกาแฟอีกแก้วก็พอครับ” แม่บ้านได้ยินก็รีบจัดมาให้ ธีทัตเอ่ยขอบคุณตอนที่แม่บ้านรินกาแฟดำร้อน ๆ ใส่แก้วให้เขา สำหรับคุณธี กาแฟดำไม่ใส่นมไม่ใส่น้ำตาล เมื่อก่อนธีทัตชอบดื่มโอเลี้ยง แต่เมื่อเรียนใกล้จบและเริ่มสังเกตว่าเพื่อนหญิงในคณะมักจะมองว่าผู้ชายที่ดื่มกาแฟดำเพียว ๆ นั้นเท่กว่า เขาจึงบังคับตัวเองให้ดื่มแต่กาแฟดำมาตั้งแต่นั้นเพราะอยากเท่ในสายตาสาว ๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพอะไรทั้งสิ้น“แล้ววันนี้ต้องรีบเข้าออฟฟิศหรือเปล่า”
“ไม่รีบครับ วันนี้แม่จะให้ธีพาไปไหนหรือเปล่า”
ธีทัตถาม เพราะบางวันที่แม่เขามีธุระนอกบ้าน จะเรียกให้ลูกชายมาขับรถให้
“วันนี้แม่ไม่ใช้บริการเราหรอก พ่อเขาจะขับรถพาแม่ไปเอง แค่ว่าถ้าธีไม่รีบ แม่ก็อยากจะชวนคุยเรื่องหมั้นกับส้มหวาน”
คงเดชเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ทันที
“ทำหน้าแบบนั้นทำไมพ่อนายธี”
“พ่อแค่แปลกใจ ไม่เห็นแม่เคยพูดเรื่องหมั้นหมายอะไรให้พ่อได้ยิน”
“แม่เพิ่งพูดที่ไหน พูดมาตั้งหลายทีแล้วเรื่องที่อยากให้ธีหมั้นกับหลานขององุ่นน่ะ”
คงเดชสีหน้ายอมแพ้ ก่อนหันไปทางลูกชายคนเดียว
“คุยกับแม่เขาเองนะธี เรื่องนี้พ่อจะไม่ยุ่ง”
“ต๊าย คุณคงเดช พูดแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน องุ่นรู้เข้าจะน้อยใจเพราะเหมือนหลานสาวเขาไม่สำคัญ นี่เลือกลูกสะใภ้เลยนะ พ่อจะไม่ออกความเห็นอะไรเลยได้ยังไง”
“ใจเย็น ๆ นะแม่ พ่อหมายถึงแม่ชอบใครพ่อก็ชอบด้วย แล้วหลานขององุ่นมันก็คนกันเอง พ่อก็เลยไม่ยุ่งเพราะไว้ใจทั้งแม่และองุ่นยังไงล่ะจ๊ะ”
“แล้วไป”
ธิดาว่า สีหน้าพอใจมากขึ้น คงเดชหัวเราะแหะ ๆ เป็นแฟนกันมาตั้งแต่เรียน ม.ปลาย จนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะไม่เออออห่อหมกไปกับภรรยาสุดที่รัก
“ว่าไงธี แม่ขอให้ลูกหมั้นกับน้องเขาให้เป็นเรื่องเป็นราวสักทีได้ไหมจ๊ะ ถ้าอยากให้แม่หาฤกษ์ให้ก็ได้ หรือลูกจะใช้ฤกษ์สะดวกก็ได้ แม่ได้ทั้งหมดนั่นแหละ”
“แต่ว่าผมกับน้องเพิ่งจะทำความรู้จักกันได้ไม่นานเองนะครับแม่”
"ไม่นานอะไร ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก" "ก็แค่เคยได้ยินชื่อต่างหากครับแม่ เพราะธีกับส้มหวานก็ต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่เคยวนมาเจอกันสักที มีแต่แม่กับน้าองุ่นเท่านั้นที่ไปมาหาสู่กัน ถ้าจะนับช่วงเวลาที่ธีกับส้มหวานที่ได้รู้จักพูดคุยกันจริง ๆ ก็เพิ่งจะแค่สามเดือนเท่านั้นเอง"“เพิ่งรู้จักก็หมั้นได้นี่ลูก แม่ยังไม่ได้ให้รีบแต่งสักหน่อย”
ธิดายังไม่ยอมแพ้ ธีทัตยังคงอธิบายอย่างใจเย็น“ผมว่ามันก็ข้ามขั้นเกินไปอยู่ดีนะครับแม่ ยังไม่ได้ทันได้เป็นแฟนกันเลย จะให้กระโดดเป็นคู่หมั้นแล้ว เกรงใจน้อง”
“ก็เพราะเกรงใจแม่ถึงอยากให้หมั้นไว้ก่อน คนเขาจะได้ไม่เอาน้องไปนินทาเสีย ๆ หาย ๆ ผู้หญิงดี ๆ แบบส้มหวานหาไม่ได้ง่าย ๆ หรอกนะสมัยนี้ เป็นแม่บ้านแม่เรือน กิริยามารยาทเรียบร้อย แถมยังว่านอนสอนง่าย”
“ถ้าเป็นเมื่อสามสิบ สี่สิบปีก่อน ผมคงไม่เถียงล่ะครับว่านั่นน่ะสุดยอดไปเลย แต่ว่าสมัยนี้...ผู้หญิงที่ผมอยากได้มาเป็นคู่ชีวิต ผมอาจต้องการอะไรมากกว่านั้นนะครับแม่”
“หมายความว่ายังไง" ธิดาตาโตใส่ลูกชายทันที เหมือนเขาพูดอะไรที่ไม่เข้าหูเธอเลย "แม่ก็เห็นลูกเทียวไปเทียวมาหาน้องตั้งหลายเดือนแล้ว แต่ทำไมวันนี้พูดจาเหมือนกับว่าเขาไม่ดีพอที่จะมาเป็นแฟนเราล่ะ”
“โถ่ เดี๋ยวครับแม่ อย่าเพิ่งตีความคำพูดผมไปแบบนั้น ไม่ได้หมายความว่าส้มหวานไม่ดีพอ น้องส้มน่ะดีเกินพอเสียอีกครับ แต่บางครั้งสิ่งที่ดีพอก็ไม่ใช่สิ่งที่พอดีกับเรานะครับแม่”
“นั่นไง แกพูดแบบนี้แปลว่ากำลังจะปฏิเสธน้องเขาแน่ ๆ”
“ฟังลูกอธิบายก่อนสิแม่ พ่อว่าที่ลูกพูดมา ก็ถูกของลูกนะ"
คงเดชเห็นจังหวะที่ต้องเอ่ยออกมาบ้าง
“เด็กมันเพิ่งจะคุ้นเคยกัน แม่ไปเร่งรัดให้เขาหมั้นกันแล้วถ้าเกิดมันมีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นมาทีหลังล่ะ ลูกเราน่ะไม่เท่าไรหรอก พ่อเป็นห่วงชื่อเสียงหลานองุ่นเขามากกว่า”
ธิดาหน้างอนิด ๆ เพราะสามีพูดจามีเหตุผลจนไม่รู้จะเถียงอย่างไร และดูท่าแล้วก็คงบังคับลูกชายไม่ได้จริง ๆ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ฉันยอมแพ้ ให้คบหากันไปอีกสักหน่อยค่อยมาพูดเรื่องนี้อีกทีก็แล้วกัน แต่ระหว่างนี้แม่หวังว่าธีจะใส่ใจน้อง แล้วก็ไม่ทำอะไรที่ไม่ให้เกียรติน้องนะ เพราะว่า...”
ธิดายังบอกแกมบ่นไปอีกยืดยาว ธีทัตได้แต่ปิดปาก พยักหน้าเป็นระยะ แล้วหันไปสบตาบิดาที่สีหน้าขบขันเป็นบางที สองคนพ่อกับลูกอาจมีอะไรต่างกันหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนคือพร้อมจะทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่เคยมีใครกล้าหือกับเมียและแม่ได้เลยสักคน
**แสงแดดยามสายของเชียงใหม่ยังไม่ร้อนจัด ยิ่งหน้าบ้านที่มีต้นไม้หลายชนิดอย่างบ้านหลังนี้ยิ่งให้บรรยากาศร่มรื่นชื่นเย็น ป้ายไม้เก่าหน้าร้านแกะเนื้อไม้เป็นตัวอักษรแล้วทาสีทับอ่านได้ว่า “ร้านต้นไม้นายขาม” เป็นป้ายที่อยู่มาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ของเจ้าของคนปัจจุบัน
ที่นี่เปิดตรงเวลาเสมอ เจ็ดโมงเช้าทุกวันไม่มีวันหยุด มนิษาเป็นเจ้าของร้าน และยังมีคนงานอีกสามคนช่วยกันดูแล พื้นที่ลานดินหน้าบ้านถูกใช้เป็นโซนเพาะกล้า ด้านหน้าที่ติดถนนสายหลักทำเป็นซุ้มไม้ระแนงสูงโปร่ง จัดเป็นโซนวางกระถางและถุงใส่กล้าไม้พร้อมขาย โต๊ะไม้เก่าตั้งอยู่มุมหนึ่งของร้าน ใช้เป็นที่คัดแยกต้นอ่อนและจัดกระถาง ทางเดินกรวดทอดยาวเข้าไปถึงด้านในที่มีบ้านสองชั้นตั้งอยู่ ระหว่างทางเดินขนาบข้างด้วยกระบะเพาะกล้าต้นอ่อนของพริก กะเพรา และโหระพาเรียงเป็นแถว ถัดไปเป็นโซนต้นไม้ขนาดกลาง มีต้นมะนาวปลูกในเข่งใบใหญ่ตั้งอยู่เป็นแนว อีกด้านมีซุ้มเฟื่องฟ้ากับโต๊ะไม้ตั้งไว้ให้คนงานหรือลูกค้าได้นั่งพักร้อนเวลาเข้ามาเลือกต้นไม้นาน ๆ
คนงานสองคนเพิ่งเสร็จจากการนำกล้าไม้ขึ้นบรรทุกเต็มท้ายรถเพื่อไปส่งลูกค้า เมื่อรถกระบะแล่นพ้นรั้วออกไป เสียงระฆังหน้าร้านก็ดังขึ้นอีกรอบบอกให้รู้ว่ามีลูกค้าเข้ามาใหม่ มนิษารีบหันไปเอ่ยต้อนรับเพราะคนงานอีกสองคนกำลังง่วนกับการจัดแปลงกล้าใหม่
แต่เมื่อเห็นว่าใครคือลูกค้าวอล์กอินคนแรกของเช้านี้ รอยยิ้มกว้างของคนเป็นเจ้าของร้านก็หุบฉับทันที
ภูมิวัตน์ส่งต่อบ้านให้เพื่อนอย่างเรียบร้อยก่อนตัวเองจะย้ายไปอเมริกา ธีทัตจึงได้เวลาขนของย้ายเข้าไปอยู่อย่างเป็นทางการ และเริ่มตกแต่งทั้งข้างนอกและข้างในให้เข้ากับรสนิยมตัวเองธิดาแม้ไม่อยากให้ลูกชายแยกบ้านแต่ก็ต้องยอมรับว่าบ้านและที่ดินหลังนี้สวยงามคุ้มค่าน่าอยู่"ภูมิเพื่อนลูกเขาดูแลบ้านดีมากเลยนะ ไม่มีเสียหายตรงไหนเลย แล้วลูกจะขึ้นบ้านใหม่เมื่อไรล่ะธี”คนเป็นแม่ถามระหว่างเดินสำรวจบ้าน"ใหม่ที่ไหนแม่ ซื้อต่อจากไอ้ภูมิก็ไม่ใหม่แล้วสิ""ก็ใหม่ของเรา จะเก่าของใครก็ช่างสิ”ธิดาพูดพลางเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ตัวบ้าน ฝ้าเพดานในห้องรับแขกที่สูงไปถึงชั้นสองทำให้ตัวบ้านดูโปร่งโล่ง"ถึงธีจะไม่ได้นอนที่นี่ทุกวัน แต่ยังไงมันก็เป็นบ้านของเราแล้ว ทำบุญเลี้ยงพระสักทีก็น่าจะดีนะลูก ถ้าไม่อยากจัดอะไรให้ยุ่งยาก แค่นิมนต์พระมาสัก ๙ รูป ๑๒ รูปก็ได้""ทำอย่างที่แม่เขาบอก พ่อว่าก็ดีนะ"คงเดชออกความเห็นบ้าง"ก็ได้ครับ ผมยังไงก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ผมเช็คตารางงานก่อน แล้วได้วันไหนจะบอกแม่อีกที"ธิดาคิดว่าอาจต้องรออีกหลายวั
“อ้าว...นั่นคุณธีมานี่คะ”ดอกรักที่กำลังจัดเรียงถุงต้นกล้าให้เข้าที่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าใครที่อยู่หน้าร้าน มีแค่สองคนที่ยังเรียกธีทัตว่าคุณ ก็คือพี่ดอกรักกับน้าน้อย เพราะทั้งคู่มีอายุมากกว่าธีทัตหลายปี ส่วนมนิษานั้นไม่นับ หญิงสาวนึกอยากจะใช้สรรพนามเรียกขานชายหนุ่มว่าอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะนั้นและตอนนี้มนิษาก็ใจหายวาบเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินมาหลายวัน ก่อนจะค่อย ๆ หันไปหาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตรงข้ามกับใบหน้าคมคุ้นตามที่เดินยิ้มแฉ่งตรงมาหาพร้อมถุงของฝากเต็มสองมือ“สวัสดีครับพี่ดอกรัก”“สวัสดีค่ะคุณธี หายไปไหนตั้งนานคะ ไม่เห็นหน้าเลย”“เพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ ครับ...ไปทำงานมา”ประโยคหลังเขาตั้งใจเอ่ยกับเจ้าของร้านต้นไม้“อ้าว... น้องมะนาวก็อยู่ด้วยหรือนี่ พี่ไม่ทันเห็น สวัสดีจ้ะ”มนิษาแยกเขี้ยวใส่ รู้ว่าเขาแกล้ง“ผมซื้อของมาฝากครับพี่ดอกรัก” ดอกรักรีบถอดถุงมือออกก่อนเอื้อมมือไปรับถุงของฝากจากชายหนุ่ม ธีทัตซื้อมาฝากครบทุกคนเหมือนเช่นเคย แต่ถุงสุ
เสียงฝีเท้าหลายคู่พร้อมกับเสียงพูดคุยครึกครื้นที่หน้าร้าน ทำให้มนิษาที่กำลังทอนเงินให้ลูกค้า หันขวับไปหาทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ในบรรดาลูกค้ากลุ่มใหญ่นั้น กลับไม่มีใบหน้าที่เธอคุ้นเคยและเผลอคาดหวังว่าจะได้เห็น... พี่ดอกรักกับน้าน้อย รีบเข้าไปบริการลูกค้ากลุ่มใหม่ดังกล่าว คนงานทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของร้านต้นไม้แห่งนี้มาตั้งแต่มนิษายังเป็นเพียงเด็กมัธยมฯ เธอไว้ใจพวกเขาได้เท่ากับที่ไว้ใจครอบครัวของตัวเอง หญิงสาวจึงไม่เข้าไปวุ่นวายและเลิกจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านเงียบ ๆ ด้วยอาการเงื่องหงอย"วันนี้ทำอะไรน่ะพี่ส้ม" มะนาวถามเนือย ๆ เมื่อโผล่หน้าเข้าไปในครัวและเดินตรงไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำมารินใส่แก้วให้ตัวเอง "ขนมกรวยจ้ะ" "ทำคนเดียวเหรอ ไม่ให้นิดหน่อยมาช่วยล่ะ" "ทำคนเดียวได้ ทำง่ายแล้ววันนี้พี่ก็ทำไม่เยอะจ้ะ" คนเป็นพี่สาวตอบ กำลังหยอดแป้งลงในกรวยใบตองที่ม้วนเตรียมไว้แล้ว ตัวแป้งเนื้อขนมทำไม่ยาก ใช้แป้งข้าวเจ้าผสมกับแป้งถั่วเขียวอีกนิดหน่อย เติมกะทิ น้ำตาลปี๊บ เหยาะเกลือเล็กน้อยอย่าเผลอหลุดมือใส่ลงไปเยอะ แล้วก็กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
“เมื่อไรมึงจะยอมไปนอนบ้านกูสักที มากี่หนก็จะนอนแต่โรงแรม” ทยากรเอ่ยกับธีทัตที่เพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ เขาขับรถมารับเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนที่สนามบิน ชวนแวะกินข้าวร้านประจำก่อนจะไปส่งโรงแรม“กูชอบอาหารเช้าโรงแรม มึงทำไม่อร่อยไงไอ้ทอยกูเลยไม่อยากไปนอนด้วย”ธีทัตแกล้งตอบ ทยากรหัวเราะหึ ๆ รู้ว่าเพื่อนเกรงใจเพราะตอนนี้แฟนสาวของเขาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ถ้าทยากรอยู่คนเดียวตามประสาหนุ่มโสดแบบเมื่อก่อน ธีทัตก็คงจะไม่ปฏิเสธทยากรคือหุ้นส่วนหนึ่งในสามคนของ ‘ทรีทีพรอเจคต์แอนด์ดีไซน์’ เมื่อสถาปนิกหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีที่เชียงใหม่ เขาลงขันเปิดบริษัทกับธีทัตและเพื่อนรักอีกหนึ่งคนที่เรียนสถาปัตย์เหมือนกัน โดยมีธีทัตเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่สุดคือถือหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทยากรกับเพื่อนอีกคนคนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ แบ่งหน้าที่กันไปตามความถนัดแม้สำนักงานหลักจะอยู่ที่เชียงใหม่ แต่ตัวทยากรเองก็มารับงานที่กรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านเกิดของเขา วันนี้ที่ธีทัตเดินทางมาก็เพื่อจะมาช่วยประเมินโครงสร้างอาคารของโปรเจกต์ใหม่ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญารีโนเวต
วันนี้ป้าองุ่นขับโฟล์กสวาเก้นรุ่นปี ๑๙๖๗ หรือ 'รถเต่า' สีน้ำเงินของตัวเองมากินข้าวเที่ยงกับหลานสาวอีกเช่นเคย นอกจากจิ๊นหมูนึ่ง[1] ผักนึ่ง ตำบะหนุน[2] น้ำพริกข่า[3] กับข้าวนึ่ง(ข้าวเหนียว) สริดาก็ยังเตรียมมะยงชิดลอยแก้วใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยเพราะรู้ว่าป้าจะต้องไปเที่ยวหาป้าธิดาเพื่อนสนิท หญิงสาวจึงทำเผื่อไปฝากบ้านนั้นอีกกล่องใหญ่ ๆ“เมื่อวานพี่ธีซื้อมาฝากเยอะแยะเลยค่ะ ส้มเลยแบ่งทำมะยงชิดโซดาให้คนงานกินแก้เหนื่อย แล้วก็แบ่งทำลอยแก้วให้ป้าหงุ่นกับป้าธิดาด้วย”“ขอบใจนะส้ม นี่ป้าไม่ได้กินมานานแล้วนะนี่”“มะยงชิดลอยแก้วทำง่ายค่ะป้าหงุ่น ถ้าวันไหนป้าอยากกินอีกบอกส้มก็ได้นะคะ แค่ปอกเปลือกคว้านเมล็ด แล้วก็ทำน้ำเชื่อม ตอนจะกินก็แค่ตักน้ำเชื่อมราด เติมน้ำแข็งอีกหน่อย เหมาะกับอากาศบ้านเราตอนนี้สุด ๆ”คนเป็นหลานบอกพลางตักให้ป้าชิมหนึ่งถ้วยใหญ่ ๆ“มะนาวไม่กินเหรอ”สริดาถามน้องสาวอย่างแปลกใจเพราะปกติมนิษาจะต้องถามหาของหวานด้วยเสมอ แต่วันนี้เจ้าหล่อนส่ายหน้าดิก ตั้งปณิธานว่าจะไม่ยอมกินของฝากของธีทัตให้ป้าองุ่นเห็นเด็ดขาด“พ่อธีนี่ก็น่ารักจริง ๆ เลยน
ในห้องครัว สริดากำลังตั้งหม้อนึ่งถั่วเขียวซีกเพื่อเตรียมจะทำขนมถั่วแปบ ตอนที่มนิษากับนิดหน่อยช่วยกันยกกล่องลังผลไม้เข้ามาหลายกล่อง“พี่ธีเอามะยงชิดมาฝากค่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยรีบบอกโดยไม่ต้องรอให้ถามตอนแรกคนงานทุกคนไม่กล้าเรียกธีทัตว่าพี่ และยืนยันจะเรียก “คุณธี” เหมือนที่เรียกลูกค้าคนอื่น ๆ แต่เมื่อชายหนุ่มมาเป็นแขกบ้านนี้บ่อยครั้งเข้า และทุกครั้งที่มาเขาก็ขอร้องให้ทุกคนเลิกใช้คำเรียกขานที่ห่างเหิน คนงานทุกคนจึงค่อย ๆ เรียกเขาว่าพี่ธีหรือธีเฉย ๆ ได้อย่างสนิทปากสนิทใจ (แต่แน่ล่ะว่าสร้างความหมั่นไส้ให้ มนิษาอย่างที่สุด)“พี่ธีเอามาฝาก? ทั้งหมดนี่เลยหรือ”สริดาเปิดกล่องแล้วหยิบพวงมะยงชิดมาชื่นชมอย่างแปลกใจ แต่ละลูกผลใหญ่ ผิวสีส้มเนียนสวยน่ารับประทาน“ใช่แล้วจ้ะ ตอนแรกหนูนึกว่ามะปราง แต่พี่ธีบอกว่าเป็นมะยงชิด มันต่างกันยังไงอะพี่ส้ม”นิดหน่อยถามซื่อ ๆ ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักผลไม้ในประเทศตัวเองได้หมดนี่นา“ที่จริงมันก็คือมะปรางเหมือนกันนั่นล่ะจ้ะ มะปรางจะผลเล็กกว่ามะยงชิดแต่เม็ดในใหญ่กว่า เปลือกจะออกนวล ๆ แล้วก็หวานจัดกว่าด้วย แต่
เมื่อถึงห้องน้ำ ฟ้าลดาโก่งคออาเจียนอาหารออกมาจนหมดท้อง เธอรู้สึกคลื่นไส้มาเป็นเดือนแล้ว กินได้แต่น้ำผักผลไม้ แม่ก็สังเกตเห็นแต่หญิงสาวก็อ้างเพียงว่ากินแต่อาหารจืด ๆ มานานจนท้องไส้ไม่ค่อยยอมรับอาหารรสจัดแบบไทย ๆล้างปากล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็พาร่างบอบบางจนแทบปลิวลมกับใบหน้าซีดเซียวเดินออกจากห้องน้ำ ยังไม่อยากกลับไปที่โต๊ะแต่เลือกเดินออกไปสูดอากาศด้านนอกที่ระเบียงติดแม่น้ำเมื่อผลักประตูกระจกออกมา สายลมของเดือนมีนาคมก็สัมผัสใบหน้า แม้จะเป็นสายลมอุ่นแต่ก็ทำให้หายใจได้โล่งขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวนักเรียนนอกจึงหันกลับจะเข้าไปในร้าน ลูกค้าจากด้านในกำลังผลักประตูกระจกออกมาพอดีเธอจึงหยุดรอ ร่างสูงชะงักกึกตอนที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาตาคมเข้มคู่นั้น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างขึ้นพร้อมกัน“ฟ้า!”“ธี!”***สามปีก่อน...“ไม่อยากให้ฟ้าไปเลย แค่คิดว่าต้องอยู่คนเดียวก็ใจจะขาดแล้ว”ธีทัตออดอ้อนร่างบางเปล่าเปลือยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา สองร่างอิงซบกันอยู่บนเตียงกว้าง ห้วงยามหวามหวานเพิ่งผ่านพ
ธีทัตยอมรับว่าเงินซื้อบ้านหลังนี้ไม่ใช่เงินที่เขาหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองทั้งหมด แต่เป็นเงินมรดกจากปู่ย่าตายายที่ส่งต่อมาให้กับพ่อกับแม่ในรูปแบบของที่ดิน ตลาด โรงงาน และกิจการอีกหลายอย่าง และดอกผลจากธุรกิจเหล่านั้นก็ส่งต่อมาถึงเขาอีกทีเมื่อตกลงกันได้ ภูมิวัตน์ก็ยิ้มโล่งใจ ธีทัตโอบไหล่เพื่อน“คืนนี้ไปหาอะไรดื่มกัน อีกหน่อยมึงไปอยู่นู่นก็ไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงเอง”“ไม่ได้ ๆ มึงจะซื้อบ้านกูทั้งที ให้กูเลี้ยงเอง”ภูมิวัฒน์รีบบอก ก่อนจะกดโทรศัพท์ชวนเพื่อนสนิทอีกสี่ห้าคนออกไปสังสรรค์กันในคืนนี้ **ธีทัตกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนจะออกไปเจอกับเพื่อนที่ร้านอาหารที่ภูมิวัตน์จองไว้ เขาแวะบอกพ่อกับแม่ให้กินข้าวเย็นได้เลยไม่ต้องรอ และบอกด้วยว่าเขาตกลงจะซื้อบ้านใหม่ต่อจากเพื่อนแล้ว“ตกลงซื้อแน่ใช่ไหมลูก”คงเดชถามย้ำ เขาได้เห็นรูปบ้านที่ลูกชายส่งมาแล้ว“ครับพ่อ ราคานี้แทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เข้าอยู่ได้เลย”“โอ๊ย... เงินทองน่ะมีก็เก็บ ๆ กันไว้บ้างเถอะ”ธิดาเอ่ยขัดพลางมองลูกชายตาเขียว
“จริงเหรอ หมู่นี้ธีไปหาส้มหวานแทบทุกสัปดาห์เลยเหรอ”องุ่นถามย้ำอย่างตื่นเต้นเมื่อ ‘สายลับ’ ของหล่อนที่ทำงานอยู่บ้านหลานสาว โทรศัพท์มาบอก“ใช่ค่ะป้าหงุ่น เดือนก่อนคุณธีพาเพื่อนมาเรียนทำขนมกับพี่ส้ม ตอนนี้เห็นว่าเพื่อนกลับเยอรมันไปแล้ว แต่คุณธีก็ยังแวะมาหาทุกอาทิตย์ มากินข้าวบ้าง มาซื้อต้นไม้บ้าง หนูว่าเป็นข้ออ้างทั้งนั้นล่ะค่ะ...”สายขององุ่นหัวเราะคิกคัก ก่อนพูดต่อไปว่า“คุณธีคงจะเดินหน้าจีบพี่ส้มหวานจริง ๆ จัง ๆ อย่างที่ป้าหงุ่นหวังแล้วล่ะค่ะ”“ขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็แล้วกัน ป้าล่ะกลัวจะแก่ตายก่อนได้เห็นหลานเป็นฝั่งเป็นฝา”“อ้าว... ทำไมจู่ ๆ พูดแช่งตัวเองอย่างนั้นล่ะคะ”“เออ ๆ ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อยนั่นล่ะ”องุ่นว่า หล่อนเพิ่งเกษียณจากราชการในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ยังไม่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ คงยังเร็วไปที่จะพูดจาดราม่าแบบวัยไม้ใกล้ฝั่ง“ขอบใจนะนิดหน่อยที่โทรมารายงานความคืบหน้า มีอะไรก็โทรมาบอกอีกนะ”“ได้เลยค่ะป้าหง