บุรุษทั้งสองต่างก็ครางกระหึ่มในลำคอเมื่อได้ยินเสียงครางแว่วหวาน คล้ายกับเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีจึงเร่งเร้าจ้วงแทงเข้าออกอย่างไม่ลดละโหมกระหน่ำราวกับพายุถี่ ๆ จนในที่สุดร่างสวยที่อยู่ตรงกลางก็สะท้านเกร็ง
“อ๊ายยยยยยยยยย”
เฟิ่งอี๋กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง กล้ามเนื้อตรงจุดเชื่อมต่อบีบรัดแท่งหยกตึบ ๆ น้ำหวานไหลทะลักออกพรวด ๆ รู้สึกคล้ายวิญญาณออกจากร่างแล้วทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
"หืมมมมม....”
บุรุษหนุ่มทั้งคู่ขบกรามจนหน้าบิดเบี้ยว เมื่อแท่งหยกของพวกเขาถูกนางบีบรัดจนแทบระเบิด พวกเขาจึงจ้วงอัดหนัก ๆ เป็นครั้งสุดท้าย แล้วแหงนหงายคำรามกึกก้อง
“อ้ากกกกกก”
เรือนร่างบุรุษหนุ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง กระตุกเสียวหงึก ๆ พร้อมกับสาดซัดน้ำอุ่น ๆ เข้าไปในโพรงสวาททั้งด้านหน้าและหลัง ในขณะที่ร่างของสวยตรงกลางหลับตาพริ้มอ่อนระทดระทวยรู้สึกอุ่นซ่านภายในเรือนกาย
ทั้งสามกอดกันและกันประสานเป็นหนึ่งเดียว อยู่ในท่านั้นราวกับว่านานชั่วกัปชั่วกัลป์ จากนั้นจึงค่อย ๆ ทรุดกายเอนลงนอนลงพลางหอบหายใจแรง
ณ หอไซ้ยเกอ
บุรุษผู้หนึ่งนั่งมองตนเองในกระจกตาไม่กะพริบ แม้จะอยู่ในร่างนี้หลายวันแล้ว แต่เฉินเฉิงก็ยังรู้สึกแปลกตากับบุรุษในกระจกที่ไม่ใช่ตัวเขา เพราะร่างนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุไม่น่าจะเกิน 18 ปีด้วยซ้ำ
หากก่อนตายเขาไม่เคยประสบเหตุการณ์สลับวิญญาณในร่างผู้อื่นมาก่อน อย่างเช่นเฟิ่งอี๋ฮองเฮาที่มาอยู่ในร่างของฟางเหริน ฆ่าเขาให้ตาย เขาก็ไม่มีวันเชื่อว่าตนเองได้อาศัยของผู้อื่นฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้วจริง ๆ
ในระหว่างที่เขายังเป็นวิญญาณนั้น ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนอยู่ที่ใด คล้ายกับว่าเพียงแค่หลับไป แล้วเมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็อยู่ในร่างนี้แล้ว
เฉินเฉิงสอบถามคนรับใช้ของหอไซ้ยเกอทำให้ทราบว่าฮ่องเต้ตายเมื่อ 4 ปีก่อน อีกทั้ง ฉู่อ๋องได้ถูกสังหารในข้อหากบฏ ไม่นานนักไทเฮาก็สิ้นพระชนม์ สิ่งที่รับรู้นั้นราวกับอสนีบาตสวรรค์ฟาดลงมาที่หัวเขา จนเขารู้สึกชาไปทั้งร่าง น้ำตารินไหลออกมาเงียบ ๆ แม้กระทั่งวันนี้ เขาก็ยังรู้สึกสิ้นเรี่ยวแรง
แอด.....
เสียงเปิดประตู ดึงให้สติของเฉินเฉิงกลับมาอยู่กับตัว สาวรับใช้ผู้หนึ่งผลักประตูเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตเขาก่อน หรือส่งเสียงให้เขารับรู้แม้แต่น้อยซึ่งเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เขาต้องปรับตัวให้ได้
หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่เขายังเป็นฮ่องเต้นั้น ยากนักที่ใครจะเข้าพบได้ง่าย ๆ ต้องรายงานถึงสามชั้น หนึ่งทหารรักษาความปลอดภัยตรวจค้นตัวก่อนเหยียบย่างเข้าวังหลวง สองรายงานต่อราชเลขาขอเข้าพบ และสามต้องให้ขันทีนำเข้าเฝ้า
สาวใช้นางนั้นวางถาดอาหารเช้า และยาเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกไปเงียบ ๆ ขณะที่เฉินเฉิงเดินมานั่งที่โต๊ะ สตรีในชุดเฉิดฉายก็เดินนวยนาดเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงแหลมสูงทักทายว่า
“พ่อหนุ่มเทพเซียนของข้า เช้านี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
เจียวมี่ แม่เล้าของหอหอไซ้ยเกอนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับบุรุษเจ้าของห้อง จากนั้นก็ปรายตามองเขาอย่างพิจารณาพร้อมกับรอยยยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ หลังจากที่เขาอาละวาดเมื่อครั้งก่อน นางก็เชิญหมอให้มาตรวจรักษาเขา คาดว่าหมอคงจะจัดยาให้ถูกโรคไม่น้อยเพราะนอกจากรอยฟกซ้ำที่เกิดจากการถูกซ้อมจะหายไปแล้ว อาการคลุ้มคลั่ง และคิดว่าตนเองเป็นฮ่องเต้ก็เหมือนจะหายไปเช่นกัน
“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณท่านที่เมตตา”
เฉินเฉิงกล่าววาจาอย่างสำรวม หลุบตาลงต่ำซ่อนความสับสนไว้ในใจ เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเช่นไร เมื่อต้องอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มที่ไม่มีความคล้ายตนเองในชาติก่อนแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอายุ รูปโฉม หรือแม้กระทั่งฐานันดร
“ได้ยินเช่นนี้ข้าก็เบาใจ ในเมื่อเจ้าแข็งแรงขึ้นแล้ว เจ้าก็ควรทำงานตอบแทนน้ำใจข้าได้แล้ว”
เจียวมี่ ส่งสายตาอย่างมีความหมายให้บุรุษตรงหน้า
เฉินเฉิงเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่เล้า น้ำเสียง และแววตาหยาดเยิ้มเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกสะท้านในอก
“ทะ.... ท่านจะให้ข้าตอบแทนเช่นไร”
เขาถามเสียงสั่น
“ทำงาน”
“ทำงาน”
เขาทวนคำด้วยความสงสัย พลางเบิกตากว้างขึ้น งานที่นางจะให้เขาทำ คือ อะไรกันหนอ
เจียวมี่ปิดปากหัวเราะคิก เมื่อเห็นแววตาตื่นตระหนกไร้เดียงสาของบุรุษผู้งดงามดุจเทพเซียน จากนั้นจึงเอ่ยต่อเขายิ้ม ๆ ว่า
“เจ้ารีบทานยา และอาหารเสียเถิด จะได้มีกำลังวังชา ทดแทนบุญคุณ”
หลังจากรับประทานอาหาร และจัดการธุระยามเช้าของตนเสร็จเรียบร้อย เฉินเฉิงก็ถูกเรียกให้เข้าไปหาเจียวมี่ที่ห้อง ห้องหนึ่ง โดยมีผู้คุมซ่องยืนอยู่สองด้านของประตู
“เข้ามาสิ”
เจียวมี่ขยิบตาให้เขาอย่างยั่วเย้า เขาเดาเอาว่ากิริยายั่วยวนบุรุษของนางคงทำบ่อย ๆ จนเป็นนิสัยติดตัวนางไปแล้ว
เฉินเฉิงก้าวเข้าไปในห้อง แล้วหยุดยืนห่างจากนางพอสมควรอย่างถือตัว แผ่นหลังเหยียดตรง มือขวาไพล่หลัง มือซ้ายกำไว้หลวม ๆ ยกขึ้นเล็กน้อยในระดับเอว เชิดใบหน้างามสง่าขึ้นเล็กน้อย
แม่เล้าเห็นท่าทางเช่นนั้นของหนุ่มน้อยก็หัวเราะคิกด้วยความเอ็นดูแล้วเอ่ยว่า
“ข้ารู้ว่าเจ้ารูปงามราวเทพเซียน เจ้าอายุไม่ถึงครึ่งของข้ากลับวางท่าใหญ่โตคับฟ้าปานนี้ หรือเจ้ายังคิดว่าตนเป็นฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์อยู่อีก”
เมื่อได้ยินคำทักท้วงดังนั้น เฉินเฉิงก็ปล่อยมือลงอย่างเงอะงะ แล้วแกล้งไอกลบเกลื่อนก่อนเอ่ยวาจา
“ไม่ทราบว่าท่านจะให้เรา....” เขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วรีบเปลี่ยนวาจาให้คล้ายกับสามัญชนว่า “ให้ข้าทำงานอะไร”
“งานง่าย ๆ แค่ปรนนิบัติลูกค้าสตรีที่มาหอนี้”
เจียวมี่เอ่ย
“ให้ข้าช่วยต้อนรับ แล้วยกอาหาร แลสุรามาให้พวกนางรึ”
เฉินเฉิงถามเพื่อความกระจ่าง
เจียวมี่หัวเราะเสียงแหลมสูงขึ้นอีกหน เมื่อเห็นสีหน้าอันไร้เดียงสาของเด็กหนุ่ม
“ทำแค่นั้นจะไปได้เบี้ย ได้ทองจากลูกค้าได้อย่างไรกัน”
“แล้วเป็นสิ่งใดเล่า”
เจียวมี่ยืนขึ้นแล้วเดินมาใกล้ ๆ บุรุษหนุ่มก่อนกระซิบข้างหูด้วยเสียงอันอ่อนหวานอย่างช้า ๆ ว่า
“รับแขก... บนเตียง...”
“ว่าไงนะ ! ท่านคงจะไม่ได้ให้ข้าทำเรื่องอย่างว่ากับสตรีมากมายเพื่อแลกเงินหรอกนะ !”
เฉินเฉิงใบหน้าซีดเผือด
“ใช่... เจ้าต้องนอนกับสตรีเพื่อตอบแทนที่ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ ทั้งค่ายา ค่าที่พัก ค่าอาหาร ทุกสิ่งล้วนมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น....”
เจียวมี่ตวาดเสียงแหลม หากนางไม่เห็นว่าเขาสามารถทำเงินให้นางได้มีหรือนางจะดูแลเขาดีเช่นนี้
“หม่อมฉันหนิงเฟยขออภัยที่เสียกิริยาแล้ว เนื่องจากหม่อมฉันอยากจะท่องบทกลอนถวายฝ่าบาทสักบทเพคะ”“เจ้า !.....”ใต้เท้าหมิงฉางกำลังจะอ้าปากตวาดนางอีกรอบ แต่เฉินเฉิง รีบยกมือขึ้นห้ามแล้วเอ่ยว่า“ว่ามาเถอะ”น้ำเสียงของเขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เขากลั้นใจรอฟังกลอนบทนั้นโดยไม่รู้ตัว“เจ้าคือสตรีเพียงหนึ่งเดียวในใจข้า ด้วยปัญญาล้ำเลิศเป็นหนึ่งในใต้หล้าในใจข้าเจ้าคือยอดบุปผาสง่างาม ทุกโมงยามเคียงคู่ครองบัลลังก์”เมื่อนางเอ่ยบทกลอนนี้จบลง เฉินเฉิงไม่ลังเลอีกต่อไปประกาศก้องให้ได้ยินทั่วกันทั้งท้องพระโรงว่า“จากนี้ไปหนิงเฟยเป็นฮองเฮาของเราแต่เพียงผู้เดียว”ทุกคนในท้องพระโรงต่างตะลึงอ้าปากค้างไปตามกัน ๆ ฮ่องเต้ที่ไม่แตะต้องสตรีมากกว่าสิบปี บัดนี้กลับประกาศแต่งตั้งดรุณีน้อยเป็นฮองเฮาทันทีที่พบหน้า และยังไม่ทันที่เหล่าขุนนางจะหายตกตะลึง ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่า“ทุกคนออกไปให้หมด ข้าจะอยู่กับฮองเฮาของเราเพียงลำพัง”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ออกไปจากท้องพระโรงด้วยความงวยงง แต่ก็มิได้มีผู้ทัดทานเพราะการที่ฮ่องเต้ยอมแตะต้องสตรีย่อมเป็นเรื่องดีแน่เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง เฉินเฉิงรีบสาวเท้าเข้ามาหาสตรีเบื้องล่าง
ราชครูต้าเว่ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งออกมาจากร่างไหลทะลักเปรอะเปื้อนแท่งทองคำบนพื้นเหล่านั้น แล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจตายจากนั้นเมื่อเห็นว่าทหารฝ่ายตรงข้ามถูกจับกุมเอาไว้หมดแล้ว ลี่จู่จึงนำกำลังทหารไปยังตำหนักของหลวนถงในลำดับต่อไป จนในที่สุดเขาก็ควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายภายในวังหลังเอาไว้ได้หลังเหตุการณ์ก่อกบฏสิ้นสุดลง แม่ทัพฉีเฮาและใต้เท้าจ้านได้อัญเชิญเฉินเฉิงฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ตามราชโองการของจักรพรรดินีเมื่อเฉินเฉิงฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์มังกรด้วยวัยเพียงสิบแปดพรรษา แล้วเขาก็ได้ทำตามคำขอของจักรพรรดินีทุกประการถึงแม้ว่าหน่วยพยัคฆ์ทมิฬจะถูกเชิดชูให้เป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน ภายใต้การดูแลขององค์ฮ่องเต้โดยตรง แต่สองพี่น้องฝาแฝดลี่จ้ง และลี่จู่ก็ไม่คิดรับใช้ราชสำนักอีกต่อไปจึงขอพระราชทานราชานุญาตให้พวกตนออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และรองแม่ทัพของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬบุรุษทั้งสองในอาภรณ์สีเรียบนั่งบนอาชาพ่วงพีด้วยกิริยาองอาจ ม้าเหยาะย่างผ่านฝูงชนที่กำลังมุงดูป้ายประกาศของทางการ เรื่อง จักรพรรดินีฟางเหรินผู้ไร้คุณธรรมสังหารองค์หญิงฟางหรง ชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่งจักรพรรดินีด้วย
“เฟิ่งอี๋....ข้าจะพาเจ้ากลับวังหลวงไปรักษา... เจ้าอดทนสักหน่อยนะ.. เฟิ่งอี๋”เฉินเฉิงใช้แขนเสื้อซับเลือดให้นางอย่างกระวนกระวาย เลือดของนางออกมากเกินไปแล้ว เขาต้องพานางกลับวังไปรักษา จึงพยายามออกแรงเพื่ออุ้มนางให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็ต้องจำยอมทรุดตัวลงนั่งกอดนางไว้แนบอกตามเดิมเพราะเสียงผะแผ่วของนางดังขึ้นว่า“ฝ่าบาท... ไม่มีประโยชน์เพคะ”เสียงขาดหายเป็นห้วง ๆ ของนางทำให้เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป เพราะเกรงว่าหากเขาขยับเพียงน้อยนิด ลมหายใจของนางก็จะถูกสายลมช่วงชิงไป“หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทรับปากสามประการ.... ประการแรก ฝ่าบาทโปรดอภัยโทษให้แก่หลวนถงทุกคน ประการที่สองขอฝ่าบาทโปรดดูแลหน่วยพยัคฆ์ทมิฬแทนหม่อมฉันด้วย”ลี่จ้งได้ยินดังนั้น ก็สะอื้นไห้หนักขึ้น แม้จวบจนวินาทีสุดท้ายพระนางยังทรงรักและห่วงใยชีวิตข้ารับใช้อย่างพวกเขาหลังจากนี้หากพระนางไม่ขออภัยโทษ หลวนถงที่มีฐานะเป็นชายาบำเรอของจักรพรรดินีต้องถูกประหารให้ตายตกตามกันไป ส่วนหน่วยพยัคฆ์ทมิฬนั้นได้ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติการโหดเหี้ยมอำมหิตมีศัตรูมากมาย หากพระนางสิ้นลงเหล่าขุนนางที่มีใจเจ็บแค้นต้องถวายฎีกาให้ลงทัณฑ์พวกเขาปางตายเป็น
ใต้เท้าจ้านรับม้วนราชโองการสีทองไว้ด้วยมือสั่นระริก หัวของเขาถึงกับสรรหาถ้อยคำที่จะเอ่ยออกมาไม่ถูก การสนทนาของแม่ทัพทั้งสองเมื่อครู่ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่า แม่ทัพฉีเฮาเป็นสายลับขององค์จักรพรรดินีที่แฝงตัวอยู่ข้างกายองค์หญิงฟางหรง มิน่าเล่า แม้นว่าจะอยู่ไกลถึงพันลี้ แต่พระนางยังทรงล่วงรู้แผนการขององค์หญิงมาตลอดราวกับว่าเห็นได้ด้วยตาตนเอง“พระนางทรงรับสั่งเอาไว้ว่า... เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วให้ท่านเป็นผู้ประกาศราชโองการนี้”ลี่จ้งเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นใต้เท้าจ้านได้ยินดังนั้น พลันรู้สึกว่าม้วนราชโองการในมือหนักขึ้นมาเป็นร้อยเท่าพันทวี เหงื่อเม็ดใหญ่ถึงกับไหลย้อยลงที่ขมับ“ท่านโปรดวางใจเถิด ข้าจะทำตามนั้น”ใต้เท้าจ้านแบกรับหน้าที่สำคัญเอาไว้ด้วยใจ ในอกเขาคล้ายกับมีความตื้นตันลูกใหญ่ถาโถมขึ้นมาจนรู้สึกตีบตันที่ลำคอ เมื่อรู้ว่าจักรพรรดินีที่ใคร ๆ ต่างมองว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้คุณธรรม แต่ความจริงแล้วที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดก็เพื่อปกป้องบัลลังก์มังกรเพื่อคืนให้แก่ฮ่องเต้“เหตุใดพระนางต้องกระทำการที่เลี่ยงแก่ชีวิตตนเองเช่นนี้ด้วย”แม่ทัพฉีเฮาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กลยุทธ์ในการศึกมีมากก
คำถามที่เป็นเหมือนดังเช่นคำตัดพ้อของเฟิ่งอี๋ทำให้เฉินเฉิงชะงักไป ทุกถ้อยคำที่นางเอ่ยมาล้วนตรงกับสิ่งที่เขาคิดทั้งสิ้น หากตอนนั้นนางบอกเขาตรง ๆ ว่าน้องสาวสายเลือดเดียวกันคิดจะฆ่าเขาเพื่อชิงบัลลังก์ เขาก็คงไม่เชื่อ และจะระแวงสงสัยนางเสียอีกว่ายั่วยุให้เขาสังหารพี่น้อง ดังนั้น นางจึงใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้เขาเห็นกับตาตนเององค์หญิงฟางหรงยิ้มเยาะออกมาแล้วเอ่ยยั่วอารมณ์เฟิ่งอี๋ว่า“ฮองเฮา... ท่านทรงรักฝ่าบาทยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ฝ่าบาทเคยพระราชแพรขาวปลิดชีพท่านจนตายมาแล้ว นอกจากท่านจะไม่แค้นแล้วยังปกป้องเขา ช่างโง่งมจริง ๆ”“ฟางหรง ! เจ้าหยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว”เฉินเฉิงตวาดออกมาด้วยความโมโหที่นางตั้งใจยั่วยุให้เขาและเฟิ่งอี๋ขัดแย้งกันอีก ทั้งยังกลัวว่านางจะไม่ให้อภัยเขา“หม่อมฉันก็ไม่ได้โง่พอให้องค์หญิงได้ครอบครองบัลลังก์มังกรได้อย่างสมใจนึกหรอกเพคะ”เฟิ่งอี๋เชิดหน้าตอบกลับอย่างท้าทาย“เจ้า !”ฟางหรงชี้นิ้วสั่นระริกไปใบหน้าหยิ่งผยองของสตรีอีกคน ขบฟันแน่นด้วยความโกรธเมื่อถูกยอกย้อนกลับในขณะที่สถานการณ์ตรงหน้ากำลังตึงเครียด สื่อหม่าก็ร้องโอดครวญขึ้นมาว่า “โอ๊ย... องค
เมื่อนางกินไก่ตุ๋นที่เฉินเฉิงนำมาให้จนหมดแล้วรู้สึกง่วง และอ่อนเพลียมากจึงเผลอหลับไป ครั้นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมายังรู้สึกว่าเหมื่อยล้าไปหมด เหงื่อผุดซึมตามตัวคล้ายกับว่าภายในร่างกายกำลังต่อต้านกับพิษ“ลี่จู่... ลี่จ้ง...”เฟิ่งอี๋ส่งเสียงเรียกขันทีข้างกายเสียงเบา ไม่นานนักผู้ภักดีทั้งสองก็ปรากฏกายขึ้นข้างแท่นบรรทม“พระนางทรงเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ สีหน้าไม่สู้ดีนัก”ลี่จู่รีบเข้าไปประคองนางลุกขึ้น ส่วนลี่จ้งนั้นรีบหาผ้าชุบน้ำมาซับใบหน้านางเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น“เราคิดว่า... เรากำลังถูกพิษ”“กระหม่อมจะไปสังหารฮ่องเต้เดี๋ยวนี้ !”ลี่จ้งขว้างผ้าในมือทิ้ง ผุดลุกขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด คนที่อยู่กับพระนางตลอดช่วงเย็นนี้มีเพียงเฉินเฉิงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้น คนที่วางยาพิษพระนางจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา“ช้าก่อน”เฟิ่งอี๋รีบเอ่ยห้าม เพราะรู้ว่าลี่จ้งวรยุทธ์สูงมากแค่ไหน เพียงแค่พริบตาเดียวก็สามารถปลิดชีพบุรุษอ่อนแอย่างเฉินเฉิงได้แล้ว“ฝ่าบาททรงทำร้ายพระนางครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดพระนางยังทรงอาลัยอาวรณ์ฝ่าบาทอยู่อีกเล่า”ลี่จู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขามิได้ใจแข็งดั่งเช่นพี่ชายฝาแฝด เมื่อรู้สึกปวดใจแ