LOGIN“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน
“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง
“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก
“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล
“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ
“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย
“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้
“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด
“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”
“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัย
อิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด
“ก็...”
จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น
“ไม่มีนะ”
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง
“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมา
รอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกับรู้สึกชาวูบวาบที่ใบหน้าเจื่อน ๆ นั้น
“และเธอก็บอกว่าคิดถึงเรามาก” หันมามองหน้าเธอแวบเดียวก่อนจะหันกลับไปมองที่หน้าจอทีวีอีกครั้ง และอ่านผลการแข่งขันที่วิ่งอยู่หน้าจออย่างตั้งใจ
“ล้อเล่นใช่ไหม?” จิวารีจ้องหน้าเขาจริงจังแบบไม่พร้อมจะเล่นด้วย
“เปล่า...พูดจริง” หันมามองหน้าเธอ เอามือแตะที่ริมฝีปากตัวเองและชี้ไปที่ปากเธอ
จิวารีหน้าแดงร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ไม่รู้จะโกรธหรืออายดี และไม่รู้จะทำตัวยังไง นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่ คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกหรือยังไงถึงพูดได้ชิวขนาดนี้ หรือเห็นเธอเป็นตัวตลกถึงล้อเล่นกับความรู้สึกเธอแบบนี้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแบบลืมเจ็บขาบวกกับความฉุนเฉียว ไม่กงไม่กินมันแล้วข้าว ก้าวขาได้เพียงก้าวเดียวก็ถูกมือหนาคว้าไว้และดึงเข้าไปหาตัวจนเธอล้มลงทับร่างเขา เหมาะเจาะเหมือนจับวางร่างบางนั่งทับลงที่ตักเขาพอดิบพอดี
“ปล่อย” ดันแขนที่กอดรอบเอวออก
“ไม่ปล่อย” และกอดแน่นขึ้น
“ดิน” ดุเขาเสียงแหลม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันทันที
พร้อมกับน้ำในตาที่มันเตรียมเอ่อขึ้นมาแล้ว เจ็บใจตัวเองแทนที่จะเด็ดขาดกับเขาให้รู้เสียบ้างว่าอย่างมาเล่นล้ำเส้นแบบนี้ แต่ความรู้สึกลึก ๆ ข้างในกลับพอใจในอ้อมกอดสำรองจากเขาเสียได้ ทั้งที่รู้ว่าเป็นแค่เพื่อนแต่ทำไมเขาถึงทำกับเธอแบบนี้ หรือเป็นตัวเองกันแน่ที่เผยไต๋ให้เขาจับได้
“ไปเอามาจากไหนว่าเราเป็นแฟนกับน้ำฝนและพาน้ำฝนไปเปิดตัวกับแม่”
ถามอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นแววตาของคนในอ้อมแขนไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จิวารีนิ่งไปชั่วขณะ เบี่ยงหน้ามาจ้องเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“อยากรู้อะไรทำไมไม่ถาม คิดเองเออเองทำไม?” ชายหนุ่มพูดต่อ ตอนนี้ปลายคางของเขาวางอยู่ที่ไหล่เธอ มือยังโอบกอดเอวคอดไว้
“ไม่ได้คิดเอง” หน้างออย่างลืมตัวและหันไปทางอื่น
“เรากับน้ำฝนแค่คนรู้จักเท่านั้น” อธิบายอย่างใจเย็น
“วันนั้นที่น้ำฝนมาที่ร้านคือมาดูสถานที่ที่จะจัดปาร์ตี้ฉลองกับครอบครัว และขอให้เราพามาดูเท่านั้นเอง ไม่เชื่อโทรไปถามคุณนายยี่หวาเองก็ได้” ยังติดปากเรียกฉายาของแม่แบบเดิมอยู่
“ไม่...นั่นแม่นายนี่” ความหมายคือจะโกหกอะไรก็ได้อยู่แล้วแม่ลูกก็ต้องเข้าข้างกันสิ
“งั้นก็ถามน้ำฝน” พูดอยู่ข้างหูเกยคางลงไหล่เธอแบบเต็มที่ เพื่อนกันเขาทำแบบนี้เหรอ
“ไม่” กะพริบตาหนัก ๆ หน้างอจนแก้มตุ่ย ทำไมงอนได้น่ารักขนาดนี้นะอิทธิพลคิดในใจ เพื่อนที่ไหนจะมาอธิบายเรื่องผู้หญิงคนอื่นให้เข้าใจแบบนี้ถ้าไม่แคร์ ปฏิกิริยาที่แสดงออกต่อกันแบบนี้ ความรู้สึกที่สื่อถึงกันและกันที่สัมผัสได้ ติดอยู่แค่ความปากแข็งและปากหนักเท่านั้นที่กั้นอยู่
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์และกดโทรออกหาน้ำฝนและเปิดลำโพงให้เธอได้ยินเสียงไปพร้อมกัน จิวารีอยากจะห้ามเขาแต่อีกใจก็อยากจะฟัง ดูซิว่าจะโกหกอะไรต่อ
(“ค่ะพี่ดิน”) เสียงสดใสของน้ำฝนที่มาตามสาย
“น้ำฝนว่างหรือเปล่าพี่ขอรบกวนแป็บนึงได้ไหม?” น้ำเสียงอบอบอุ่นที่น้ำฝนหลงใหล
“ฝนยุ่งอยู่ค่ะแต่คุยได้...พี่ดินมีอะไรเหรอคะ?” ทั้งที่ดีใจมากที่เขาโทรหาแต่เธอก็แค่อยากแสดงนิดหน่อยเท่านั้น
“พอดีพี่มีเรื่องจะให้น้ำฝนช่วยยืนยันให้หน่อย”
(“เรื่องอะไรเหรอคะ?”)
“มีคนสงสัยว่าน้ำฝนไปที่ร้านฮันนี่โฮมทำไมวันนั้น?”
(“ก็ไปดูสถานที่และรายการอาหารสำหรับจองงานเลี้ยงของครอบครัวฝนไงคะ”) ตอบไปทั้งที่ยัง งง ๆ อยู่
(“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่ดิน?”) เริ่มรู้สึกแปลก ๆ แล้ว
อิทธิพลไม่ตอบคำถามน้ำฝน แต่ป้อนคำถามใหม่
“แล้วก็...มีคนเข้าใจผิดคิดว่าน้ำฝนกับพี่กำลังคบกัน น้ำฝนช่วยพูดความจริงหน่อยได้ไหมว่าคืออะไร?” ผู้หญิงบางคนที่ชอบมโนว่าผู้ชายคนนั้นคนนี้เป็นของตัวเองมันก็ไม่แปลกหรอก แต่ถ้าเที่ยวโพนทะนาความเท็จให้คนอื่นฟัง สร้างความร้าวฉานให้คนอื่นก็ต้องโดนแบบนี้บ้าง นี่คงเป็นคำบอกกล่าวลอย ๆ จากเขาที่ส่งถึงเธอ
“พี่ดินหมายความว่าไงคะ?” เสียงสดใสของน้ำฝนเหมือนจะฝืด ๆ แล้ว
“ดินพอแล้ว” จิวารีกระซิบกระซาบ แต่กระนั้นเสียงก็ยังเล็ดลอดเข้าไปในสาย น้ำฝนนิ่งฟังเสียงผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขาก็พอจะเข้าใจได้ว่าเขาหมายถึงอะไร เขาจำเป็นต้องทำขนาดนี้ไหม ถึงเขาจะไม่แคร์เธอเลยสักนิดแต่มารยาทและความเป็นสุภาพบุรุษก็ควรมีบ้าง
“พี่ขอโทษนะน้ำฝนพี่รู้ว่าเสียมารยาทที่ทำแบบนี้” เหมือนได้ยินในสิ่งที่เธอคิด
“แต่พี่แค่อยากยืนยันว่าพี่กับฝนไม่ได้คบหาดูใจกันเหมือนที่คนอื่นเข้าใจผิด เราเป็นแค่คนรู้จักและพี่น้องร่วมชมรมกันเท่านั้น ขอบคุณฝนมากนะ พี่รบกวนแค่นี้แหละ”
และวางสายไป โทรไปหาและบอกให้เธอยืนยันความสัมพันธ์ แต่กลับเป็นตัวเองที่อธิบายให้เธอรู้เองอย่างเสร็จสรรพบวกกับความจุกที่ทิ้งไว้ให้
นี่คือการสั่งสอนแบบคนมีมารยาทและบอกเลิกตั้งแต่ยังไม่คบในแบบฉบับของอิทธิพล ทิ้งให้น้ำฝนนั่งนิ่งอยู่กับความมึนแบบไม่ทันได้ตั้งตัวอยู่อย่างนั้น อุตส่าห์บอกเพื่อนว่าคบกับเขา แต่กลับโดยผู้ชายเทซะหมดท่า นี่ฉันเป็นถึงดาวชมรมเชียวนะ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน
อิทธิพลวางโทรศัพท์ลงและหันมามองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่ทำตาปริบ ๆ ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้
“เชื่อหรือยัง?”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” พูดเสียงอ่อย
“นายจะคบกับใครมันก็สิทธิ์ของนาย เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นฉันมีสิทธิ์อะไรจะไปยุ่งกับชีวิตนายล่ะ” เหมือนพูดกับอากาศเพราะไม่มองหน้าเขา
“แล้วที่บอกคิดถึงเมื่อคืนล่ะ” นี่เขากำลังรุกเธออยู่ใช่ไหม
“คิดถึง...ใคร ๆ ก็คิดถึงกันได้ป่ะ...เพื่อนคิดถึงกันไม่ได้หรือยังไง?” ยังปากแข็งทั้งที่ตัวเองก็นั่งให้เขากอดอยู่ไม่ลุกไปไหน
“แล้วเพื่อนกันต้องจูบกันด้วยเหรอ?” คางที่เกยไหล่อยู่ถูไปมาคลอเคลียเหมือนลูกแมว
“….”
“ไม่ได้จูบหรอกนายแต่งเรื่อง นายเห็นฉันเมาก็เลยแต่งเรื่องมาแกล้งฉัน”
เถียงข้าง ๆ คู ๆ เสียงกระท่อนกระแท่น ดันมือที่โอบเอวอยู่ออก และดันตัวเองลงจากตักเขามานั่งที่โซฟา
อิทธิพลหันข้างมาเผชิญหน้ากับเธอ ดึงมือหญิงสาวมากุมไว้ จ้องหน้าคนปากแข็ง จิวารีนั่งนิ่ง หิวก็หิว ไหนจะต้องมาใจหวิว ๆ กับสัมผัสของเขาอีก แต่ก่อนถูกเนื้อต้องตัวกันก็ออกบ่อย แต่ตอนนี้ทำไมนะแค่ใกล้กันใจก็สั่นเสียแล้ว
“เราไม่ชอบเวลาที่เธออยู่กับผู้ชายคนอื่น”
“ไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้เธอ”
“และเราไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอแล้ว” มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย
จิวารีจ้องหน้าเขา ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม สิ่งที่เขาพูดหมายความว่ายังไงนะ
“เราเป็นแฟนกันนะ” ไม่ใช่ประโยคคำถาม และไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นประโยคบอกเล่า ที่ทำจิวารีสตั๊นไปชั่วขณะ เผยอปากน้อย ๆ เบิกตาโตมองเขาแบบไม่เชื่อหูตัวเอง การขอเป็นแฟนจะไม่โรแมนติกสักหน่อยเลยหรือยังไง แต่ได้แค่นิ่งเงียบเท่านั้น
อิทธิพลยื่นหน้าเข้าใกล้ ตอนนี้สองใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ ปลายจมูกใกล้จะชนกันแล้ว ชายหนุ่มหลุบตามองริมฝีปากเธอที่ตอนนี้ปิดสนิทแล้ว
“เมื่อคืนเธอเมามาก เธออาจจะจำไม่ได้” นิ้วโป้งเกลี่ยที่หลังมือหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
“แต่เธอจูบเราจริง ๆ” โกหกชัด ๆ ทั้งที่ตัวเองต่างหากที่เป็นคนเริ่ม
พูดจบก็ประทับจูบลงไปอย่างแผ่วเบา จิวารีนั่งตัวแข็ง หลับตาพริ้ม พร้อมกับภาพเก่าในคืนนั้นที่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับเก็บบันทึกความรู้สึกและสัมผัสใหม่จากเขาในวันนี้ ที่สติสัมปชัญญะของเธอมีอยู่เต็มร้อย เช่นเดียวกันกับอิทธิพลที่บรรจงจูบอย่างอ่อนโยน นุ่มนวล ออดอ้อนชวนให้เธอจูบตอบ สัมผัสจากเขาที่มอบให้เธออย่างตั้งใจเพื่อสร้างความคุ้นชิน ดึงเอวบางเข้ามากอดลูบวนแผ่นหลังบอบบางอย่างนุ่มนวล เมื่อลิ้นอุ่น ๆ ดันเข้าไปค้นหาความหวานด้านในของเจ้าของปาก ที่ยินดีต้อนรับจูบอ่อนหวานจากเขาอย่างเต็มใจ
จิวารีวางมือที่แผ่นอกแข็งแรง และเริ่มดันออกห่างเมื่อเขาเริ่มเพิ่มความหนักหน่วงขึ้น จนเธอเริ่มต้องการอากาศหายใจเพิ่ม เขาคือจูบแรกของเธอชายหนุ่มรู้ดีตั้งแต่คืนนั้นแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนจูบลงเป็นแตะเบา ๆ และถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง
ไม่ต้องตอบก็รู้ว่าเธอตกลงหรือปฏิเสธจากภาษากายที่แสดงออกมาให้เขาได้รับรู้
“เป็นแฟนกันแล้วนะ” วางหน้าผากชนกัน ถูจมูกไปมากับปลายจมูกเธอ ก่อนจะจุ๊บลงที่ปากบางแบบแตะเบา ๆ ดึงเธอเข้ามากอดซึมซับความคิดถึงย้อนหลังเข้ามาเก็บไว้ ตอนนี้คางเธอเกยอยู่ที่ไหล่กว้าง เอวบางถูกรัดด้วยวงแขนแข็งแรง
“อือ” จิวารีพยักหน้าในอ้อมแขนพร้อมรอยยิ้ม หลับตารับความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่เธอเฝ้าคิดถึง มือโอบกอดลำตัวเขาไว้แน่น เพิ่งรู้ตัวว่ารักเขามากเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ทำไมวันนี้มันเหมือนว่ารักมากกว่านั้นได้อีกนะ ก่อนเสียงออดที่หน้าประตูจะดังขึ้น
“อาหารมาส่งแล้ว” อิทธิพลกระซิบข้างหู และขบลงที่ติ่งหูเบา ๆ แกล้งเธอ จิวารีห่อไหล่จั๊กจี๋และผละออกจากอ้อมอกเขาก่อนจะลุกขึ้นยืน และเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองหิวจนไส้จะกิ่วอยู่แล้ว อิทธิพลลุกขึ้นยืนข้างเธอจับไหล่หญิงสาวดันให้หันหลัง สองมือดันสะโพกเธอให้เดินไปด้วยกัน ก่อนเปิดประตูก็โน้มหน้าลงมาหอมแก้มก่อน อะไรจะเปลืองตัวขนาดนี้จิวารีคิดในใจ แต่ได้แค่อมยิ้มและเขินในใจเท่านั้น
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







