LOGINสองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย
จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย
“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”
“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ
“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง
“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”
“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผาก
จิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา
“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มและจ้องหน้า ก่อนจะจูบแตะแผ่วเบาที่ริมฝีปากเธอ
“เปล่า” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เมื่อรู้ว่าตัวเองติดกับมุมอ่อนโยนของเขาเสียแล้ว
“นอนลงเดี๋ยวนวดขาให้” อิทธิพลบอกด้วยท่าทีอ่อนโยน
จิวารีหยิบหมอนมาวาง เอนตัวลงนอนโซฟายื่นปลายขามาพาดที่ตักเขา อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องฝึกหัดของผู้บริหารป้ายแดงของรัตนไพโรจน์คือการนวดขาให้คนรักสินะ อิทธิพลลงน้ำหนักมือกำลังดีทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน นวดคลึงที่ขาและปลายเท้าให้
“สบายไหม?”
“อืม...สบายมากเลย” หลับตาผ่อนคลาย
การแข่งขันที่หน้าจอทีวีเริ่มขึ้นแล้ว มือที่กำลังนวดอยู่ก็เปลี่ยนเป็นนวดบ้างไม่นวดบ้าง เพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับลูกกลม ๆ ในการแข่งขันตรงหน้า จิวารีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่นโชเชียลพร้อมกับฟังเสียงบรรยายการแข่งขันไปพร้อมกัน กลิ่นแอลกอฮอล์จากแก้วที่เขาดื่มมันแรงเกินไปถึงแม้จะเคยเป็นพริตตี้เชียร์เหล้าก็เถอะ ลุกไปเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบมาทำเหล้าป็อกเสียเลย ส่วนคนดูบอลก็ลุ้นต่อไป
น้ำอัดลม มะนาว เกลือ โซดา และอีกหลายอย่างที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะรอผสมตามสูตรที่เธอและเอวาเคยทำดื่ม หญิงสาวนั่งลงข้างเขาก่อนจะลงมือทำเหล้าผสมรสเลิศสำหรับตัวเอง หากเอวาอยู่ด้วยก็คงดีจะได้มีเพื่อนดื่ม แก้วต่อแก้ว เหล้ารสชาติดื่มง่ายก็เมาง่ายเช่นเดียวกัน เพียงไม่นานร่างบางก็สลบไสล นอนหนุนตักเขาหลับสนิท แน่นิ่ง
“หลับแล้วเหรอ?” อิทธิพลลูบเรือนผมคนที่นอนหนุนตักอยู่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อปล่อยให้เธอหลับอยู่อย่างนั้นจนการแข่งขันจบลง
“จิ๋ว” ก้มลงเรียกมือเกลี่ยผมมาทัดหู จับปลายคางเขย่าเบา ๆ เป็นการปลุก
“อื่อ”
“ไปนอนได้แล้วดึกแล้ว”
หญิงสาวงัวเงียตื่น ลุกขึ้นนั่งสะลึมสะลือ ขณะที่ชายหนุ่มปิดทีวีและเดินไปปิดม่าน เธอก็เดินไปทิ้งตัวนอนลงที่เตียงของเขาแบบหลับปุ๋ยต่ออย่างสบายใจ อิทธิพลมองตามร่างบางพลางคิดในใจ เอาจริงเหรอ
เดินตรงไปที่เตียงทิ้งตัวลงนอนข้างคนตัวเล็กหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมสองร่าง พลิกตัวกอดคนที่นอนหันหลังให้ ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้
“หลับแล้วเหรอ?” กระซิบข้างหู
“อื่อ”
จับตัวเธอพลิกให้หันมาเผชิญหน้าภายใต้แสงไฟสีนวลจากโคมไฟหัวเตียง แต่ร่างบางที่อ่อนปวกเปียกไม่ตอบสนองการกระทำใด ๆ ของเขาแล้ว
“หลับจริงหรือแกล้ง?” ยกตัวขึ้นค้ำศอกลงที่นอน จิวารีซุกตัวแนบกับแผ่นอกแข็งแรง เบียดตัวเข้าใกล้เขา อิทธิพลจูบลงที่ริมฝีปากเธอ แต่เป็นแค่เขาคนเดียวเท่านั้น เพราะคนเมาสิ้นฤทธิ์แล้ว และแน่นอนว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะตบมือข้างเดียวมันคงไม่ดัง
“เฮ้อ” ก่อนจะถอนหายใจและล้มตัวลงนอน
คนอะไรชอบเมาทิ้งตัวขนาดนี้ แถมทิ้งความทรมานไว้ให้คนอื่นอีกต่างหาก
เสียงอาบน้ำให้ห้องน้ำปลุกหญิงสาวให้ตื่นในตอนเช้าตรู่ ลืมตาขึ้นกวาดสายตาไปทั่วบริเวณพร้อมกับลำดับเหตุการณ์ ลุกพรวดสำรวจตัวเอง ก่อนจะผ่อนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสภาพของตัวเองยังปกติดีทุกอย่าง ครบชุดเดิมก่อนเข้านอน และรีบลุกจากเตียงกลับห้องก่อนที่เขาจะออกจากห้องน้ำมา
วันหยุดที่ควรตื่นในตอนสายเพราะไม่ต้องเข้าบริษัท แต่จำเป็นต้องลุกจากที่นอนเพราะเจ้าน้องชายมันตื่นมาตั้งโด่จนเป้าตุงกับคนข้าง ๆ ที่นอนกอดอยู่ มือบางซุกซนของเธอสอดเข้าในเสื้อเขาเพื่อหาไออุ่นและเลื่อนต่ำลงเรื่อย สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่สะดือ ซุกหน้าเข้ากับอ้อมอกเขา สอดขาเข้าไปก่ายพาดกับขาชายหนุ่ม เป่ารดลมหายใจปะทะลูกกระเดือกอยู่อย่างสม่ำเสมอ
กลิ่นเหล้าป๊อกบวกกับกลิ่นกายที่หอมอ่อน ๆ ของเธอ มันปลุกแท่งหฤหรรษ์บนกลางกายชายให้ตื่นขึ้นมา กว่าจะข่มตาให้หลับได้ในตอนกลางคืนก็ทรมานสุด ๆ แล้ว ยังจะต้องมาทรมานตอนตื่นอีก สุดท้ายก็ต้องลุกเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำอยู่นานสองนานกว่าจะเบาตัว ออกจากห้องน้ำมาก็มีเพียงความว่างเปล่าบนเตียงเท่านั้น
.....
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านช่องม่านหนาราคาแพงเข้ามาให้รู้ว่าเช้าแล้ว เอวาซุกตัวในอ้อมกอดของแผ่นอกแข็งแรงภายใต้ผ้าห่มอุ่นบนเตียงนุ่ม สองร่างที่ปราศจากอาภรณ์ใด ๆ กางกั้น ห้องทั้งห้องกลายเป็นสีชมพู และอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัก เธอยังคงนอนซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของชายคนรัก พร้อมกับคำพูดของผู้เป็นแม่ที่ดังเข้ามาในหัว
ในวันที่เธอเอ่ยถามว่าคาดหวังกับการเลือกคู่ชีวิตของเธอมากน้อยเพียงใด หากทุกอย่างไม่เป็นดั่งที่พิมพ์พรรณคาดไว้จะผิดหวังหรือไม่ ความเหมาะสม ฐานะ และชาติตระกูล หรือจะเป็นผลประโยชน์เรื่องเครือข่ายธุรกิจของครอบครัว คนเก่ง คนฉลาด หรือแค่คนที่สามารถซัปพอร์ตและเป็นแบล็กให้กันได้เท่านั้น และคำตอบจากพิมพ์พรรณก็คือ
“สิ่งที่แม่ต้องการจากเอวามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“คืออยากเห็นหนูมีความสุขอยู่กับคนที่หนูรักก็พอ ขอให้หนูมั่นใจว่าเขาคนนั้นจะทำให้หนูมีความสุขแค่นี้แม่ก็ดีใจแล้ว ความเหมาะสม ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เรามีความสุขได้ ดูอย่างแม่กับพ่อสิ ไม่มีอะไรที่จะไม่เหมาะสมกันเลยสักอย่าง เพอร์เฟคจนคนอิจฉา หน้าที่การงาน ฐานะ การศึกษา และวงศ์ตระกูล แต่สุดท้ายความเหมาะสมนั้นก็แลกมาด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด”
เงยหน้ามองคนในอ้อมกอดพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ผุดขึ้น ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเธอก็จะไม่กังวลเลยสักนิด เพราะในวันนี้เธอมีความสุขอยู่กับคนที่เธอรัก และบอกตัวเองไว้เสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเธอจะคอยซับพอร์ทเขา เพื่อให้เขาเคียงข้างกับเธอได้อย่างมั่นใจ เอวาสายเปย์ซะอย่าง ยื่นหน้าเข้าไปจูบคางสาก และดันตัวเองลุกจากเตียงก่อนจะถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอด
“ขอนอนกอดต่ออีกได้ไหมอย่าเพิ่งลุก” จิวากรอ้อนทั้งที่ยังหลับตาอยู่
เธอไม่ตอบแต่ซุกตัวเข้าหาเขา และหลับต่อในอ้อมกอดอย่างมีความสุข
...
เสียงคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่งอย่างสม่ำเสมอ บวกกับเสียงนกนางนวลที่บินโฉบเฉี่ยวไปมาเล่นแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไป อิทธิพลจูงมือจิวารีเดินทอดน่องไปตามหาดทรายด้วยเท้าเปล่า สองมือสอดประสานส่งผ่านความอบอุ่นซึ่งกันและกัน ลมทะเลพัดปะทะสองร่างจนเสื้อผ้าพลิ้วแนบไปกับสรีระ พระอาทิตย์กลมโตอยู่ที่ขอบทะเลสาดส่องแสงสีส้มอ่อนกระทบผิวน้ำทะเลระยิบระยับวับวาว เหมือนกำลังเงี่ยหูฟังเสียงสนทนาของสองหนุ่มสาวอยู่
“เธอชอบเราตอนไหน?” เมื่อพูดถึงเรื่องราวในอดีตอยู่ดี ๆ เขาก็วกมาถามเธอ
“อืม...ไม่รู้เหมือนกันน่ะ...รู้แต่ว่าตอนนี้...รักมาก” ส่งสายตาเจ้าเล่ห์และทะเล้นเหมือนเด็ก ๆ เล่นกันมากกว่าการบอกรัก
“แล้วตัวเองล่ะ?” เปลี่ยนสรรพนามเรียกเขาแล้ว
“ไม่รู้สิ...แต่รู้ตัวอีกทีมันก็รักหมดใจไปแล้ว”
จะปล่อยให้เธอหยอดคำหวานฝ่ายเดียวได้ยังไง หันมามองหน้าคนถามดวงตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงความรู้สึกนั้นและช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยกัน
เรื่องราวมากมายถูกขุดขึ้นมาพูดคุยสร้างเสียงหัวเราะให้กับสองหนุ่มสาว บวกกับเสียงนกนางนวลที่แว่วผสานท่ามกลางเสียงลมทะเลและเสียงคลื่น ใบมะพร้าวที่ปลิวไสวเล่นลมเหมือนกำลังร่วมสนทนากับคู่รักที่กำลังจูงมือกันเดินไปตามชายหาด
เรื่องราวความผูกพันของเขาและเธอไม่ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหนคงไม่คิดจะหาคำตอบแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในวันนี้คือการเติมเต็มความรักความอบอุ่นให้กันและกัน เฝ้าพรวนดินรดน้ำหล่อเลี้ยงความรักให้เติบโตต่อไป ท่ามกลางความสุขของสองหัวใจที่จะเติมเต็มให้กันได้ แม้ไม่รู้ว่ามันจะยาวนานสักแค่ไหนก็คงไม่ใช่สาระสำคัญแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือความรู้สึกของสองหัวใจที่ตรงกันเท่านั้นก็พอ
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







