LOGINอิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว
“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่
“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย
“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกัน
รถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่
“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น
“ถึงบ้านแล้ว”
“อือ” พลิกตัวหลับต่อ
“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง
“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ
“เข้าใปนอนในบ้าน”
“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้าน
วางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง
“ทำไมเมาทิ้งตัวขนาดนี้นะ ปกติคอแข็งจะตาย” พูดคนเดียว
บิดผ้าที่ชุบน้ำเย็นออกหมาด ๆ แล้วเช็ดตามกรอบหน้าและลำคอให้ จิวารีปัดออกพัลวัน
“คนจะนอน...อย่ายุ่ง”
บ่นงึมงำและพลิกตัวหนี อิทธิพลพลิกตัวเธอกลับมาเช็ดตามมือและแขน
“บอกว่าไปให้พ้น” ปัดมือเขาออก พร้อมกับเป่าลมหายใจออกทางปาก อิทธิพลหยุดเช็ด นั่งมองเธออยู่อย่างนั้น
“ดิน” อ้อแอ้เรียกชื่อเขาแผ่วเบา ทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท
“จะเอาอะไร?” ก้มลงถามใกล้ ๆ
“ฉันเกลียด...นาย”
จุดอ่อนในใจมันทำงานได้ดีที่สุดตอนเราอ่อนแอนี่เอง เกลียดเขาที่ทำให้คิดถึง เกลียดที่ทำให้รัก และเกลียดตัวเองที่เพิ่งรู้ใจตัวเองดีก็ตอนเมาแบบนี้ เกลียดที่ไม่สามารถตัดใจจากความรู้สึกข้างในได้แม้ในวันที่เขามีคนอื่นแล้ว พร้อมกับน้ำตาที่ซึมออกมาแม้ดวงตาจะปิดอยู่
อิทธิพลนิ่งไปชั่วขณะที่ประโยคสุดท้ายหลุดปากเธอออกมา แต่ที่ทำให้เขารู้สึกแย่มากกว่าคำพูดนั้นมันคือน้ำตาของเธอต่างหาก เสียงสะอื้นเล็ก ๆ ที่เล็ดลอดออกมาให้ได้ยินภายใต้น้ำตาที่ไม่หยุดไหลนั้น อิทธิพลเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
“เราทำอะไรให้เธอโกรธหรือเปล่า?” ถามไปอย่างนั้น รู้ทั้งรู้ว่าคงไม่มีประโยชน์จะเอาอะไรกับคนเมา เหมือนเป็นการถามตัวเองเสียมากกว่า
“นายจะอยู่กับใคร...”
“จะไปไหนกับใคร...”
“ฉันไม่แคร์เลยสักนิด”
หลับตาบ่นเสียงขึ้นจมูกพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเป็นระยะเหมือนเด็กที่ต้องการให้โอ๋
อิทธิพลขมวดคิ้ว แน่ชัดแล้วว่าเขาต้องทำอะไรให้เธอไม่พอใจเป็นแน่ แต่นิสัยของจิวารีหากมีอะไรคาใจจะถามต่อหน้าให้จบ ๆ ไป นี่เขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อะไรกันที่ทำให้เธอโกรธถึงกับต้องหลั่งน้ำตา ชายหนุ่มเฝ้าครุ่นคิดหัวแทบแตกแต่ก็ไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง
“หิวน้ำ” เสียงไอเบา ๆ ทำปากจิ๊จ๊ะ งัวเงียทำท่าจะลุกขึ้นแต่ก็ไม่ไหวเมื่อหินก้อนใหญ่มันทับหัวอยู่ แถมยังเหมือนมีใครจับหัวเธอปั่นหมุนเหมือนลูกข่างอีกต่างหาก
“หิวน้ำเหรอรอแป็บนึง” เดินไปเปิดตู้เย็นและหยิบขวดน้ำมา กลับมานั่งข้างเตียงเปิดฝาขวดออกแต่ไม่มีหลอด
“ลุกขึ้นกินน้ำก่อน” มือช้อนหลังให้เธอลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มจ่อขวดน้ำที่ปากเธอ จิวารียกขวดน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ ตามด้วยเสียงถอนหายใจทิ้ง พยายามเปิดตาขึ้นมองภาพพร่ามัวตรงหน้า
“พอแล้วเหรอ?”
ภาพใบหน้าคุ้นเคยที่ไม่มีจุดโฟกัส มันเบลอจนตาลาย แต่กระนั้นก็ยังจำได้แม่นว่าคือเขา
“ดินเหรอ?”
“อือ”
“มาทำไม กลับไปเลย” แขนที่ไม่มีเรี่ยวแรงผลักเขาออกห่างตัว พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นขอบตาและหยดเผาะลงข้างแก้ม อิทธิพลดึงเธอเข้ามากอดฝ่ามือหนาลูบเรือนผมเธออย่างอ่อนโยน จิวารีซบหน้าลงที่ไหล่กว้างเสียงสะอื้นเล็ก ๆ ยังไม่หายไป
“ขอโทษนะ” ถึงแม้ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร มือที่ลูบอยู่เรือนผมเลื่อนลงมาที่แผ่นหลังบอบบางลูบวนไปมาแผ่วเบาเหมือนปลอบเด็ก
“ฉันคิดถึงนาย” เสียงแหบที่พูดอู้อี้อยู่กับซอกไหล่เขา
“….”
“คิดถึงมาก” ประโยคสุดท้ายที่มาพร้อมเสียงสะอื้น
อิทธิพลหลับตา ค่อย ๆ กระชับวงแขนให้แน่นขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกเหมือนซึมซับเอาคำพูดเมื่อครู่เก็บเข้าไปไว้ใต้ก้นบึ้งของหัวใจ ถึงแม้จะเป็นคำพูดของคนเมา
จับไหล่บางดึงเธอออกห่างตัว จ้องมองดวงตาท่ามกลางน้ำใส ๆ ที่ซึมออกมาเรื่อย ๆ จิวารีกะพริบตาช้า ๆ มองหน้าเขา ริมฝีปากปิดสนิทย่นขึ้นย่นลงจากการกลั้นร้องไห้ ชายหนุ่มเกลี่ยนิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่พวงแก้มออก
“เราก็คิดถึงเธอ...คิดถึงมาก”
คิดถึงและอยากอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา
หวง ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้เธอเลยแม้แต่น้อย
คิดถึงจนไม่สามารถเก็บไว้ในใจได้อีกต่อไป
ค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาหาก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปอย่างแผ่วเบาที่ปากเธอ มือประคองใบหน้าสวยไว้ จูบอย่างอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยความปรารถนาที่เก็บไว้นานจนเอ่อล้นออกมานอกอกแล้ว จูบอย่างโหยหาและเต็มไปด้วยความคิดถึงที่มีให้เธอแค่คนเดียวเท่านั้น
จิวารีหลับตาพริ้มปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความฝัน ที่มีเพียงเขาและเธอในเวลานี้ แม้ความเป็นจริงเขาจะเป็นของคนอื่นแล้วก็ตาม
สองใบหน้าแนบชิดรับสัมผัสความอบอุ่นซึ่งกันและกัน ตักตวงความคิดถึงผ่านอ้อมกอดและจูบอันแสนหวาน เนิ่นนาน มือหนาเกลี่ยปลายนิ้วที่กรอบหน้าเมื่อความปรารถนาเริ่มเข้มข้นขึ้น
อิทธิพลถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย เขาไม่ควรฉวยโอกาสตอนเธอขาดสติ แต่แรงปรารถนาภายในมันร้ายนัก ดึงร่างเธอเข้ามากอดอีกครั้งซึมซับความคิดถึงให้เข้าไปทุกอณูของร่างกาย แค่นี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าเธอไม่ได้เกลียดเขาเหมือนคำพูดที่เอ่ยออกมา ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องเคลียร์ให้จบหลังจากเธอมีสติเต็มร้อยครบถ้วนก่อน เสียงหายใจแรงจากร่างที่ซบอยู่ที่แผ่นอกบ่งบอกว่าเธอหลับสนิทเสียแล้ว จับร่างเธอเอนหลังลงที่นอน หยิบผ้าห่มมาคลุมร่างให้ ก้มลงจูบที่หน้าผากแผ่วเบา
อิทธิพลเดินออกมานั่งรับลมที่หน้าบ้านหลังจากปิดไฟในห้องให้เธอแล้ว อยากให้สว่างเร็ว ๆ จะได้รีบเคลียร์เรื่องคาใจให้จบเสียที แต่พรุ่งนี้ดวงยี่หวามีนัดกินข้าวกับพิมพ์พรรณและให้เขาไปด้วย หลังเสร็จธุระเรื่องที่บ้านแล้วเรื่องนี้ก็ต้องจบลงเช่นกัน
นั่งรับลมชมวิวจนดึกดื่น รถเก๋งคันคุ้นตาก็เข้ามาจอดที่หน้าบ้าน พร้อมกับร่างของจิวากรที่เดินลงรถมา อิทธิพลเดินไปเปิดรั้วหน้าบ้านให้
“ทำไมขับรถเอวามาได้?”
“ไม่มีแท็กซี่” โกหกยังไงก็ได้
“เรียบร้อยดีใช่ไหม เอวาคงไม่ก่อเรื่องนะ” ถามหยอก ๆ พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
“กูเอาอยู่” ยักคิ้วพร้อมยักไหล่ บ่งบอกว่าเรื่องแค่นี้ชิว ๆ
“ไอ้จิ๋วล่ะ?” ถามและมองเข้าไปด้านใน
“หลับไปแล้ว”
“เฮ้อ...ไอ้ตัวแสบ”
“ขอบใจนะ” ตบไหล่อิทธิพล
“ไม่เป็นไร”
“งั้นฉันกลับก่อนละกันดึกแล้ว พรุ่งนี้มีธุระ”
“อือ ไว้เจอกัน”
อิทธิพลไม่ลืมถือถุงข้าวต้มในรถออกมาวางไว้ในครัวให้
“กูอิ่มแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกิน” ก่อนสองหนุ่มจะแยกย้ายกัน
จิวากรมองตามหลังเพื่อนชาย เขาที่เป็นห่วงน้องหนักหนากับผู้ชายทุกคน แต่ทำไมถึงได้ไว้ใจไอ้ดินได้ขนาดนี้นะ จะว่าไปเขาก็พอจะมองออกผู้ชายด้วยกันมันดูง่าย ที่สำคัญคือไอ้ดินมันเป็นเพื่อนที่จริงใจ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปเปิดประตูห้องนอนไอ้ตัวแสบ เปิดไฟมองหน้าคนขี้เมาที่หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนจะปิดไฟและปิดประตูห้อง
ห้องทำงานผู้บริหารที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับการพูดคุยธุรกิจของสองบ้าน ระหว่างเพื่อนรักดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ และในวันนี้อิทธิพลและเอวาต้องเข้าฟังรายละเอียดด้วย เพราะถูกวางตัวไว้แล้วสำหรับอนาคต ถึงแม้ทรงศักดิ์ผู้เป็นปู่ของอิทธิพลจะเคลียร์ปัญหาเรื่องกาฝากสาวสองรายนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ความเป็นแม่นั้นก็ต้องเตรียมการไว้ให้พร้อมสำหรับอนาคตของลูก ส่วนอิทธิพลนั้นหากเขายินดีจะสานต่อธุรกิจของพ่อก็แล้วแต่เขา
โต๊ะอาหารมุมวีไอพีโซนเดิมถูกจัดเตรียมไว้อย่างเสร็จสรรพ อิทธิพลในชุดลำลองสุดสมาร์ตแทบนึกภาพนักศึกษาหนุ่มไม่ออกหลังจากสลัดคราบนิสิตทิ้ง เดินบริการเครื่องดื่มให้สามสาวอย่างอารมณ์ดี
“วันนี้ลูกชายแม่อารมณ์ดีจังมีอะไรพิเศษหรือเปล่านะ?”
ดวงยี่หวาพูดแซวด้วยรอยยิ้ม จากสัปดาห์ก่อนยังเคร่งขรึมใจลอยอยู่เลย ถามว่ามีเรื่องกลุ้มใจอะไรก็ไม่ได้รับคำตอบ หนุ่มสาวในวัยนี้คงมีไม่กี่เรื่องหรอกกระมังที่ทำให้หัวเสียได้
“มีอะไรก็รีบเคลียร์นะลูกอย่าปล่อยไว้นาน จนสุดท้ายต้องมานั่งเสียใจภายหลัง” คือคำพูดที่เตือนสติลูกในครั้งก่อน และดูเหมือนเขาจะจัดการได้เรียบร้อยดีแล้วกระมังถึงยิ้มอย่างอารมณ์ดีได้แบบนี้
การพูดคุยของคนคุ้นเคยที่กินไปคุยไป มากมายเรื่องราวที่นำมาแชร์บนโต๊ะอาหารสร้างบรรยากาศเป็นกันเองด้วยรอยยิ้ม
“เอวาก็เรียนจบแล้วเมื่อไหร่จะพาแฟนมาแนะนำน้าสักทีนะ” ดวงยี่หวาหันไปแซวหญิงอ่อนวัย
“ไว้วาจะพามาแนะนำให้รู้จักนะคะ” เธอพูดอย่างสดใสพลอยทำให้คนฟังแปลกใจไปด้วย
“ทุกวันนี้มีความลับกับแม่แล้วเหรอคะ?” พิมพ์พรรณเอ่ยขึ้นแกล้งทำท่าทีน้อยใจ เมื่อหญิงสาวยังไม่เคยคุยเรื่องนี้ให้ฟังเลยสักครั้ง ที่จริงแล้วเธอยินดีมากที่ลูกโตขึ้น หากจะมีคนรู้ใจเธอไม่ขัดเลยสักนิด
“วาต้องบอกคุณแม่อยู่แล้วละค่ะ”
เอวาหันมามองหน้าพิมพ์พรรณพร้อมส่งยิ้มให้แบบเอาใจ
“แสดงว่ามีคนรู้ใจแล้ว” ดวงยี่หวาวางช้อนลงและมองหน้าหญิงสาว เอวาไม่ตอบแต่ยิ้มแก้มแดง พลอยนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมาทันที
“แซงหน้าดินแล้วเหรอหนูเอวา”
“ไม่แซงหรอกค่ะน้ายี่หวา ดินเขามีหวานใจเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ใช่ไหมดิน?” หันมายิ้มให้ชายหนุ่มหลังจากป้อนคำถาม จริง ๆ อยากจะพูดแขวะด้วยซ้ำเพราะเขาคือคนที่ทำให้เพื่อนรักเธอเสียใจ แต่ผู้ใหญ่นั่งอยู่ด้วยไม่น่าจะเหมาะสักเท่าไหร่ อีกอย่างก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขากับน้ำฝนคบกันจริงใช่ไหม หรือแค่ไก่กาเท่านั้น
“หือ ใครเหรอ?” เจ้าตัวยังงง แล้วทำไมเอวาถึงรู้ดีกว่าตัวเขาเสียล่ะ
“อ้าว วันนั้นยังพามาหาน้ายี่หวาอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
อิทธิพลนิ่วหน้า พลางคิดตาม
“เปล่านะ” และหันมามองหน้าผู้เป็นแม่
“ดินพาใครมาเหรอครับแม่?” เพราะนึกไม่ออกจริง ๆ
“น้ำฝนไง” เอวาเอ่ยขึ้นมาเอง
“อ๋อ...” ดวงยี่หวาลากเสียงยาว
“หนูน้ำฝน”
“แม่พลาดอะไรไปหรือเปล่าเนี่ย?” หันมามองหน้าลูกชาย
“แล้วเอวารู้ได้ไง?” อิทธิพลถามด้วยความแปลกใจ
“จิ๋วเล่าให้วาฟัง”
“จิ๋ว?”
“อือ”
อิทธิพลนิ่งเงียบอยู่สักพักสมองกำลังประมวลผลตามคำพูดของเอวา วันนั้นที่จิวารีเข้ามาที่ร้านแล้วกลับออกไป เพราะคิดว่าเขาพาน้ำฝนมาเปิดตัวกับแม่สินะ แล้วทำไมถึงไม่ถามคิดเองเออเองได้ยังไง นึกตำหนิหญิงสาวในใจ
“เรากับน้ำฝนไม่ได้เป็นอะไรกัน?”
“ไม่ได้พามาแนะนำตัวหรอกจ้ะ หนูน้ำฝนมาจองร้านเลี้ยงฉลองกับครอบครัวเธอแค่นั้นเอง” ดวงยี่หวาอธิบายเพิ่ม
“แต่น้ำฝนเป็นคนพูดเองว่าคบกับดินอยู่วาได้ยินกับหูตัวเองนะ” หันมาพูดกับเพื่อนชาย
“ถามคุณแม่ดูก็ได้” หันไปทางพิมพ์พรรณ
“ใช่ไหมคะคุณแม่ วันนั้นที่เราไปทานข้าวข้างนอก ที่วาบอกแม่ไงคะ”
“จ้ะ น้าก็ได้ยิน” พิมพ์พรรณเสริมให้
“แล้วจิ๋วรู้หรือเปล่า?”
“รู้สิ วากับจิ๋วคุยกันทุกเรื่องอยู่แล้วนี่นา”
ซวยละ สมองเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวและเหตุการณ์ นี่หรือเปล่าสาเหตุที่เธอหมางเมินกับเขา
“ผมอิ่มแล้วขอตัวนะครับมีธุระต่อ” ลุกจากโต๊ะทันที
“ไว้เจอกันนะครับน้าพิมพ์” ยกมือไหว้ พิมพ์พรรณรับไหว้ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร
“ไว้เจอกันนะเอวา”
“ไปนะครับแม่” โบกมือลาทุกคนและหุนหันออกไปอย่างเร่งรีบ
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







