LOGIN“นางเป็นใครกัน”
“นางเป็นบุตรีของพ่อค้าแห่งเมืองลั่วหยางขอรับ”
“เหตุใดเจ้าถึงได้ตาต่ำเช่นนี้ นางเป็นเพียงสตรีธรรมดาสามัญไม่คู่ควรกับตระกูลหวังของเรา แม่ไม่อนุญาตให้เจ้าแต่งนางเป็นฮูหยินเอกเป็นอันขาด”
“นั่นเป็นเรื่องของท่านแม่รับ ข้าไม่สนว่านางจะเป็นใครมาจากไหน”
“เจ้าไม่สนไม่ได้ ภายภาคหน้าเจ้าต้องพึ่งพาตระกูลภรรยาเพื่อสนับสนุนเจ้า แต่ดูสตรีที่เจ้าเลือกสินางไม่อาจสนับสนุนอันใดเจ้าได้”
“เช่นนั้นท่านจะบังคับให้ข้าแต่งกับคนที่ข้ามิได้รักงั้นหรือ”
“แม้คราแรกยังไม่ได้รักแต่พอนานวันเข้าประเดี๋ยวเจ้าก็รักนางเองนั่นแหละ แม่ได้เลือกแม่นางจากตระกูลฟางไว้ให้เจ้าแล้ว งานเลี้ยงตระกูลสวี่นางได้รับเทียบเชิญด้วยเช่นกัน ฉะนั้นเจ้าอย่าได้พลาดโอกาสนี้เชียว”
“งานเลี้ยงตระกูลสวี่ลูกไม่ไปนะขอรับ” เขาปฏิเสธทันทีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“หวังหย่ง เห็นทีข้าคงตามใจเจ้ามากเกินไปแล้วกระมัง” เสียงใต้เท้าหวังดังขึ้นข้างหลัง เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมด
“ท่านพ่อ...” เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เพราะรู้ดีว่าบิดาของตนนั้นน่ากลัวเพียงใด
“อย่าทำตัวเนรคุณตระกูลหวังที่ให้ข้าวให้น้ำเจ้า หากไม่มีตระกูลของข้า เจ้าจะได้อยู่สุขสบายเช่นนี้รึ!”
“แต่ข้ามีคนรักอยู่แล้วนะขอรับ”
“แล้วอย่างไร สตรีที่เจ้ารักกับสตรีที่เจ้าต้องแต่งงานไม่จำเป็นต้องเป็นคนเดียวกัน ข้าไม่ได้ห้ามให้เจ้ารับนางเป็นอนุเสียหน่อย แต่งงานกับแม่นางจากตระกูลฟางเสีย นี่ไม่ใช่คำขอร้องแต่เป็นคำสั่ง”
สุดท้ายหวังหย่งมิอาจขัดคำสั่งของบิดาได้ทำให้ตอนนี้เขามางานเลี้ยงตระกูลสวี่พร้อมมารดาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“หวังหย่ง เจ้าพาแม่นางฟางไปเดินเล่นรอบ ๆ เถิด” ฮูหยิน หวังเอ่ยแกมออกคำสั่ง
“แม่นางฟาง หากเจ้าไม่รังเกียจ...”
“ข้าไม่รังเกียจเจ้าค่ะ” ฟางอวี่ซินตอบกลับแทบทันทีพร้อมกับส่งยิ้มโปรยเสน่ห์ส่งให้ชายหนุ่ม
“เช่นนั้นตามข้ามาทางนี้” เขาเดินนำหน้านางมุ่งไปยังศาลาที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
“คุณชาย ข้าได้ยินมาว่าท่านจะเข้ารับตำแหน่งขุนนางในเร็ววันนี้ อวี่ซินขอแสดงความยินดีล่วงหน้า” นางกล่าวยินดี
“ขอบคุณแม่นาง”
“ท่านคงรู้อยู่แล้วว่ามารดาของท่านกับมารดาข้าหวังให้เราทั้งคู่แต่งงานกัน”
“เรื่องนี้ข้าพอรู้”
“แล้วท่านคิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ”
“ที่จริงข้ามีสตรีในใจอยู่แล้ว” เขาเลือกบอกนางตามตรง ฟางอวี่ซินได้ยินนางลอบทำหน้าบึ้งไม่พอใจ ทว่าเพียงชั่วครู่เท่านั้นสีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้อย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสีเสียอีก
“จริงหรือเจ้าคะ ข้าน่ะไม่ได้มีปัญหาอันใดหากท่านจะรับแม่นางผู้นั้นเป็นอนุ”
“ข้าไม่คิดว่าแม่นางจะคิดเช่นนี้ มีสตรีใดบ้างที่อยากให้สามีของตนมีหญิงอื่นนอกจากตัวเอง เจ้าทำข้าแปลกใจยิ่งนัก”
“เรื่องปกตินี่เจ้าคะ ขนาดท่านพ่อของข้ายังมีอนุตั้งหลายคน มิแปลกใจหากท่านจะอยากทำเช่นนั้น”
“ข้าคงต้องทำให้แม่นางผิดหวังแล้ว เพราะข้าไม่คิดให้นางมาเป็นอนุตั้งแต่แรก ข้าตั้งใจแต่งนางเป็นฮูหยินเอก”
“แต่เท่าที่ข้าได้ยินมา ฮูหยินกับใต้เท้าหวังคัดดค้านมิใช่หรือ อีกอย่างพิจารณาจากฐานะของนาง นางไม่อาจสนับสนุนท่านได้แล้วเหตุใด...” ไม่รอให้ฟางอวี่ซินพูดจบ เขาแทรกขึ้นเสียก่อน
“อย่างที่ข้าบอกแม่นางไปก่อนหน้านี้ ข้ารักนางและไม่คิดใช้ประโยชน์อันใดจากคนที่ข้ารัก ดังนั้นข้าจึงอยากขอร้องให้แม่นาง ปฏิเสธการแต่งงานนี้ได้รึไม่”
“คุณชายพูดเช่นนี้ ข้าเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ข้าไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง” นางเอ่ยเสียงเศร้า
“ตัวข้าเองก็ไม่ต่างจากเจ้านัก”
“เช่นนั้น มิสู้เราทำความรู้จักกันให้มากขึ้นอีกหน่อยให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าพวกเราเข้ากันไม่ได้จริง ๆ ถึงครานั้นพวกท่านคงไม่คิดบังคับอันใดอีก”
“ที่แม่นางพูดมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน”
หลายครั้งที่หวังหย่งเผลอลืมสตรีที่ตนพร่ำบอกว่ารักนักหนาไปชั่วขณะนับตั้งแต่ได้สนิทชิดเชื้อกับฟางอวี่ซิน จดหมายหลายฉบับที่ถูกส่งมาจากเมืองลั่วหยางยังมิได้รับการตอบกลับสักฉบับเดียว
“คุณหนูเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” เล่อจินถามขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าไม่สู้ดีของผู้เป็นเจ้านาย
“ไม่มีจดหมายจากเมืองหลวงส่งถึงข้าบ้างหรือ” แทนที่เหม่ยเหรินจะตอบคำถาม ทว่ากลับถามคำถามแทน
“ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านรอจดหมายจากคุณชายหวังอยู่หรือ”
“ใช่ นี่ก็ร่วมสิบวันแล้วนับตั้งแต่ข้าส่งจดหมาย เหตุใดเขาถึงไม่ตอบกลับมาเสียที ช่างแปลกเสียจริง”
“ไม่แน่ว่าคุณชายอาจกำลังยุ่งจนไม่มีเวลาได้ตอบจดหมายก็ได้นะเจ้าคะ”
“ข้าหวังว่าจะเป็นดังที่เจ้าพูด”
“หากไม่ได้เป็นดังที่ข้าคิด แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้เอามือมาลูบปากข้ากัน” เขายกยิ้มไปพลางถามไปพลาง จนคนใต้ร่างเริ่มรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย “ข้าแค่อยากรู้ว่าริมฝีปากของบุรุษจะอ่อนนุ่มหรือหยาบกร้านถึงได้เผลอไผลทำเรื่องเช่นนั้นไป” “งั้นหรือ” เขาแสร้งเห็นด้วย จากนั้นค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาเรื่อย ๆ จนลมหายใจเป่ารดหน้านางเข้า “ท่านจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” ว่าพลางดันหน้าอกชายหนุ่มให้ออกห่าง แต่ทว่ากายแกร่งไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว “เจ้าอยากรู้นักไม่ใช่หรือว่าริมฝีปากข้าจะอ่อนนุ่มหรือไม่ แทนที่จะใช้มือ มิสู้ใช้ปากไม่ดีกว่าหรือ” เอ่ยจบก็ทาบทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา ก่อนขบเม้มเข้าที่ริมฝีปากล่างของนางเพื่อหยอกล้อ “อื้อ” ซ่งอันเว่ยพร่ำจูบนางจนพอใจถึงได้ปล่อยริมฝีปากของนางให้เป็นอิสระ ขณะที่มืออีกข้างปลดเปลื้องอาภรณ์จนร่างของหญิงสาวเปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด ไม่นานนักร่างกายของเขาก็เปลือยเปล่าไม่ต่างจากนาง... อี้ชางสือมองภาพเบื้องหน้าทั้งรอยยิ้ม ยามเห็นภาพคู่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว “ท่านพี่ ท่านฝึกซ้อมมาหลายชั่วยามแ
ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่าที่อาการป่วยทรุดลงเรื่อย ๆ จนไม่อาจลุกจากเตียงได้แต่นอนเป็นผักเท่านั้น “อาการของท่านแม่ เป็นเช่นไรบ้าง” เขาถามสาวใช้ข้างกายมารดา “อาการของฮูหยินผู้เฒ่าแย่ลงเรื่อย ๆ เลยเจ้าค่ะ” “ไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า” “ตามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ ท่านหมอเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เอง ทั้งยังบอกว่าอาการของฮูหยินผู้เฒ่าไร้หนทางรักษาแล้ว” อนุเมิ่งบอกสามี “จะ...เจ้า นางคนเนรคุณ” เสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรงพูดขึ้น “พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลท่านเอง” นอกจากนางจะไม่โกรธแล้ว นางยังส่งยิ้มให้หญิงชราด้วยซ้ำไป ฝั่งของฟู่ซิวแวะมาเยี่ยมมารดาสามีบ้างบางครั้ง เพราะอนุเมิ่งขอเป็นคนดูแลเอง “ฮูหยิน ตั้งแต่อนุเมิ่งไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าอาการของนางก็แย่ลงเรื่อย ๆ เลยนะเจ้าคะ หรือว่านางจะ...” “เจ้าอย่าได้เสียงดังไป เพราะถ้าหากนางไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงคนที่เดือดร้อนคงกลายเป็นพวกเราแทน” นางบอกเสียงเบา ทั้งที่ในใจรู้อยู่แล้วว่าเมิ่งไป่ซูวางยาพิษฮูหยินผู้เฒ่า แต่นางไม่คิดเปิดโปงเรื่องนี้ เพราะเห็นสมควรว่าสตรีว
ชายหนุ่มถอดรองเท้าของนางออกหนึ่งข้าง ซึ่งเป็นข้างที่นางได้รับบาดเจ็บ แล้วฉีกชายเสื้อของตัวเองมาพันข้อเท้านางไว้ ก่อนอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดด้วยความหวงแหน จากนั้นเดินกลับกระโจมไป แม่ทัพซ่งวางร่างของนางลงบนเก้าอี้ด้วยความทนุถนอม ก่อนออกไปสั่งให้คนสนิทเรียกท่านหมอมาดูอาการ ทว่าไม่ทันจะได้ทำเช่นนั้นเขาถูกมือของหญิงสาวชุดรั้งแขนไว้เสียก่อน “จะไปไหนหรือเจ้าคะ” “ข้าจะให้คนไปตามท่านหมอมารักษาเจ้า” “ข้าไม่ต้องการหมอ” “ถ้าไม่ต้องการหมอ แล้วเจ้าต้องการอะไร” “ข้าต้องการท่าน” นางบอกทั้งใบหน้าแดงซ่านอย่างปิดไม่มิด “…” “ทำไมไม่ตอบข้าล่ะเจ้าคะ” “ปล่อยก่อน” “ท่านอยากรู้ใช่รึไม่ว่าคนที่ข้ารักคือใคร เช่นนั้นข้าจะบอก” “ไม่ต้อง ข้าไม่อยากรู้” เขาปฏิเสธทันควัน เพราะยังไม่พร้อมรับฟัง “ซ่งอันเว่ย ท่านฟังข้าพูดให้ดี ๆ ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว” “ข้าไม่....” “คนที่ข้ารักคือท่าน ไม่ใช่ใครอื่น” นางแทรกขึ้น พร้อมกับลุกขึ้นสวมกอดจากด้านหลัง “ที่เจ้าพูด...จริงหรือ ไม่ใช่เ
“น้องพี่ ใครเป็นคนทำให้เจ้าอารมณ์เสียหรือถึงได้ทำสีหน้าบึ้งตึงเช่นนี้” “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร” “เจ้าปิดบังพี่ไม่ได้หรอก เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าของตระกูลซ่งมาส่งเจ้า ดูทีว่าต้นเหตุคงเป็นซ่งอันเว่ย พี่จะไปจัดการเขาให้เอง” “พี่ชางสือ ท่านจะทำอะไรเขางั้นหรือ” “ข้าจะเตะเขาสักสิบครั้ง ต่อยสักหมัดสองหมัด ให้คนผู้นั้นรู้เสียบ้างว่าอย่าริอาจมารังแกน้องสาวของข้า” “ท่านพี่ จะทำเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ อีกไม่นานข้ากับท่านแม่ทัพต้องแต่งงานแล้ว หากใบหน้าเขาบอบช้ำ ข้าคงทนเห็นไม่ได้” “เจ้านี่ช่างเป็นห่วงเขาเสียเหลือเกิน ไหนเจ้าบอกพี่ว่าไม่ได้คิดอันใดกับเขาเล่า” “ขะ...ข้าแค่เป็นห่วงเท่านั้น อีกอย่างท่านแม่ทัพไม่ได้รักข้าเช่นกัน” “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้รักเจ้า” “อะ...เอ่อ” “ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง เจ้าคิดว่าคนเย็นชาอย่างซ่งอันเว่ยจะเสียเวลาไปรับสตรีที่ไม่รู้จักกลับเมืองหลวงด้วยตัวเองงั้นหรือ ทั้งยังคอยคุ้มกันจนถึงจวนอีก” “เรื่องนั้นท่านแม่ทัพบอกข้าว่า เป็นเพราะท่านไหว้ว
“สรุปว่าท่านจะให้ข้าอยู่เรือนรับรองหรือ” “ใครบอกเจ้ากัน เรือนใหญ่ออกจะกว้างขวาง อีกอย่างพวกเราเป็นสามีภรรยากันอยู่เรือนหลังเดียวกันก็สะดวกสบายดี หรือเจ้าไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกับข้างั้นหรือ” “มีผู้ใดบ้างที่ทำเช่นนี้ ปกติแม้เป็นคู่สามีภรรยากัน แต่ยังต้องแยกเรือนกันอยู่เลยนะเจ้าคะ” นางถาม เพราะตามปกติแล้วสามีจะอยู่เรือนใหญ่เพียงคนเดียว “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้นสักนิด” “แต่ถ้าท่านมีอนุคงไม่สะดวก หากอยู่เรือนหลังเดียวกัน” “ข้าไม่เคยคิดอยากมีอนุ ข้าจะมีเจ้าเป็นฮูหยินเพียงผู้เดียวเท่านั้น” เขาบอกเสียงจริงจัง จนนางเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาเป็นคนชัดเจนตลอดมา ไม่เคยมีสักครั้งที่ทำให้นางต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง “เช่นนั้นห้องนอนของข้า” “ที่เรือนนี้ไม่มีห้องนอนของเจ้า มีแต่ห้องนอนของเรา” ท้ายประโยคเขาเอื้อนเอ่ยเบา ๆ ราวกับสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านยอดหญ้า ไหนจะท่าทีเก้เก้อดูก็รู้ว่าคนพูดรู้สึกเช่นไร “วันนี้เจ้าพอมีเวลาว่างให้ข้าทั้งวันรึไม่” “ถามทำไมหรือเจ้าคะ” “เย็นนี้ในเมืองจัดง
หลังจากส่งบุตรสาวอีกคนแต่งออกไปถึงเมืองเป่ยโจว ก็ถึงคราวของอี้เหม่ยเหรินหมั้นหมายกับแม่ทัพหนุ่ม ผู้ซึ่งเป็นที่หมายปองของสตรีทั้งเมืองหลวง นอกจากเขาจะรูปโฉมงดงามราวเทพเซียนแล้ว ยังมากด้วยความสามารถและอนาคตไกล จนพวกขุนนางในราชสำนักต่างยกลูกสาวของตัวเองใส่พานมาถวายอยู่ไม่ขาด ทว่าเขากลับไม่สนใจสักนิด ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวคือนาง หญิงสาวธรรมดาที่เขาเคยพบเจอเมื่อสี่ปีก่อน นางเป็นบุตรสาวพ่อค้าชื่อดังของเมืองลั่วหยาง เวลาเห็นนางยิ้มทีไรทำให้หัวใจหยาบกระด้างของชายหนุ่มอ่อนระทวยลงราวกับถูกไฟลน ยามนึกถึงคราแรกที่พานพบพลันทำให้ใจสั่นไหวรัวเร็ว “คุณหนู รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” “เล่อจิน เจ้ารีบตามข้ามาเร็วเข้า” หญิงสาววัยแรกแย้มกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ก่อนหันมาบอกสาวใช้คนสนิท “โอ๊ย” สุดท้ายนางสะดุดล้มเข้าจนได้ “แงง” เสียงเด็กชายร้องไห้เสียงดัง เพราะหมั่นโถวที่ตนถืออยู่ตกพื้น “เด็กน้อย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก “หมั่นโถวลูกนี้ ข้าลำบากลำบนกว่าจะทำงานหาเงินซื้อได้” เด็กน้อยเอ่ยทั้งน้







