นางรู้สึกเย็นสันหลังวาบทันใดท่านหมอเทวดากู้นั้นมายืนมองนางตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว?เขาได้ยินทุกสิ่งที่นางคุยกับซูโหยวหรือไม่?ลั่วชิงยวนยิ้มโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนบอกว่า “ดูจากอาการที่ท่านอ๋องเป็นตอนนี้ มันช่างเหมือนกับตอนที่มีเหตุผิดปกติในตำหนักและมีบ่าวรับใช้คลุ้มคลั่งเลยใช่หรือไม่?”“ตอนนี้ท่านอ๋องต่อต้านข้านัก ข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกท่านหรอก เพียงแต่อยากเตือนไว้บ้างก็เท่านั้น”เมื่อได้ยินเช่นนี้ซูโหยวก็ตัวแข็งทื่อและรู้สึกในใจเย็นเยียบเมื่อพระชายาพูดขึ้นมาก็ดูเหมือนว่า อาการของท่านอ๋องในคืนนี้จะเหมือนเรื่องคืนก่อนนั้นมาก เป็นไปได้ไหมว่าท่านอ๋องโดนวิญญาณร้ายบางตนสิงสู่?“ขอรับ ขอบคุณที่พระชายาช่วยเตือนข้า”ลั่วชิงยวนไม่พูดอะไรอีก นางเดินกลับเรือนไปนางเองก็ได้ยินเสียงซูโหยวจากไปแล้ว แต่นางยังคงรู้สึกได้ถึงแววตาน่าหวาดหวั่นที่มองมาต้องมีบางอย่างไม่ปกติกับหมอเทวดากู้เป็นแน่ตำหนักอ๋องและจวนมหาราชครูต่างก็เกี่ยวข้องกัน นางกลัวว่า คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะมีมือเท้ายาวไกล และท่านหมอกู้เองก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้นนางคิดเรื่องนี้ขณะที่เดินกลับเรื
“เช่นนั้น ก็วัดให้องค์ชายห้า และตัดเย็บอาภรณ์ให้เขาด้วยเถิด” สายตาของฟู่เฉินหวนยะเยือกลงทันที ลั่วชิงยวนถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านอ๋องคงมิได้มีจิตใจคับแคบเช่นนั้นใช่? คนทั้งตำหนัก กระทั่งคนนอกอย่างลั่วเยวี่ยอิงยังมีอาภรณ์ใหม่ แต่เสด็จน้องแท้ ๆ ของท่านกลับมิมีน่ะหรือ?” น้ำเสียงของนางอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก แต่กลับกำลังพูดเหน็บแนม สีหน้าของฟู่เฉินหวนมืดครึ้มลงทันที น้ำเสียงก็เยือกเย็นมากยิ่งขึ้น “เจ้าช่างห่วงใยน้องห้าของข้าเสียจริง” ลั่วชิงยวนยิ้มเลิกคิ้ว และตั้งใจพูดแซะ “หม่อมฉันเรียนรู้มาจากท่านอ๋องเพคะ” สีหน้าของฟู่เฉินหวนอึมครึม ส่วนลั่วชิงยวนหันร่าง และเดินจากไปทันที ซูโหยวที่อยู่อีกด้านมองอย่างอกสั่นขวัญหาย เขารีบขึ้นหน้าประคองท่านอ๋องไว้ “ท่านอ๋อง ท่านหมอเทวดากล่าว อาการของท่านตอนนี้มิควรกริ้วโกรธ! ท่านต้องควบคุมอารมณ์พ่ะย่ะค่ะ” ลมหายใจของฟู่เฉินหวนรุนแรงขึ้น ปลายนิ้วเย็น ๆ ของเขากดไปบนหน้าผาก “บางทีหมอเทวดากู้พูดถูก เมื่อหย่าร้างกับลั่วชิงยวน ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ” ตั้งแต่ที่ลั่วชิงยวนแต่งเข้ามาในตำหนัก ก็มิเคยมีวันสงบอีกต่อไป และวันนี้ที่เขาต้องกริ้วโกรธ ก็เป็
ลั่วชิงยวนตะลึงเล็กน้อย นักทำนายชะตาหรือ? แท้จริงนางอยากบอกฟู่อวิ๋นโจว บนตัวเขามิมีสิ่งอัปมงคลใด ดังนั้นต่อให้เชิญนักทำนายชะตามาดูก็เปล่าประโยชน์ “องค์ชายห้า ยามนี้ในยุทธจักรมีพวกต้มตุ๋นมากหลายนัก ท่านระวังจะถูกหลอกทรัพย์!” ลั่วชิงยวนทำได้เพียงตักเตือน ชีวิตของฟู่อวิ๋นโจวอาจลำบากยิ่งกว่านางเสียอีก เงินเหล่านั้นสำคัญต่อเขามาก หากโดนหลอกไปคงน่าเสียดาย “วางใจเถิด มิมีทางโดนหลอกแน่! ข้าสืบข่าวมาหลายครั้ง อาจารย์ท่านนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียง ทุกวันเขารับทำนายเพียงหนึ่งชั่วยาม อีกทั้งเวลามิแน่นอน ผู้ที่เคยทำนายกับเขาต่างแก้ไขปัญหาชีวิตกันได้จนสิ้น ข้าว่าจะไปลองเสี่ยงดู” “เผื่อจะได้” เมื่อฟู่อวิ๋นโจวพูดสามคำนี้ นัยน์ตาเขาราวกับฉายแสงจ้า จนทำลั่วชิงยวนสะเทือนใจเล็กน้อย ต่อให้เขาไปแล้วจะไม่มีประโยชน์ แต่ลั่วชิงยวนก็มิได้พูดขัดเขาต่อ เพียงแค่ถามขึ้น “นักทำนายชะตาที่ใดหรือ หม่อมฉันลองดูก่อน หากแม่นจริง ๆ ท่านค่อยไปเถิดเพคะ” ฟู่อวิ๋นโจวพยักหน้า จากนั้นบอกที่อยู่ให้กับนาง ขนาดอาภรณ์วัดเสร็จ ลั่วชิงยวนมิได้อยู่ต่อ และพาคนจากไป เมื่อกลับไป แม่นมเติ้งต้องไปจัดการเรื่องอาภรณ์ฤดูหนาว
ลั่วชิวยวนมองโหวงเฮ้งของหญิงสาวผู้นั้น เป็นอย่างที่อาจารย์ท่านนั้นพูด โหงวเฮ้งคู่ชีวิตอ่อนแอ แต่โดนรวมแล้วมิใช่โหงวเฮ้งเดียวดาย นางมีบุพเพสันนิวาส เพียงแต่มาช้า “ขอบคุณท่านอาจารย์!” หญิงสาวผู้นั้นวางเงินตำลึง และลุกจากไป ลั่วชิงยวนมองอยู่ด้านข้าง นักทำนายชะตาจึงมิได้สังเกตเห็นนาง เขาทำนายให้ผู้อื่นต่ออย่างตั้งใจ มิว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่เขาก็ต่างทำนาย จากที่ลั่วชิงยวนสำรวจ พบว่านักทำนายชะตาท่านนี้ถือว่าทำนายได้ค่อนข้างแม่น ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เงินตำลึงก็ได้วางเต็มโต๊ะเสียแล้ว จือเฉาถามอย่างอดมิได้ “พระชายา ท่านมองนานเช่นนี้ มองอะไรออกหรือไม่เจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนกลับถอนหายใจ “กำไรเยอะเสียจริง…” จือเฉาชะงัก “เจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนมองตำลึงมากมาย อย่างน้อย ๆ ก็ได้เป็นร้อยตำลึงแล้ว มิน่าจึงตั้งร้านเพียงวันละหนึ่งชั่วยาม เพราะเพียงแค่หนึ่งชั่วยามก็สามารถหาได้เป็นร้อยตำลึง จะเป็นพระชายาไปทำกัน? นางควรรีบเปิดร้านแต่แรก! ได้เงินเยอะกว่าพระชายาอีกมิใช่หรือ? หนึ่งชั่วยามผ่านไป นักทำนายชะตาท่านนั้นมิเสียเวลาแม้แต่นิด เขาเก็บของ โกยเงินตำลึงมากมาย พร้อมกล่าว “พบกันพรุ่งนี้เช้าทุกท่าน!
นางมาทำอะไรกัน?! นักทำนายชะตาชะงักเล็กน้อย นี่ท่าจะเป็นปลาที่เบื้องบนให้เขาหว่านแล้วล่ะ ในห้องสงบลงฉับพลัน ลั่วชิงยวนร้องตะโกนต่อ “ข้าถูกสามีในบ้านตบตีทุกวัน จนเกือบเสียชีวิตไปหลายครั้ง ตระกูลฝั่งแม่ช่วยข้ามิได้! หนังสือหย่าข้าก็ขอมามิได้เช่นกัน!” “ท่านช่วยสงสารแล้วชี้แนะข้าหน่อยเถิด!” เมื่อได้ยินประโยคนี้ เส้นเลือดบนขมับของฟู่เฉินหวนกระตุก ถูกสามีตบตี? จนเกือบถึงแก่ชีวิต? เหลวไหล! หลายครั้งที่ยัยผู้หญิงคนนี้แข็งข้อกับเขาในตำหนัก เมื่อนางลงมือกับผู้อื่นก็ดุดันกล้าหาญ ตอนนี้กลับแสร้งทำตัวน่าสงสารหรือ? “หากเช่นนี้ เจ้าเข้ามาเถิด” เมื่อนักทำนายชะตาเอ่ยปาก สีหน้าของฟู่เฉินหวนเปลี่ยนไปทันควัน นัยน์ตาเขาเผยแววลนลาน “ข้าค่อยมาวันอื่นดีกว่า!” ฟู่เฉินหวนลุกขึ้นทันที นักทำนายชะตากลับยื่นมือรั้งเขาไว้ “เดี๋ยว ท่านมาก่อน จะให้ท่านไปก่อนได้อย่างไรกัน ไม่เป็นไร อย่างไรเรื่องของพวกท่านสองคนก็มิเยอะ ไม่นานนักก็จัดการเรียบร้อย!” ฟู่เฉินหวนจึงทำได้เพียงนั่งลง บัดนี้ ลั่วชิงยวนผลักประตูออก “ท่านอาจารย์!” นางกำลังจะเอ่ยปาก แค่เมื่อเห็นฟู่เฉินหวน นางกลับชะงัก ฟู่เฉินหวน?
ได้ยินดังนี้ สีหน้าของนักทำนายชะตาเคร่งเครียด เขาตั้งใจพิจารณาโหงวเฮ้งของลั่วชิงยวน จากนั้นหยิบแผ่นทองแดง และโยนลงบนโต๊ะทีหนึ่ง วินาทีนั้น ลั่วชิงยวนสังเกตเห็นบนแขนของท่านหมอมีแผลไฟไหม้ที่เห็นได้ชัด แผลนั้นใหม่มาก ท่าจะภายในสองวันนี้! ทำนางนึกถึงภาพวาดที่ถูกเผาวันนั้นโดยไม่ทันคิด ไม่รู้ว่าที่ที่ไฟไหม้ทั้งหมดในเมืองหลวงของวันนั้น ท่านมหาราชครูสืบหาเจอหรือยัง นักทำนายชะตากำลังมองภาพปากว้าและขมวดคิ้ว เขาส่ายหัว “พิลึก พิลึกเหลือเกิน นี่เป็นมหาฆาต…” ประโยคด้านหลังเขามิได้พูดต่อ แต่ในใจกลับเคาะดังเป็นจังหวะกลอง นี่มันดวงคนถึงฆาตชะตาแล้วชัด ๆ โดยทั่วไป มีเพียงคนตายเท่านั้นที่มี หรือว่าคนตรงหน้าเขาจะเป็น… นักทำนายชะตาเหงื่อเย็นไหลซิบ แม้จะมีความกลัวในใจ แต่เขายังมิลืมภารกิจครั้งนี้ ประโยคของเขาหักมุม “แม้จะเป็นฆาตหนัก แต่ยังสามารถพลิกผันได้! ข้าจะเตรียมของบางอย่างให้ พรุ่งนี้เจ้ามาเอากลับไป” “เมื่อพกติดตัวเป็นเวลานาน จะสามารถเปลี่ยนชะตา และพลิกผันทุกอย่างได้!” ลั่วชิงยวนพูดอย่างดีใจ “ขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ!” นางเองก็มองภาพปากว้าทีหนึ่ง ในนั้นชะตาถึงฆาตแล้วจริง ๆ แต่
สิ้นเสียงประโยคนี้ สีหน้านักทำนายชะตาซีดเผือด นัยน์ตาเอ่อความผวา สีหน้าของฟู่เฉินหวนเปลี่ยนไป “โดนเผาเมื่อวันเกิดท่านมหาราชครูงั้นหรือ? หมายความว่าอย่างไรกัน?!” สีหน้าของนักทำนายชะตาถอดสี เขาสลัดมือลั่วชิงยวนออกอย่างแรง และวิ่งพุ่งไปทางประตูเรือนอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงยวนตะโกนเรียกฟู่เฉินหวนร้อน ๆ “ท่านอ๋อง อย่าปล่อยให้เขาหนีไป!” ฟู่เฉินหวนตามขึ้นไปทันที นักทำนายชะตาดึงเชือกที่อยู่ตรงมุมกำแพง ทันใดนั้น เสาไม้ต้นใหญ่ที่คล้ายกับคานเรือนตกลงมา หล่นตรงไปทางหัวของลั่วชิงยวน ฟู่เฉินหวนเห็นจากหางตา จึงล้มเลิกการจับตัวนักทำนายชะตาอย่างเด็ดขาด และวิ่งมาทางลั่วชิงยวนอย่างไว เขาดึงตัวนางออก แต่เมื่อเสาไม้ต้นใหญ่ตกลงมาในแนวกวาดล้าง พวกเขาหนีไม่พ้นแม้แต่นิด วินาทีนั้น ฟู่เฉินหวนบังอยู่หลังลั่วชิงยวน เขากำลังจะหลบ เสาไม้กระแทกกับท้ายทอยของเขาเสียก่อน จนเกิดเป็นเสียงดังต่ำ ๆ “ท่านอ๋อง!” หัวใจของลั่วชิงยวนสั่นคลอน วินาทีต่อมา ทั้งคู่ถูกเสาไม้กระแทกจนล้มลงกับพื้น ฟู่เฉินหวนทับอยู่บนตัวลั่วชิงยวน และเสาไม้ต้นนั้นกำลังจะหล่นลงมาอย่างแรงอีกครั้ง สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไป นางหนี
ลั่วชิงยวนกำลังชนประตูอย่างสุดกำลัง เมื่อครู่นางได้ยินเสียงประตูดังเอี๊ยด และประตูคลายลงอย่างเห็นได้ชัด นางรวบรวมแรงทั้งหมด พุ่งชนขึ้นไปอย่างไม่คิดชีวิต การโจมตีครั้งสุดท้าย! ขณะนั้นเอง จู่ ๆ มีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ขาข้างหนึ่ง ตกสู่สายตาของนางและเตะไปที่ประตูอย่างแรง แรงจนประตูหักทั้งบาน ลั่วชิงยวนที่กำลังชนประตู ปลิวกระเด็นออกไปทั้งร่าง ฟู่เฉินหวนตกใจเล็กน้อย ยื่นมือจะดึงนาง แต่เขาประเมินน้ำหนักของลั่วชิงยวนต่ำเกิน ร่างของฟู่เฉินหวนเองก็กระเด็นออกไปด้วย ทั้งคู่ล้มกระแทกกับพื้นอย่างหนัก ทันทีที่ฟู่เฉินหวนล้มลง ริมฝีปากของเขาชนเข้ากับจมูกของลั่วชิงยวน ไม่ทันตั้งตัว ใบหูของลั่วชิงยวนแดงก่ำ แก้มสองข้างพลันร้อนรุ่มขึ้นมาเช่นกัน “ฟู่เฉินหวน!” นางจ้องเขาเคือง ๆ ฟู่เฉินหวนเองก็รู้สึกอึดอัด แต่ภายนอกเขากลับสงบ สีหน้าของเขาเรียบเฉย พลิกตัวและนอนราบกับพื้นทันที “เจ้ามันสร้างปัญหาเก่งเสียจริง ด้วยความสามารถของเจ้ายังคิดจะจับคนอีก ข้าว่าเจ้าตั้งใจทำอีกฝ่ายตื่นตัวเสียมากกว่า” น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนไม่พอใจ ในมุมมองของเขา ทั้ง ๆ ที่มีวิธีในการจับตัวนักทำนายชะตาที่ดีกว่านั
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน