ถึงเวลานั้น หากเอ่ยปากขออะไรตามใจ ต้าโจวจะต้องมอบให้พวกมันทุกอย่างเลยหรือ?ผู้ตรวจการเถี่ยกับใต้เท้าหานจึงยุ่งอยู่ทั้งคืน เขียนฎีกาขึ้นฉบับหนึ่ง วันรุ่งขึ้นก็นำไปถวายถึงหน้าพระพักตร์พวกเขาไม่ได้ทำตามขั้นตอนปกติที่ต้องยื่นผ่านสำนักขุนนางหลวงก่อนพวกเขาเลือกที่จะยื่นฎีกานี้กลางท้องพระโรง ถวายตรงต่อฮ่องเต้หย่งชางทันทีฮ่องเต้หย่งชางมีรับสั่งให้รองเสนาบดีกรมพิธีการออกมาอ่านพออ่านมาถึงข้อความที่กล่าวถึงหวยเหลียงชินอ๋อง เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ก็เริ่มมีสีหน้าเปลี่ยนไปพระพักตร์ของฮ่องเต้หย่งชางก็พลันมืดครึ้มลงเช่นกันก่อนหน้านี้ องค์หญิงเป่าหรงมายืนร้องอย่างอ้อนวอนแทบจะขาดใจต่อหน้า เขาก็เพียงเห็นว่าให้องค์หญิงพาสตรีแต่งตามไปสองคน ไม่ใช่เรื่องเกินเลยอะไรแต่ใครบอกว่าจะให้บุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์แต่งตาม?เขาหันไปถามรองเสนาบดีกรมพิธีการชุยเจิง “เราสั่งให้พวกเจ้าหารือการเลือกคน พวกเจ้าไปตกลงกันเรื่องตัวบุคคลตั้งแต่เมื่อไร ไฉนเราถึงไม่รู้?”ในขณะนั้นเอง ท่านโหวผู้เฒ่าชีที่ห่างหายจากการร่วมประชุมราชสำนักไปนานพลันก้าวออกจากแถว คุกเข่ากลางท้องพระโรง เปล่งเสียงดังลั่นกังวานราวกับระฆัง
ราชโองการ?จะมีราชโองการได้อย่างไร?ในขณะนั้นเอง เซียวอวิ๋นถิงแสร้งทำเป็นพูดคุยเรื่องการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ขององค์หญิงเป่าหรงอย่างไม่ตั้งใจกับใต้เท้าหาน ขุนนางที่ทำหน้าที่ถวายคำแนะนำในวันนี้ใต้เท้าหานคือแบบอย่างของขุนนางใสสะอาดโดยแท้ เขายึดถือจริยธรรมของนักปราชญ์อย่างเข้มงวดเขาขมวดคิ้วด้วยความขุ่นเคือง “ต้าโจวของเรานั้น ไม่เคยมีธรรมเนียมการสมรสเชื่อมสัมพันธ์กับต่างแคว้น! คราวนี้ก็เพียงเพราะหวยเหลียงชินอ๋องของพวกเขาสัญญาว่าจะมอบสัมปทานเหมืองเงินในอาณาเขตของเขาให้ต้าโจวใช้ถึงสิบปี ไม่อย่างนั้น ฝ่าบาทจะทรงยินยอมให้องค์หญิงลดตัวไปได้อย่างไร?!”ที่จริง เรื่องนี้ก็ทำให้ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักปั่นป่วนมาสักพักแล้วขุนนางบุ๋นบู๊ต่างก็พากันยื่นฎีกาคัดค้านเรื่องนี้ไม่ขาดสาย คิดว่าหากปล่อยให้องค์หญิงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไป เช่นนั้นย่อมทำให้ต้าโจวเสียเกียรติแต่หลังจากราชทูตที่มาสู่ขอได้นำราชสาส์นซึ่งเขียนด้วยลายพระหัตถ์ของหวยเหลียงชินอ๋องมาถวาย ในนั้นระบุชัดว่าเขาจะมอบสิทธิขุดเหมืองเงินในอาณาเขตตนให้ต้าโจวเป็นเวลาสิบปี แลกกับการรับองค์หญิงไปอภิเษก และหวังให้ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางก
แม้จะอยู่ในยุคบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง การมอบเงินพันตำลึงเพื่อชดเชยชีวิตขององครักษ์คนหนึ่ง ก็ถือเป็นเงินก้อนใหญ่มากแล้วต้องเข้าใจก่อนว่า แม้ทหารที่พลีชีพในหน้าที่ เงินเยียวยาก็แค่ไม่กี่สิบตำลึงเท่านั้นแต่ถึงอย่างนั้น ทั้งชีหยวนและท่านโหวผู้เฒ่าชีก็ยังรู้สึกหนักอึ้งในใจเพราะนี่คือคน ไม่ใช่สิ่งของ ไม่อาจวัดค่าด้วยเงินสำหรับคนในครอบครัวของพวกเขาก็เช่นกัน ที่สูญเสียไปคือบิดา บุตรชาย หรือสามี เงินเหล่านี้อาจช่วยให้ชีวิตข้างหน้าของพวกเขาสบายขึ้นบ้าง แต่ไม่อาจเยียวยาความเจ็บปวดของพวกเขาได้เลยชีหยวนกล่าวเสียงเบา ๆ “ข้าได้ยินมาว่ามีบางครอบครัวมีลูกชายที่โตแล้ว แต่ยังหางานไม่ได้...”ท่านโหวผู้เฒ่าชีพยักหน้าทันที “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าได้สั่งการไปหมดแล้ว จะคัดเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาทำงานแทนตำแหน่งเดิมของบิดาพวกเขา ถ้าใครทำไม่ได้ก็ให้ค่อย ๆ ฝึกไป ได้ยินมาว่าตอนอยู่บ้านพวกเขาก็ฝึกฝนหมัดมวยอยู่บ้าง วรยุทธ์ไม่เลวเลย”ขณะกำลังคุยกัน ชีเจิ้นก็เร่งฝีเท้าเข้ามาจากด้านนอกแล้วมองชีหยวน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยโทสะที่ยังไม่คลาย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “แม่หนูหยวน องค์หญิงเป่าหรงระบุชื่อเจ้ากั
ท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นต่างก็ไม่รู้สึกยินดีอะไรนักก็แน่ล่ะ ใครเจอเรื่องแบบนี้แล้วยังจะดีใจได้ลงกันก่อนหน้านี้ อ๋องฉีกับองค์หญิงเป่าหรงยุให้ผู่อู๋ย่งออกมาก่อเรื่อง เกือบทำให้ตระกูลชีถูกกัดเสียจนเนื้อฉีก องครักษ์ตระกูลชีตายไปหลายคน เจ็บหนักอีกไม่น้อยหากอ๋องฉีกับองค์หญิงเป่าหรงยังจะลงมืออีกอย่างที่ชีหยวนพูด เช่นนั้นครั้งนี้ตระกูลชีก็คงต้องซวยซ้ำอีกรอบชีหยวนกลับยิ้มแล้วบอกให้พวกเขาไม่ต้องกังวล “ไม่เหมือนกับตอนผู่อู๋ย่งหรอกเจ้าค่ะ ผู่อู๋ย่งมันเป็นขันทีสุนัข ทั้งยังมีความแค้นฝังลึกกับวังบูรพามาก่อน เลยไม่มีทางถอยหลัง จึงไม่คิดจะยั้งมือ แต่คนอื่นไม่เหมือนกัน”เหล่าขุนนางฝ่ายอ๋องฉีคนอื่นย่อมไม่โง่จนถึงขั้นจะออกมาก่อเรื่อในเวลานี้อีกบทเรียนของลู่หมิงฮุยและผู่อู๋ย่งก็เห็นอยู่ตรงหน้าไม่ว่าจะเพราะสวรรค์ไม่อยู่ข้างอ๋องฉี หรือว่าวังบูรพาเหนือชั้นกว่าสรุปก็คือลมพัดไปทางวังบูรพาแล้ว คนส่วนใหญ่ก็รู้จักดูสถานการณ์จวนฉู่กั๋วกงกับเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยสิ้นอำนาจแล้ว คนที่องค์หญิงเป่าหรงกับอ๋องฉีจะเรียกใช้ได้ก็แทบไม่เหลือแล้วเช่นกันท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงเข้าใจความหมายของชีหยวนได้ทันทีเนื่อง
พระชายาหลิ่วฟังแล้วก็อดตกใจไม่ได้ สุนัขบ้าที่พร้อมจะกระโจนกัดคนได้ทุกเมื่อเช่นนี้ ย่อมต้องกำจัด มิเช่นนั้นก็ต้องระวังว่าจะถูกมันฉีกกระชากจนไม่เหลือชิ้นดีนางตอบรับในลำคอ แล้วพอเห็นท่าทีของเซียวอวิ๋นถิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พวกเจ้าคนหนึ่งฆ่า อีกคนตามเก็บล้าง ช่าง...”เหมาะสมกันนักไม่รู้เพราะอะไร พอได้ยินคำพูดนี้จากพระชายาหลิ่ว เซียวอวิ๋นถิงก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ แม้แต่ใบหน้าก็ยังอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาทว่าตอนนี้ ชีเจิ้นกับท่านโหวผู้เฒ่าชีกลับยิ้มไม่ออก จนถึงเช้าวันถัดมาเมื่อพวกเขากลับถึงบ้านแล้วถึงได้รู้ว่าชีหยวนกลับมาแล้วเช่นกัน จึงได้ถอนหายใจโล่งอกเมื่อคืนชีหยวนไม่ได้กลับไปที่อารามไป๋อวิ๋น พวกเขาคิดว่าชีหยวนที่ไม่เคยพลาดพลั้งอาจจะพลาดท่าเป็นครั้งแรกเสียแล้วนางกลับมาแล้ว เช่นนั้นก็แปลว่าปลอดภัยดีปลอดภัยก็ดีแล้ว ปลอดภัยก็ดีแล้วจริง ๆชีเจิ้นกับท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงรีบตรงไปยังตำหนักเถาฮวาอู้เพื่อเยี่ยมชีหยวนพิษในร่างชีหยวนถูกเซียวอวิ๋นถิงถอนให้หมดแล้ว บาดแผลที่เหลือสำหรับนางก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสำหรับนางแล้ว ความเจ็บปวดเป็นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว ไม่มีอ
เมื่อฮ่องเต้พิโรธ ก็จะมีศพนับล้านฮ่องเต้หย่งชางเพียงออกคำสั่งไป ในวันนั้น องครักษ์เสื้อแพรที่เพิ่งเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการก็พุ่งเข้าไปบุกค้นบ้านเรือนผู้คนอย่างไม่ปรานีในจำนวนนั้นก็รวมถึงจวนหลายแห่งที่ผู่อู๋ย่งจัดซื้อไว้ภายนอกพอตรวจสอบลึกลงไปจึงได้รู้ว่าผู่อู๋ย่งซ่อนตัวลึกเพียงใดเขาถึงกับมีจวนแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับจวนอ๋องฉีใกล้เขตพระราชวังแท้ ๆ ขันทีคนหนึ่งกลับกล้าทำตัวเทียบเท่ากับเชื้อพระวงศ์ฮ่องเต้หย่งชางโกรธจนถึงขีดสุด มีรับสั่งให้สามศาลยุติธรรมสอบสวนคดีนี้อย่างเข้มงวดและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดก็คือ ผู้รับหน้าที่สอบสวนหลักในคดีนี้ กลับไม่ใช่ขุนนางจากสามศาลยุติธรรม หากแต่เป็นพระราชนัดดา เซียวอวิ๋นถิงยามฮ่องเต้หย่งชางได้พบเซียวอวิ๋นถิงอีกครั้งที่อารามไป๋อวิ๋น ตัวเขายังมีบาดแผลเต็มร่าง นักพรตทั้งสามสิบคนที่เขานำไปด้วย เหลือเพียงสิบสองคน เห็นได้ชัดว่าเขาทุ่มเทสุดตัวเพียงใดในการลงเขาไปไล่ล่าผู่อู๋ย่งฮ่องเต้หย่งชางพลันตวาดขึ้นโดยไม่รู้ตัว “เหลวไหลสิ้นดี! บุตรชายตระกูลสูศักดิ์ไม่ควรนั่งใต้ชายคาที่ไม่มั่นคง! เจ้าเป็นถึงพระราชนัดดาองค์โต จะไปทำการเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร
ชีหยวนมองเซียวอวิ๋นถิงด้วยสีหน้าสลับซับซ้อนขณะเดียวกัน ที่อารามไป๋อวิ๋น ฮ่องเต้หย่งชางก็กำลังช่วยเซียวโม่คัดเมล็ดถั่วอยู่ถั่วเขียว ถั่วแดง และถั่วดำปะปนกันอยู่ในตะกร้าสาน ต้องแยกตามสีแล้วใส่ในตะกร้าแต่ละใบเซียวโม่คัดทีละเม็ด เขานับได้ถึงแค่ยี่สิบ จากนั้นก็ต้องเริ่มนับใหม่แต่เขากลับมีความอดทนอย่างยิ่ง ไม่รู้สึกว่ารำคาญใจแม้แต่น้อยฮ่องเต้หย่งชางทอดพระเนตรพระชายาหลิ่วด้วยความแปลกใจ “เขานิ่งได้นานถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“ถ้านิ่งไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า?” พระชายาหลิ่วหัวเราะเยาะตนเองเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “พวกเราถูกไล่ล่า เขาจึงส่งเสียงดังไม่ได้ ยิ่งไม่อาจออกไปข้างนอกได้ตามใจ ฉะนั้นจึงต้องมีอะไรสักอย่างเพื่อฝึกความอดทนของเขา”สิ่งที่ตอนนี้ดูเหมือนจะง่ายดายนั้น คือสิ่งที่นางทุ่มเทเวลาไปมากกว่าจะฝึกให้เขาทำได้ฮ่องเต้หย่งชางพลันเงียบไปโชคดีที่ในตอนนั้น ขันทีเซี่ยก้าวเข้ามาจากด้านนอก รายงานเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท องครักษ์เสื้อแพรที่ประจำการฝั่งตะวันตกเกิดปัญหา ทำให้คนของลัทธิปทุมพิสุทธิ์กลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งแฝงตัวขึ้นเขามาได้พ่ะย่ะค่ะ”การเสด็จของฮ่องเต้หย่งชางล้วนอยู่ในการดู
ทันทีที่เสิ่นเจียหล่างเริ่มไอ ชีหยวนที่ไม่ค่อยเผยอารมณ์ให้ใครเห็น น้ำเสียงกลับสั่นเครือเล็กน้อย นางเอื้อมมือไปปัดเศษดินจากปากและใบหน้าของเสิ่นเจียหล่างออก พลางเอ่ยเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “ขอโทษ ขอโทษ”เสิ่นเจียหล่างกำหมัดแน่น เงยหน้ามองชีหยวนด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย น้ำเสียงสั่นเครือไม่ต่างกัน แต่ยังคงเอ่ยตอบชีหยวนอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าไม่ร้องไห้ ข้ากลั้นไว้แล้ว! ข้ารู้ว่าพี่สาวจะต้องมาช่วยข้า ข้าไม่ร้องไห้!”ตอนที่เขารอให้แม่กลับมารับ เขาไม่ร้องไห้ตอนที่ถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในโลงจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เขาก็ยังไม่ร้องไห้เด็กคนนี้ เหมือนกับนางยามเยาว์วัยไม่มีผิดตอนเด็กนางตกลงไปในแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยงูเขียวเพราะพลาดขณะตัดฟืน ปฏิกิริยาแรกไม่ใช่การร้องไห้ แต่เป็นการคว้ากิ่งไม้ไว้แน่น ฝืนความเจ็บปีนขึ้นหน้าผาไปชีหยวนอยากจะร้องไห้เหลือเกิน แต่สุดท้ายนางก็ไม่ร้องแม้แต่น้ำตาหยดเดียวก็ไม่อยากหลั่ง ใครที่ทำร้ายคนของนาง ผู้นั้นสมควรตายผู่อู๋ย่งตายไปแล้ว แต่เรื่องครั้งนี้ ไม่มีทางไม่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงเป่าหรงและอ๋องฉีผู่อู๋ย่งกลัวว่าฉือซานจะไม่มีคนอยู่ในปรโลกด้วยมิใช่หรือ?นางก็จะส่งเพื่อนลง
ท้ายที่สุดแล้ว ฉือซานก็เคยเป็นใหญ่ที่นี่มานานกว่าสิบปี ที่นี่แทบจะเป็นรังแสนสุขของเขาเลยก็ว่าได้อีกทั้งฉือซานก็ตายที่นี่ ผู่อู๋ย่งย่อมต้องอยากให้ศพของฉือซานฝังไว้ที่นี่เขาเอ่ยข้อสันนิษฐานของตนออกมาชีหยวนพยักหน้า เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของเซียวอวิ๋นถิงทว่าใบหน้าของเซียวอวิ๋นถิงกลับดูไม่สู้ดีนัก เขากล่าวว่า “ค้นทั่วทุกแห่งแล้ว ไม่พบว่าที่ใดมีร่องรอยการขุดดินเลย...”หากยังค้นหาแบบนี้ต่อไป คนที่ถูกฝังทั้งเป็นในโลงศพ เกรงว่าคงจะสิ้นลมหายใจเขาเริ่มวิตก และก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อยในตอนนั้นชีหยวนได้ส่งองครักษ์ของตระกูลชีไปที่เรือนพักนอกเมืองแล้วเขาเองยังนึกว่าหากผู่อู๋ย่งจะลงมือ ก็ต้องเล็งไปที่คนในครอบครัวของชีหยวนใครจะรู้ว่าเป้าหมายที่ผู่อู๋ย่งเลือก กลับกลายเป็นจวนพักนอกเมืองกำลังคนแตกต่างกันลิบลับ เรื่องนี้จึงแทบจะไร้หนทางรับมือจู่ ๆ ชีหยวนก็พลันนึกถึงกลิ่นที่แขนเสื้อของผู่อู๋ย่งยามที่นางลงมือสังหารเขาเป็นกลิ่นหอมของไม้กฤษณาชั้นดีผสานกับกลิ่นดอกเหมยนางเองก็เคยได้กลิ่นนี้จากตัวของฉือซานมาก่อนฉือซาน!นางหันไปมองเซียวอวิ๋นถิงทันที “ข้างหลังเรือนของฉือซาน มีสวนดอกเหม