เขารู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมากเพราะตราประทับนั้นมีรูปทรงประหลาดนัก เป็นหยกแกะสลักเป็นรูปปลาเป็นคู่ งานฝีมือวิจิตรหายาก และหัวท้ายเชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียว ยากยิ่งที่จะทำเลียนแบบขึ้นมาได้แทบจะยืนยันได้เลยว่า เป็นคนของอ๋องฉีจริง ๆ ที่มาพบเขาเฉาซิงวั่งกดเสียงลงต่ำ “มาหาในเวลาแบบนี้ทำไมกัน? เรื่องในวังยังวุ่นวายยิ่งนัก”แต่คนผู้นั้นกลับไม่รีบร้อน เอ่ยเสียงต่ำว่า “เฉากงกง ท่านลองดูหน่อยว่าข้าเป็นใคร?”พูดไปพลางก็ยกมือดึงที่ใบหน้าอย่างฉับพลัน กระชากหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก เผยโฉมหน้าเดิมออกมาพอเห็นรูปลักษณ์ของเขา เฉาซิงวั่งถึงกับผงะตัวสะดุ้งในบัดดล แล้วค่อยได้สติกลับมา สูดหายใจเฮือกใหญ่ “ฉีหลิน! เจ้า เจ้าเข้ามาในวังได้อย่างไรกัน?!”ฉีหลินนั้นคือคนสนิทของอ๋องฉี ผู้ใดบ้างที่ไม่รู้?อันที่จริงเฉาซิงวั่งก็รู้ดีว่าฉีหลินพำนักอยู่ในเมืองหลวงคอยช่วยเฝิงไฉ่เวยทำงานแต่ไม่คาดคิดว่า ฉีหลินจะกล้าบ้าบิ่น แอบลอบเข้ามาในวังได้เช่นนี้เขาเอ่ยเสียงร้อนรนว่า “เจ้ามันช่างกล้าเกินไปแล้ว! เฝิงไฉ่เวยเพิ่งตายไปเอง เหตุใดเจ้าจึงเข้ามาในเวลานี้?”ฉีหลินถอนหายใจ “ก็เพราะเฝิงไฉ่เวยตายแล้วนี่แหละ ดัง
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องราวถึงวกวนมาถึงตัวเฉาซิงวั่งได้ทว่าเฉาซิงวั่งผู้นี้ก็นับว่าใช้ชีวิตราบรื่นมาโดยตลอดหลังผู่อู๋ย่งตายลง ภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับอยู่บนศีรษะของเขาก็พลันหายไปเพราะว่าขันทีอาลักษณ์แห่งกรมขันทีพระราชพิธีสิ้นชีพลงแล้ว ยังหาคนที่เหมาะสมมารับตำแหน่งแทนไม่ได้ เรื่องนี้จึงตกเป็นงานของเขาเป็นการชั่วคราวนี่ช่างเป็นดั่งโชคดีที่ร่วงมาจากฟ้าโดยแท้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขายังนึกว่าตนจะต้องถูกภูเขาสองลูกทับกดไปชั่วชีวิตเสียแล้วไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้พูดไปแล้ว เขายังต้องขอบพระคุณอ๋องฉีหากมิใช่อ๋องฉีหยิบยื่นโอกาสให้เขาได้ไปปรากฏกายอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้หย่งชางบ่อยครั้ง เวลานี้ก็คงไม่ถึงคราวของเขาครั้นนึกถึงอ๋องฉี เฉาซิงวั่งก็แอบทอดถอนใจในใจท่านอ๋องช่างลำบากโดยแท้หงตูที่แห่งนั้น แม้จะกล่าวกันว่ามีทรัพยากรสมบูรณ์พรั่งพร้อม แต่ไหนเลยจะเทียบได้กับความรุ่งเรืองของนครหลวง?ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ เป้าหมายล้วนเป็นบัลลังก์มังกรทว่าเวลานี้กลับจำต้องพำนักอยู่หงตูยิ่งไปกว่านั้น ขาของท่านอ๋องยังได้รับบาดเจ็บ เวลานี้ไม่รู้เลยว่าเป็นเช่นไรแล้วบ้างคิดถ
ท่านโหวผู้เฒ่าชีพลันรู้สึกกระสับกระส่ายไม่อาจนั่งนิ่งได้เวลานี้พวกเขากับเซียวอวิ๋นถิงเปรียบเหมือนอยู่บนเรือลำเดียวกัน สุขก็สุขร่วมกัน พินาศก็พินาศด้วยกัน หากเซียวอวิ๋นถิงเป็นอันใดไป พวกเขาก็ย่อมสิ้นหนทางครานี้ท่านโหวผู้เฒ่าชีก็เผยให้เห็นถึงความเด็ดขาด กดเสียงต่ำกล่าวว่า “แม่หนูหยวน ข้าจะไปฆ่าเขาเสีย!”เพียงเฉาซิงวั่งขันทีสุนัขผู้นี้ตาย ความเสี่ยงทั้งปวงก็จะหายไปโดยไร้ร่องรอยโดยปกติ คำว่าฆ่าคนนั้นเป็นสิ่งที่ชีหยวนมักเอ่ยขึ้นเอง แต่ครานี้กลับเป็นท่านโหวผู้เฒ่าชีที่เอ่ยออกมาชีเจิ้นเพิ่งก้าวเข้ามาก็ได้ยินประโยคนี้ พลันยันมือลงกับชั้นวางของข้างกายในใจแอบหวาดหวั่น คิดว่าชั้นวางนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยมั่นคงแล้ว วันพรุ่งต้องหาคนมาทำใหม่ให้แข็งแรงขึ้นกว่านี้เพิ่งฆ่าคนไปตั้งมากมาย ทั้งเฝิงไฉ่เวย เถียนเป่าซื่อ และเถียนป๋อจือพอนับดูแล้ว เหมือนต่อเนื่องกันไม่หยุดเหตุใดไม่ปล่อยให้พักหายใจกันสักสองสามวัน แล้วค่อยฆ่าคนต่อเล่า?อย่างน้อย อย่างน้อยก็ให้ตระกูลเถียนจัดพิธีศพครบเจ็ดวันก่อนแล้วค่อยไปฆ่าคนต่อก็ได้กระมัง?แต่เขาเองก็รู้ ว่าตนเพียงคิดฟุ้งซ่านไปเท่านั้นเพราะความจริงก็คือ พ้นเจ
ฮ่องเต้หย่งชางอาจถึงกับระแวงไปว่า เซียวอวิ๋นถิงที่อยู่เขาหลงหู่ซานมาหลายปี หากรู้ทั้งรู้ว่าคดีเขาเหมาซานเป็นการใส่ร้ายป้ายสี แต่กลับเลือกที่จะเงียบ อดกลั้นมิกล่าวออกมา ก็เท่ากับว่าตั้งใจปิดบัง รอเวลาแก้แค้นภายหลังชีหยวนถีบฉีหลินไปหนึ่งที “ติดต่อเฉาซิงวั่งอย่างไร?”ครานี้ฉีหลินไม่มีสิ่งใดปิดบังอีกแล้ว ทำหน้าราวกับร้องไห้ เอาตราประทับน้อยออกมาส่งให้ “สิ่งนี้ เพียงเฉากงกงเห็นตรานี้ ก็จะเข้าใจว่าต้องทำอย่างไร”ชีหยวนรับคำในลำคอ โน้มกายลงตบหน้าฉีหลินเบา ๆฉีหลินสะท้านจนตื่นตระหนก รีบเอ่ยถาม “คุณหนูใหญ่ชี ข้าบอกทุกสิ่งแล้ว ท่าน ท่านปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”ชีหยวนหัวเราะเบา ๆ “พอดีเลย ข้ายังมีเรื่องหนึ่งอยากเจรจากับเจ้า หากเจ้าร่วมมือ ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่ตาย แถมยังหลุดพ้นจากอ๋องฉีได้ด้วย ว่าอย่างไร?”ฉีหลินหลับตาลงครู่หนึ่งสหายของเขาล้วนสิ้นชีพหมดแล้วหากอ๋องฉีเห็นพวกเขาเป็นคนสนิท เป็นคนของตนจริง เช่นนั้นต่อให้เกิดเรื่องใดขึ้น เขาก็ไม่มีทางคิดทรยศแต่ปัญหาก็คือ อ๋องฉีหาได้เป็นเช่นนั้นไม่เขามักอารมณ์แปรปรวนไม่แน่นอน เงินทองให้เต็มมือก็จริง แต่เพียงทำผิดพลาดขึ้นมา ไม่ว่าความผิดเล็กห
ชีหยวนไม่เคยละทิ้งความคิดที่จะสังหารสวีไห่เลยแม้แต่ชั่วขณะบุรุษผู้นั้นเหี้ยมโหดไร้มนุษยธรรมแถมยังเจ้าเล่ห์นัก ชำนาญในการทำลายกำลังใจผู้คนครั้งนั้นกองกำลังป้องกันถูกซุ่มโจมตี ในมือของสวีไห่ยังมีอาวุธที่ซื้อจากชาวผูเถาหยา[1]มา ใช้การได้ดีกว่าปืนไฟของต้าโจวมากนัก จึงทำให้พวกเขาสูญเสียอย่างหนักสามเณรน้อยบังร่างนางไว้ข้างหน้า อกถูกยิงจนร่างแทบกลายเป็นโพรงโลหิตถึงเพียงนั้น สามเณรน้อยก็ยังจับมือนางไว้ พูดเสียงเบา “ท่านต้องกลับบ้าน ท่านต้องมีชีวิตรอดกลับบ้าน”นับแต่วันนั้น ชีหยวนจึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องเข้าไปในจวนอ๋องฉีเพื่อสังหารอ๋องฉีให้ได้เพราะด้วยการอุปถัมภ์ของอ๋องฉี สวีไห่ถึงได้ขยายกำลังอย่างรวดเร็วเขาช่วยอ๋องฉีลักลอบค้าของเถื่อน อ๋องฉีก็ให้การคุ้มครองเขาทว่าก่อนหน้านั้น นางเคยคิดว่าตนจะต้องสิ้นชีพในวันนั้นแล้วเพราะสุดท้ายแล้ว สวีไห่คนนี้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมสังหารคนไร้ร่องรอย มิใช่ผู้จะมีเมตตาในหัวใจแม้แต่น้อยแต่ครั้งนั้น สวีไห่กลับเมิได้ฆ่านาง หากเพียงแทงทะลุกระดูกสะบักนาง แล้วโยนทิ้งลงบนโขดหิน มองนางแล้วยิ้มแย้มพลางพูดว่า “ใกล้น้ำขึ้นแล้ว ลองดูสิว่าวันนี้โชคของเจ้า
นางรู้แจ้งแก่ใจ อ๋องฉีให้ฉีหลินอยู่ข้างกายเฝิงไฉ่เวย ย่อมไม่มีเจตนาดีเป็นแน่เพียงแต่ครานี้ถูกจับได้ หากความอดทนของเฝิงไฉ่เวยมากกว่านี้อีกสักหน่อย รั้งไว้นานกว่านี้อีก มีฉีหลินอยู่ด้วย ไม่รู้เลยจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้างไม่ง่ายเลยกว่านางจะเดินมาถึงก้าวนี้เกือบจะได้มีชีวิตเหมือนเช่นคนธรรมดาแล้วหากใครมาขวางทางนาง คนผู้นั้นก็คือศัตรูของนางตายก็ไม่ต้องเสียดายฉีหลินร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เห็นชีหยวนยังไม่สะทกสะท้าน หยิบเข็มขึ้นมาอีกครั้ง จึงกรีดร้องออกมา “ท่านอ๋องก็เพียงอยากให้พวกข้าพาเจ้าไปหงตูเท่านั้น! ท่านอ๋องพึงใจต่อเจ้า ก็แค่นั้นเอง!”พึงใจหรือ?ตัดแขนตัดขา ทำให้นางหมดสภาพความเป็นมนุษย์ นั่นเรียกว่าพึงใจอย่างนั้นหรือ?ชีหยวนหัวเราะเบา ๆ นิ้วมือลากไปบนร่างฉีหลิน แล้วหยุดลงที่จุดหนึ่ง เอ่ยเสียงแผ่ว “ตรงนี้คือจุดหมิงเหมิน[1]หากข้าแทงลงไปอีก เจ้าก็จะตาย”ฉีหลินตกใจจนหน้าซีดเผือดชีหยวนจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ “ว่าอย่างไร จะพูดหรือไม่พูด?”ฉีหลินไม่อาจทนต่อไปได้แล้วจริง ๆเขาเองก็รู้ว่าชีหยวนจัดการได้ยากยิ่งจูเชวี่ย เสวียนอู่และไป๋หู่ ล้วนสิ้นชีพอยู่ในมือของชีหยวนทั้งสิ้น