ยิ่งซูชิงชิงไม่ยอมให้คนเข้าไป ก็ยิ่งแปลว่าข้างในมีเรื่องผิดปกติ นอกจากนี้ เหล่านางกำนัลและหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ในตำหนักนางล้วนไปที่ใดแล้ว ผ่านมาค่อนคืนแล้วจึงยังไม่เห็นคนสี่หมัวมัวอยากช่วยระบายโทสะให้ฮองเฮานานแล้ว เมื่อได้โอกาสย่อมไม่มีทางปล่อยไป นางพาคนบุกเข้าไปทันทีทุกสิ่งภายในล้วนไม่เที่ยง สี่หมัวมัวจึงไปค้นหาบนเตียงอีกครั้ง ทว่าบนเตียงก็ไร้ซึ่งความผิดปกติใด กระทั่งใต้เตียงก็ถูกดูไปแล้วเมื่อเห็นว่านางมุ่งหน้าไปทางห้องข้างของตำหนัก ซูกุ้ยเฟยก็ตะโกนเรียกออกมา “สี่หมัวมัว…”สี่หมัวมัวตกใจจนสะดุ้ง คิดอยากด่านางว่าร่ำร้องอะไรซูกุ้ยเฟยก็พูดต่อว่า “ด้านในซ่อนคนไม่ได้หรอก หากไม่เชื่อหมัวมัวก็เข้าไปดูเถิด”สี่หมัวมัวก็เลิกม่านขึ้นเดินเข้าไปจริงๆ ภายในว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่จริงๆ แต่ว่ากลับมีกลิ่นชนิดหนึ่งอวลอาย ทำให้คนรู้สึกอยากอาเจียนสี่หมัวมัวเปิดตู้เสื้อผ้าออก ภายในไม่มีวี่แววของคน แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ในตู้เสื้อผ้ากลับกระจัดกระจายเต็มตู้ไปหมด นางตาแหลมจึงพบชุดบุรุษที่ด้านล่างสุดของตู้เสื้อผ้า กระทั่งยังมีสายรัดเอว รองเท้าและถุงเท้าด้วย เนื่องจากไม่พบตัวคน นางจึงไม่กล้าโหวกเหวกโวย
บุรุษผู้นั้นหวาดกลัวจนร่างกายสั่นเทา เอาแต่คุกเข่าขอความเมตตา “ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย ข้าถูกใส่ร้าย เป็นนางล่อลวงให้เข้าวังไปที่สวนบุปผชาติ ข้ารออยู่ที่นั่นตลอดกระทั่งฟ้ามืด ข้า…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ เมื่อครู่ก็เป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพราะนางต้องการข้าถึงได้ทำให้นาง”คำพูดของชายหนุ่มเต็มไปด้วยถ้อยคำสกปรกหยาบคาย ลืมเลือนสิ่งที่ซูกุ้ยเฟยกำชับเขาไว้ไปจนหมดสิ้นซูกุ้ยเฟยนึกเสียใจ เมื่อครู่ก็ไม่ควรเกลี้ยกล่อมให้เขาออกไปซ่อนด้านนอก แต่ควรฆ่าเขาไปเสียเลยนางดึงดาบของผู้บัญชาการซางออกมาได้ก็หมายจะฟันลงไป แต่กลับถูกคนปัดออกก็เห็นใบหน้าของเซี่ยอวี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ตอนนั้นที่ซูกุ้ยเฟยวางแผนให้ร้ายเขา เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้แก้แค้นเร็วถึงเพียงนี้ เขากล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าซูกุ้ยเฟยก็มีวันนี้ เรื่องนี้เพียบพร้อมทั้งพยานหลักฐานจริงๆ”เดิมที่เยี่ยนเฟยมิได้มาปรากฏกายในงานเลี้ยง แต่ความเคลื่อนไหวในวังหลังเกิดเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ นางย่อมต้องมาร่วมสนุกด้วยอยู่แล้วเป็นธรรมดา “ซูกุ้ยเฟยอายุยังน้อย รูปโฉมก็งดงาม ย่อมไม่อาจทนต่อความว้าเหว่เดียวดายในวังหลังได้ กุ้ย
ซูกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อยู่ในวังหลังมาหลายปี นางไม่มีทางขุดหลุมฝังตัวเองแน่เซี่ยซางได้กลิ่นแผนการร้ายที่อยู่ภายในเขาเหลือบมองซูถิงหว่านอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงทุ้มหนักว่า “เมื่อครู่เป็นชายารองเชิญพระชายาไปชมดอกไม้ที่สวนบุปผชาติ หวานหว่านเริ่มชอบชมดอกไม้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”เขาจำได้ว่า ซูถิงหว่านเคยพูดว่า ไม่ชอบการปลูกดอกไม้ต้นไม้ที่สุด รู้สึกว่ายุ่งยาก หากนางมีเวลามิสู้ไปฝึกซ้อมวิชากระบี่ดีกว่าซูถิงหว่านรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง “หม่อมฉันรู้ว่าพระชายาเป็นผู้ที่ชื่นชอบดอกไม้ พอรู้ว่าดอกไม้ในสวนบุปผชาติเบ่งบาน จึงคิดไปดูกับนาง อันที่จริงแล้ว หม่อมฉันคิดว่า ในเมื่อตอนนี้แต่งกับท่านอ๋องแล้ว ได้รู้ว่าท่านอ๋องทรงรักใคร่พระชายา จึงคิดเลียนแบบพระชายาไปชอบพวกดอกไม้ต้นไม้บ้าง เพื่อให้ท่านอ๋องทรงโปรดปรานบ้าง ”นางกล่าวเช่นนี้ก็นับว่ามีเหตุผล เนื่องจากเซี่ยซางเย็นชาไม่สนใจนางมาเป็นเวลานานแล้วในเวลานั้นเอง ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทเสด็จ” ทำให้ทุกคนรีบคุกเข่าลง และส่งร้องขานเสียงดังว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”คนทั้งหมดล้วนไม่กล้าลุกขึ้น ยิ่งไ
อสนีบาตผ่าเปรี้ยงลงมากกลางท้องฟ้า จากนั้นก็เป็นพิรุณห่าใหญ่ก็โหมกระหน่ำลงมาอวิ๋นฟางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ รอบกายมืดมิดไปหมด เมื่อนางลืมตาขึ้นมาก็เห็นกิ่งไม้นอกหน้าต่างไหวเอนไปมาราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังคำราม นางหวาดกลัวจนอกสั่นขวัญแขวนไปหมดในเวลานั้นเอง ห้องด้านข้างก็มีเสียงที่ทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนดังมา นางมองลอดรอยแยกของประตูออกไป ก็เห็นนางกำนัลและขันทีที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยสองคนกำลังทำเรื่องอย่างว่าอยู่ อวิ๋นฟางไม่รู้สึกประหลาดใจ เรื่องโสมมในวังมีไม่น้อย ชีวิตในส่วนลึกของวังเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว จึงขันทีและนางกำนัลแอบจับคู่กันไม่น้อยการที่นางถูกคนตีจนสลบอยู่ที่นี่ แสดงชัดว่าแผนการรั่วไหลแล้ว ได้แต่รอให้ชายหญิงที่ห้องข้างเสร็จกิจ นางจึงค่อยเคาะกำแพงคนทั้งสองต่างตื่นตระหนก “ผู้ใดกัน”อวิ๋นฟางยื่นศีรษะออกไป บนใบหน้าสวมผ้าคลุมหน้าไว้ ยิ้มให้คนทั้งสอง “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แต่เรื่องที่พวกเจ้าแอบทำที่นี่ล้วนถูกข้าเห็นจนหมดสิ้นแล้ว นางชื่อชุ่ยฮวา เป็นข้ารับใช้ในตำหนักงานทั่วไป ส่วนเจ้าชื่อซุ่นจื่อ เรื่องเมื่อครู่พวกเจ้าคงทำกันบ่อยกระมัง! หากลือออกไป… ”นางรู้ว่าแม้เรื่องนี้จะพ
เซี่ยซางก็คุกเข่าอยู่ท่ามกลางสายฝนเช่นกัน เขาปล่อยให้สายฝนตกกระทบลงบนร่าง ทั่วทั้งร่างของเขาเปียกโชกไปหมดแล้ว ทว่าท้องฟ้าราวกับเกิดรูรั่วก็ไม่ปาน ฝนยิ่งตกยิ่งหนักแล้วเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียว ในคืนนี้ไม่ว่าจะเป็นคำให้การของชายผู้นั้นหรือคำแก้ตัวของซูกุ้ยเฟย ล้วนมีพิรุธไปเสียทุกจุด ที่เสด็จพ่อเลือกที่จะอดทนก็เพียงเพื่อรักษาเกียรติยศของราชวงศ์เท่านั้นซูกุ้ยเฟยเป็นสตรีของฮ่องเต้ แต่นางกลับมีสัมพันธ์สวาทกับบุรุษอื่น ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จล้วนไม่อาจป่าวประกาศจนรู้กันไปทั่วทว่าฮองเฮากลับทรงไปจับชู้ด้วยองค์เอง ทำเอาคนรู้กันไปทั่ว เยี่ยนเฟยกับอวี้อ๋องยิ่งพยายามลงดาบซ้ำเติม ก่อความวุ่นวายให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่อีก องค์ชายสามยิ่งไร้สามารถถึงกระทั่งแค่เดินก็ยังเป็นปัญหา องค์ชายสี่อ่อนแอขี้ขลาดรู้จักแต่ร้องไห้ องค์ชายห้าเพิกเฉยไม่ข้องแวะ รักษาตัวรอด…ฮ่องเต้รู้สึกหนาวเหน็บในใจที่เขามีโอรสมากมาย แต่กลับไม่มีสักคนที่แบกรับงานใหญ่ได้ เหล่าสนมนางในในวังหลังต่างก็แก่งแย่งชิงดี สู้กันจนตายไปข้าง ฮ่องเต้รู้สึกว่าตนเองช่างโดดเดี่ยวเดียวดายจริงๆเรื่องนี้ทำให้ทูตแคว้นเจาซีเห็น
ทางด้านนี้ เฉิงฮองเฮาเดินเข้าไปในตำหนักเฉิงเฉียนโดยตรง นางกล่าวเสียงหนักว่า “ข้าต้องการสนทนากับฝ่าบาทเพียงลำพัง หัวหน้าขันทีเฉาออกไปสักครู่เถิด!”ขณะที่หัวหน้าขันทีเฉากำลังลำบากใจ ฮ่องเต้พลันพูดออกมาว่า “เราหิวแล้ว ไปหาของกินมาให้เราสักหน่อย”หัวหน้าขันทีเฉารีบรับคำติดๆ กันทันทีฮองเฮาเดินไปถึงเบื้องหน้าฮ่องเต้ ไม่กล่าวสิ่งใดก็คุกเข่าลงทันที “เรื่องที่เกิดในตำหนักซูชิงชิงไม่ใช่แผนการของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีทางลดตัวไปใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้ไปทำร้ายความบริสุทธิ์ของสตรีนางหนึ่ง เพราะหม่อมฉันก็เคยถูกให้ร้ายมาก่อน รู้ว่าการถูกคนใส่ความว่าคบชู้สู่ชายรสชาติเป็นเช่นใด หลายปีมานี้หม่อมฉันก็อยู่ไม่สู้ตาย มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้น”ดวงเนตรที่เย็นชาดุจน้ำแข็งของฮ่องเต้ตวัดมาที่นาง “เจ้ากำลังพูดว่าหลายปีมานี้ข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี เจ้าได้ครอบครองตำแหน่งที่สตรีทั่วทั้งใต้หล้าอยากได้ เจ้ายังมีสิ่งใดที่ไม่พอใจอีก”“หม่อมฉันไม่กล้ากล่าวโทษว่าฝ่าบาททรงไม่ดีต่อหม่อมฉัน บัดนี้หม่อมฉันเป็นถึงฮองเฮาของพระองค์แล้ว ยังจะกล้าไม่พอใจอีกได้อย่างไร ฝ่าบาททรงเป็นโอรสสวรรค์ เป็นเสาหลักของราษฎรทั่วทั้งใต้หล้า
เมื่อออกมาจากวัง เซี่ยซางก็สั่งให้สารถีส่งคนทั้งสองกลับจวน เป็นเจียงเฟิ่งหัวยืนกรานให้คนขับรถม้าตามเขาไป ในเมื่อเรียกขึ้นรถม้าไม่ได้ เช่นนั้นพวกนางก็จะตามไปอย่างเงียบๆเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ฮ่องเต้สงสัยว่าฮองเฮาเป็นผู้กระทำ จึงพาลโมโหเซี่ยซางไปด้วย เจียงเฟิ่งหัวเดาว่าเป็นเพราะเซี่ยซางไม่ได้รับความเชื่อใจจากฮ่องเต้ จึงทำให้เขาตกสู่ภาวะซึมเศร้าจนอารมณ์แปรปรวนนางคิดไม่ถึงว่า เซี่ยซางซึ่งเป็นบุรุษชาติอาชาไนยผู้หนึ่งจะโศกเศร้าถึงเพียงนี้เพียงเพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากบิดา เขาปรารถนาการยอมรับจากฮ่องเต้มาตลอดไม่ผิด ตัวเซี่ยซางในยามนี้ปวดร้าวเป็นอย่างมาก นางมองออกแล้วเจียงเฟิ่งหัวเห็นฝนตกหนักไม่หยุด หากเซี่ยซางยังตากฝนต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้แม้นางจะรู้ว่าเซี่ยซางไม่มีทางตายด้วยเหตุนี้ แต่เรื่องที่นางต้องการทำยังไม่สำเร็จ และนางก็ไม่ต้องการสามีที่ในอนาคตเอาแต่ป่วยกระเสาะกระแสะเช่นกันทันใดนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้รถม้าหยุด นางหยิบร่มได้ก็กระโดดลงไปเมื่อซูถิงหว่านได้เห็นท่าสาวเท้าที่รวดเร็วดั่งสายลมของนางก็ตะลึงงัน นางจำได้ว่า ทุกครั้งที่เจียงเฟิ่งหัวลงจา
เมื่อขึ้นไปบนรถม้าแล้ว เซี่ยซางก็หยิบเสื้อคลุมมาคลุมลงบนร่างของนาง จากนั้นโอบนางไว้ในอ้อมกอดช่วยนางเช็ดผม เจียงเฟิ่งหัวดึงมือเขาออกไป “ท่านอ๋องก็เปียกโชกไปทั้งตัวเหมือนกัน ให้หม่อมฉันเช็ดให้ท่านด้วยเถอะเพคะ”“ร่างกายของข้าสบายดี แต่เจ้านั่นแหละ อย่าได้เป็นหวัดเชียว” เซี่ยซางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงน้ำเสียงของเขาอ่อนละมุน แต่เมื่อดังเข้าหูซูถิงหว่านกลับทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง รถม้าอันกว้างขวางอย่างน้อยก็สามารถรองรับได้สามถึงสี่คน พวกเขากลับอิงแอบแนบชิดพลางแสดงความห่วงใยซึ่งกันและกัน นางจึงกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “เจียงเฟิ่งหัว เจ้าอย่าได้เสแสร้งอีกเลย เจ้าจงใจลงไปร่ายรำยั่วยวนอาซาง”เซี่ยซางคิดไม่ถึงว่า ยามนี้ซูถิงหว่านจะพูดจาหยาบกระด้าง ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ เขามองนางผิดไปจริงๆ ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากเจียงเฟิ่งหัวก็เขยิบกายนั่งห่างออกจากเซี่ยซางออกไปช่วงหนึ่ง แววตาของนางกระจ่างใส “ชายารองซูหมายความว่าอย่างไร?”ต่อหน้าของเซี่ยซาง ซูถิงหว่านกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้ากระโดดลงจากรถม้า”เจียงเฟิ่งหัวเบิกตากว้างอย่างไม่เข้าใจ
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค
ครั้นส่งสี่หมัวมัวออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิอาจใจเย็นอยู่เฉยได้ ซูถิงหว่านต้องมีความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติแล้วแน่ ซูถิงหว่านรู้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะได้เป็นฮองเฮา เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยว หากมิใช่เพราะการตายของจีเฉินทำให้การเดินทางของนางล่าช้า นางอาจจะมุ่งหน้าไปเขตชายแดนเพื่อรวมตัวกับคนสกุลซูแล้วก็ได้ นางมิอาจเอาความโปรดปรานของเซี่ยซางมาเดิมพันว่าตำแหน่งของนางจะมั่นคง เมื่อวานฝ่าบาทนอกจากพระราชทานสิ่งล้ำค่าให้กับนางเพื่อเป็นรางวัลแล้ว ยังพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำส่วนพระองค์ป้ายหนึ่งให้กับนางด้วย ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘เสมือนฮ่องเต้เสด็จ’ มีมันแล้ว นางก็สามารถเดินผ่านได้ทุกที่ในวังหลวงแม้กระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ตอนแรกนางงุนงงอยู่เล็กน้อย ต่อมาเฉากงกงถึงได้เร่งให้นางรีบกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้ สัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์อันนี้ก็คืออำนาจ คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หน้าซีดเชียวเพคะ” เหลียนเย่เห็นนางเงียบไปนาน เหม่อลอยอยู่ตามลำพัง “เปล่า อาจเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหน่อยกระมัง ข
สี่หมัวมัวตกใจกลัวตัวสั่น รีบยั้งปากทันใด ครั้นมาถึงด้านในตำหนักเฉินซี เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้เหลียนเย่ปิดประตูทันที ทิ้งให้อยู่ในห้องกับสี่หมัวมัวลำพัง เห็นเพียงนางสีหน้าเยือกเย็น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “สี่หมัวมัว เจ้าคงจะทราบดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ บัดนี้เสด็จพ่อมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังมิได้แต่งตั้ง เจ้ากลับเผยแพร่คำพูดเหล่านี้โดยพลการ มิเพียงเจ้าจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้ แม้แต่เสด็จแม่ ท่านอ๋องและข้าก็จะพลอยได้รับเคราะห์จากคำพูดประโยคนี้ของเข้าไปด้วย” สี่หมัวมัวตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลพราก ๆ “บ่าวทราบเพคะ ดังนั้นบ่าวถึงได้เก็บงำไว้ในใจมาตลอด บางคำมิได้พูด บ่าวเองก็ทุกข์ใจเพคะ หนนี้ถึงได้อยากแจ้งพระชายา อยากให้พระชายาช่วยโน้มน้าวฮองเฮาด้วยเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างจงใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้อยคำเหล่านี้พระชายารองซูเอ่ยกับเสด็จแม่ เจ้ามิได้โป้ปดจริงแน่หรือ” สี่หมัวมัวเล่าอย่างละเอียดไม่มีปิดบัง “ถ้อยคำเหล่านี้บ่าวมิได้เป็นคนพูดเพคะ บ่าวจะกล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไรเพคะ และมิใช่ฮองเฮาเป็นคนตรัสด้วยเพคะ ถ้อยคำเห
ผ่านไปสองวัน ซูถิงหว่านยังไม่กลับมา สุดท้ายแล้วนางเลือกเดินซ้ำรอยเดิมของชาติก่อนติดตามเซี่ยซางไปที่เขตชายแดน และที่น่าขันคือข่าวนี้เฉิงฮองเฮาเป็นคนมาบอกนางด้วยตนเอง ได้ยินเฉิงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายารองซูไปที่เขตชายแดนเพื่อช่วยซางเอ๋อร์ทำศึก ซางเอ๋อร์เองก็จำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย ส่วนเจ้าก็ท้องแก่แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้นางไป หรวนหร่วนเจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง” เจียงเฟิ่งหัวผุดยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงคิดรอบคอบ ท่านอ๋องมีคนเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกายสักคนก็นับว่าดีเพคะ เพียงแต่เหมันต์ฤดูอากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก และอีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว พระชายารองซูเป็นสตรีตัวคนเดียวเดินทางไปเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือเพคะ” “นางมีวรยุทธ์ติดตัว และมีกองทัพสกุลซูปกป้องคุ้มครอง ปลอดภัยไร้กังวล เราเห็นว่านางก็มิได้มีท่าทีอิดออดอะไร” “เป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนักเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฮองเฮาเปลี่ยนใจรวดเร็วเสียจริง ตอนแรกยังคัดค้านเซี่ยซางอย่างสุดกำลังไม่ให้พาสตรีไปออกศึก อ้างว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ถึงขั้นทำลายความองอาจน่าเกรงขามของหัวหน้าแม่ทัพ ทว่าบัดนี้กลับอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น