Share

๒๒ เปิดโปงสู่สาธารณะ

last update Last Updated: 2025-10-17 22:17:16

หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อน

นี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...

สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกครา

ทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด

บัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิประจำปี 1987 อย่างเป็นทางการ และที่สำคัญที่สุดในงานจะมีการชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับข่าวลือที่เกิดขึ้นด้วย

การกระทำนี้สามารถดึงความสนใจของสาธารณชนพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุด ทุกคนต่างเฝ้ารอว่าหลินเยว่ซินจะออกมาตอบโต้เรื่องราวทั้งหมดนี้อย่างไร

ณ ห้องจัดเลี้ยงที่หรูหราที่สุดของโรงแรมประจำอำเภอ บรรยากาศในวันนี้คึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ห้องทั้งห้องอัดแน่นไปด้วยนักข่าวจากหลากหลายสำนัก แขกผู้มีเกียรติในแวดวงธุรกิจ และกลุ่มลูกค้าคนสำคัญของร้าน แสงไฟจากกล้องถ่ายรูปสาดส่องไปมาไม่หยุดหย่อน ทุกคนต่างรอคอยการเปิดฉากมหรสพครั้งประวัติศาสตร์นี้อย่างใจจดใจจ่อ

งานเริ่มต้นขึ้นด้วยการเดินแบบแฟชั่นโชว์คอลเลกชันใหม่ล่าสุด นางแบบซึ่งเป็นพนักงานในร้านและหญิงสาวสวยในเมือง ต่างพากันสวมใส่ชุดกระโปรงลายดอกไม้สีสันสดใสที่ได้รับแรงบันดาลใจจากฤดูใบไม้ผลิออกมาเดินอวดโฉมบนเวที ความงดงามและความคิดสร้างสรรค์ของเสื้อผ้าได้สะกดทุกสายตาและเรียกเสียงชื่นชมได้อย่างท่วมท้น นี่คือการตอกย้ำให้ทุกคนได้เห็นอีกครั้งถึงมันสมองและความสามารถที่แท้จริงของหลินเยว่ซิน

หลังจากแฟชั่นโชว์จบลง ก็ได้เวลาของรายการหลักที่ทุกคนรอคอย

หลินเยว่ซินในชุดกระโปรงสีขาวสะอาดตาที่เธอออกแบบเอง ก้าวขึ้นมาบนเวทีด้วยท่วงท่าที่สง่างามและมั่นคง ใบหน้าของเธอเรียบเฉยแต่แววตากลับฉายประกายกล้าแกร่งราวกับแม่ทัพในสนามรบ ที่มุมหนึ่งของห้องลู่เฟิงยืนกอดอกมองเธออยู่เงียบ ๆ เป็นดั่งภูผาที่คอยเป็นหลักพิงให้เธออยู่เบื้องหลัง

“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติ และพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่านค่ะ” เธอกล่าวเปิดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่ดังชัดไปทั่วทั้งห้อง “ฉันหลินเยว่ซิน ในนามของใบไหวดีไซน์ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้”

เธอหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับนั้นขึ้นมาถือไว้ “ฉันทราบดีว่าหลายท่านที่มาในวันนี้ ไม่ได้มาเพื่อชมเสื้อผ้าคอลเลกชันใหม่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาเพื่อรอฟังคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวในนี้”

บรรยากาศในห้องพลันเงียบกริบลงทันที...

“บทความนี้กล่าวหาฉันในหลายข้อหา ทั้งเนรคุณ ลอกเลียนแบบ และใช้เล่ห์เหลี่ยมทำลายธุรกิจของผู้อื่น” เธอกล่าวเรียบ ๆ “ฉันคงไม่ต้องเสียเวลาปฏิเสธด้วยคำพูดลม ๆ แล้ง ๆ เพราะวันนี้ฉันได้นำความจริงมาให้ทุกท่านได้พิสูจน์ด้วยตาของท่านเอง”

“ข้อหาแรก กล่าวหาว่าฉันเป็นคนก้าวร้าวและชอบหาเรื่องผู้อื่น ความจริงก็คือครอบครัวของฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด!”

เธอให้สัญญาณ และชายคนหนึ่งในสภาพซอมซ่อก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคุมตัวขึ้นมาบนเวที เขาคือหัวหน้าแก๊งอันธพาลที่เคยบุกร้านเมื่อปีก่อน

ชายคนนั้นหน้าซีดเผือด เขาก้มหน้าอ่านคำสารภาพในมือด้วยเสียงสั่นเทา “ฉัน... ข้าพเจ้านายหวังต้าหู่ ขอสารภาพว่าเมื่อปีก่อน ข้าพเจ้าได้รับเงินว่าจ้างจาก... จากคุณหนูซูเหม่ยลี่ให้พาคนไปทำลายร้านของคุณหลินเยว่ซิน...”

เสียงฮือฮาดังกระหึ่มไปทั่วทั้งห้อง!

“ข้อหาที่สอง กล่าวหาว่าฉันใช้เงินปล่อยข่าวลือทำลายคู่แข่ง...” เยว่ซินกล่าวต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “ความจริงก็คือพวกเขาต่างหากที่ใช้เงินเพื่อทำลายฉัน!”

พยานคนที่สองถูกเชิญขึ้นมา หล่อนคือป้าหลิวเจ้าเก่า หล่อนร้องไห้ฟูมฟายและสารภาพว่าเคยได้รับเงินจากคนของตระกูลซูให้ช่วยกระจายข่าวเรื่องที่เยว่ซินอกตัญญูในตลาด และแล้วก็มาถึงไพ่ใบสุดท้าย ไม้ตายที่จะทำลายซูเหม่ยลี่ให้ย่อยยับจนไม่เหลือซาก

“และข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุด ที่ว่าฉันใช้แผนการสกปรกทำลายธุรกิจของตระกูลซู...” เยว่ซินเว้นจังหวะ สายตาของเธอกวาดมองไปทั่วห้อง ก่อนจะกล่าวประโยคที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง

“ความจริงมันน่าเศร้ายิ่งกว่านั้นเยอะค่ะ”

เธอฉายภาพเอกสารหลายแผ่นขึ้นบนจอโปรเจกเตอร์ที่เช่ามาเป็นพิเศษ มันคือสำเนาบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัทซือกรุ๊ปที่ทีมงานของลู่เฟิงไปสืบหามาได้

“นี่คือหลักฐานการเบิกเงินจำนวนมหาศาลออกจากบัญชีบริษัทโดยคุณหนูซูเหม่ยลี่ เงินเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจ แต่กลับถูกนำไปใช้จ่ายส่วนตัวอย่างฟุ่มเฟือย นำไปลงทุนในสายการผลิตเสื้อผ้าเลียนแบบที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า และที่สำคัญ เธอได้นำไปใช้ว่าจ้างอันธพาลและนักข่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงของฉัน!”

“ธุรกิจของตระกูลซูไม่ได้พังพินาศเพราะฉัน แต่พวกเขาพังพินาศเพราะหนอนที่บ่อนไส้อยู่ภายในต่างหาก!”

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

ความจริงแต่ละข้อที่ถูกเปิดโปงออกมาเป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจของทุกคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ฉันไม่เคยต้องการการต่อสู้เหล่านี้” เยว่ซินกล่าวปิดท้ายด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย เป็นความสั่นเครือจากการแสดงที่สมจริงที่สุด “ทั้งหมดที่ฉันต้องการคือการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและดูแลครอบครัวที่เลี้ยงดูฉันมา แต่ในเมื่อมีคนไม่ยอมหยุดราวี ฉันก็จำเป็นต้องลุกขึ้นมาปกป้องเกียรติของตัวเองและครอบครัว”

“ความจริงทั้งหมดอยู่ต่อหน้าทุกท่านแล้ว ฉันขอฝากให้สามัญสำนึกและมโนธรรมของทุกท่านเป็นผู้ตัดสิน”

เธอโค้งคำนับอย่างงดงาม แล้วเดินลงจากเวทีไปท่ามกลางความเงียบงันที่น่าตกใจ...

ก่อนที่ความเงียบนั้นจะถูกทำลายลงด้วยเสียงกดชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูปที่ดังรัวราวกับปืนกล

ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความโกลาหล นักข่าวทุกคนต่างกรูกันไปยังโทรศัพท์เพื่อโทรกลับสำนักพิมพ์ นี่ไม่ใช่แค่ข่าวซุบซิบในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่มันคือข่าวใหญ่ระดับมณฑล เรื่องราวสุดอื้อฉาวที่เต็มไปด้วยการหักหลัง อาชญากรรม และความจริงที่น่าตกตะลึง

วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างพาดหัวข่าวเรื่องเดียวกัน

ความจริงปรากฏ เบื้องหลังโศกนาฏกรรมตระกูลซูคือบุตรสาวอสรพิษผู้ทำลายครอบครัวตัวเอง!

เปิดโปงทุกคำโกหก ‘ซูเหม่ยลี่’ คุณหนูจอมลวงโลก!

กระแสสังคมตีกลับรุนแรงยิ่งกว่าพายุไต้ฝุ่น ความเห็นใจที่เคยมีให้ตระกูลซูได้แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังและรังเกียจเดียดฉันท์ในชั่วข้ามคืน

ณ ห้องเช่าอันมืดมิดและอับชื้น ซูเหม่ยลี่กำหนังสือพิมพ์ในมือจนยับยู่ยี่ ใบหน้าของเธอขาวซีดราวกับกระดาษ ดวงตเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ เธอพ่ายแพ้แล้ว พ่ายแพ้อย่างย่อยยับจนไม่เหลือชิ้นดี...

เธอได้กลายเป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจ เป็นตัวตลกที่น่าสมเพช ชื่อของเธอได้กลายเป็นคำสบถที่ผู้คนใช้ด่าทอกัน เธอเคยต้องการที่จะเผาหลินเยว่ซินให้มอดไหม้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเดียวที่เธอเผาทำลายได้สำเร็จก็คือตัวของเธอเอง

หากการเปิดโปงของหลินเยว่ซินเปรียบเสมือนคมดาบแห่งความจริงที่ฟาดฟันลงมา ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือการล่มสลายอย่างสิ้นซากของตระกูลซูที่รวดเร็วและรุนแรงราวกับตึกระฟ้าที่ถล่มลงมาในพริบตา

หลักฐานที่มัดตัวแน่นหนาเกินกว่าจะดิ้นหลุดได้นั้น ได้กลายเป็นชนวนที่จุดระเบิดลูกโซ่แห่งความพินาศขึ้นในทันที!

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังงานแถลงข่าว เจ้าหนี้ที่เคยลังเลต่างกรูกันเข้ามาทวงหนี้ถึงหน้าห้องเช่าราวกับฝูงแร้งที่หิวกระหาย ธนาคารทุกแห่งประกาศอายัดทรัพย์สินและดำเนินการฟ้องร้องในทันที คู่ค้าที่เคยทำธุรกิจร่วมกันมานานต่างพากันตัดความสัมพันธ์อย่างไม่เหลือเยื่อใย ไม่มีใครอยากจะเสี่ยงเอาชื่อเสียงของตนเองเข้าไปพัวพันกับตระกูลที่ฉาวโฉ่และกำลังจะล้มละลายตระกูลนี้อีกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น หลักฐานการยักยอกเงินและการจ้างวานอันธพาลที่เยว่ซินนำมาเปิดโปงนั้น ยังนำไปสู่การสืบสวนอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานของรัฐอีกด้วย ทุกเส้นทางรอดของตระกูลซูได้ถูกปิดตายลงโดยสมบูรณ์

แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการล้มละลาย คือการล่มสลายทางสังคม

เพื่อนฝูงและวงศ์ตระกูลในแวดวงชั้นสูงที่เคยเชื้อเชิญพวกเขาไปร่วมงานเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ บัดนี้ต่างพากันหลบหน้าและทำเป็นไม่รู้จัก โทรศัพท์ที่เคยโทรไปหาใครก็ติดต่อง่ายดาย บัดนี้กลับไม่มีใครรับสายอีกเลย พวกเขาได้กลายเป็นตัวประหลาดที่น่ารังเกียจในสังคมที่พวกเขาเคยยืนอยู่บนจุดสูงสุด กำแพงล้ม ทุกคนผลัก นี่คือสัจธรรมที่โหดร้ายที่สุด

เจ้าหน้าที่จากกรมบังคับคดีได้เดินทางมาถึงห้องเช่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้นที่คนตระกูลซูใช้อาศัยอยู่พร้อมกับหมายศาล ส่วนคฤหาสน์ตระกูลซูนั้น พวกเขาก็บรรจงติดประกาศยึดทรัพย์ที่เป็นกระดาษสีขาวอักษรแดงไว้ที่ประตูรั้วเหล็กดัดอันโอ่อ่า มันดูไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่กำลังจะปิดฉากตำนานของวงศ์ตระกูลนี้ลงอย่างเป็นทางการ

ภาพของคนงานที่ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์หรูหราและของประดับราคาแพงออกจากบ้าน กลายเป็นมหรสพที่น่าสมเพชที่สุดในสายตาของเพื่อนบ้านและผู้คนที่ผ่านไปมา

ภายในห้องโถงที่บัดนี้ว่างเปล่าและเย็นเยียบ เหลือเพียงสมาชิกครอบครัวสามคนที่เพิ่งเดินทางมาจากห้องเช่าห้องนั้น มายังคฤหาสน์ตระกูลซูเพื่อกลับมาเก็บข้าวของส่วนตัวที่เหลือเพียงน้อยนิดใส่ลงในกระเป๋าเดินทางเก่า ๆ

บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันอันน่าอึดอัด ความเงียบที่หนักอึ้งยิ่งกว่าเสียงด่าทอใด ๆ

ในที่สุดซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ใบหน้าซูบตอบและดวงตาจมลึกก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง เขาหันไปมองซูเหม่ยลี่ ไม่ได้มองด้วยความรักหรือความโกรธอีกต่อไปแล้ว แต่มองด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและตายด้าน

“มองดูสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “มองดูผลงานของแกให้เต็มตา ฉันเชื่อแก ฉันฟังแก และแกก็ทำลายพวกเราจนหมดสิ้น พอใจแล้วใช่ไหม?”

“อย่านะคะ! อย่าโทษลูก!” เผยฮุ่ยหลันกรีดร้องออกมาอย่างเสียสติ เธอยังคงไม่ยอมรับความจริง “มันไม่ใช่ความผิดของเหม่ยลี่! มันเป็นเพราะนังอสรพิษนั่น! นังหลินเยว่ซิน! มันวางแผนทั้งหมดนี้ไว้แล้ว! มันจงใจทำลายพวกเรา!”

ซูเหม่ยลี่ที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้นกระดานเย็นเฉียบหัวเราะหึออกมาเบา ๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แห้งแล้งและน่าขนลุก

“ตอนนี้มาโทษฉันแล้วอย่างนั้นหรือคะ?” เธอกล่าวเสียงเย็น “ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่อ่อนแอและโง่เง่าจนควบคุมมันไม่ได้ตั้งแต่แรก เรื่องทั้งหมดนี้มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง! ถ้าพวกท่านเข้มแข็งกว่านี้ เด็ดขาดกว่านี้ เราก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้หรอก!”

เธอหันคมเขี้ยวเข้าใส่บุพการีของตนเอง ครอบครัวที่เคยผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ บัดนี้กำลังกัดกินกันเองราวกับอสรพิษในไหใบเดียวกัน

การสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น เพราะไม่มีอะไรจะให้พูดอีกต่อไปแล้ว...

พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางคนละใบ เดินออกจากประตูคฤหาสน์ที่พวกเขาเคยเป็นเจ้าของเป็นครั้งสุดท้าย แผ่นหลังของพวกเขาดูห่อเหี่ยวและไร้ซึ่งอนาคต

ซึ่งที่พักพิงแห่งใหม่ของพวกเขาก็ไม่ใช่ที่ไหน แต่เป็นห้องเช่าเล็ก ๆ ห้องหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตรอกอันมืดมิดและคับแคบที่สุดของเมือง...

สภาพของมันน่าสังเวชเกินกว่าจะบรรยาย...

เป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่มีเพียงหน้าต่างบานเดียวซึ่งมองออกไปเห็นกำแพงอิฐที่ผุพังของตึกข้าง ๆ ผนังปูนฉาบอย่างลวก ๆ มีรอยแตกร้าวและคราบเชื้อราสีดำเกาะอยู่ทั่วไป พื้นปูนเย็นเฉียบและชื้นแฉะตลอดเวลา และอากาศภายในห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นอับของความยากจนและความสิ้นหวัง...

ซูเจิ้งกั๋วนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเก้าอี้ขาเป๋ตัวหนึ่ง ดวงตาของเขาเหม่อลอยมองไปยังผนังที่ว่างเปล่าราวกับคนเสียสติ ส่วนเผยฮุ่ยหลันก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่ยุบยวบแล้วซบหน้าร้องไห้อย่างเงียบ ๆ

มีเพียงซูเหม่ยลี่ที่เดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง...

เธอมองออกไปยังทิวทัศน์อันแสนอัปลักษณ์เบื้องนอก แสงแดดส่องลงมาไม่ถึงตรอกแห่งนี้มันช่างมืดมนและไร้ซึ่งความหวัง...

ทันใดนั้น ภาพความทรงจำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธออย่างเจ็บปวด ภาพของหลินเยว่ซินในชาติที่แล้วลที่นอนป่วยตายอย่างโดดเดี่ยวในห้องเช่าซอมซ่อ

ห้องนี้มันช่างเหมือนกับห้องนั้นเหลือเกิน...

กงเกวียนกำเกวียน วงล้อแห่งโชคชะตาได้หมุนครบรอบแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ความทุกข์ทรมานที่พวกเขาเคยหยิบยื่นให้กับผู้อื่น บัดนี้มันได้ย้อนกลับมาสู่ตัวของพวกเขาเองทุกกระเบียดนิ้ว

ฟ้าดินมีตา และนี่คือบทลงโทษจากสวรรค์ที่พวกเขาไม่มีวันหนีพ้น

หัวใจของซูเหม่ยลี่ที่เคยลุกโชนไปด้วยไฟแค้น บัดนี้มันได้มอดดับลงแล้ว เหลือเพียงเถ้าถ่านสีดำแห่งความว่างเปล่า เธอไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะเกลียดชังใครอีกต่อไป

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๖ จุดจบของตัวร้าย

    กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๕ คำตอบรับ

    วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๔ คำขอจากใจจริง

    ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๓ ตระกูลใหม่ที่รุ่งโรจน์

    ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๒ เปิดโปงสู่สาธารณะ

    หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๑ สิ้นไร้หนทาง

    ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status