ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกิน
ธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...
การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีก
ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้ว
ค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและไร้เรี่ยวแรง
ซูเหม่ยลี่ที่นั่งหน้าตาซีดเซียวอยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมาทันที “พ่อหมายความว่ายังไงคะ?”
“หลินเยว่ซิน...” ซูเจิ้งกั๋วเค้นชื่อนั้นออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก “ตอนนี้เธอมีเงิน... มีเงินมากพอที่จะช่วยพวกเราได้ เธอคือความหวังสุดท้ายของเรา”
“พ่อจะบ้าไปแล้วรึไงคะ!” ซูเหม่ยลี่กรีดร้องออกมา “พ่อจะให้พวกเราไปก้มหัวขอร้องนังสารเลวคนนั้นน่ะหรือคะ สู้ให้ฉันไปตายเสียยังจะดีกว่า!”
“แล้วแกจะไปอยู่บนถนนรึไง!” ซูเจิ้งกั๋วตวาดกลับเป็นครั้งแรก “ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้! ตอนนี้เราไม่มีอะไรจะให้เสียอีกแล้ว! เธอ... เธอยังคงมีสายเลือดของฉันไหลเวียนอยู่ในตัว ฉันจะไปขอร้องเธอในฐานะพ่อ!”
เขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าสำหรับหลินเยว่ซินแล้ว คำว่าสายเลือดมันได้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าที่สุดไปแล้ว
วันต่อมา ขณะที่ครอบครัวหลินกำลังช่วยกันแขวนโคมแดงและตัดกระดาษมงคลเพื่อประดับบ้านหลังใหม่ของพวกเขาอย่างมีความสุข แขกที่ไม่ได้รับเชิญสามคนก็ได้มายืนอยู่ที่หน้าประตูรั้ว
ภาพของครอบครัวซูในตอนนี้น่าเวทนาอย่างยิ่ง ซูเจิ้งกั๋วกับเผยฮุ่ยหลันสวมเสื้อผ้าเนื้อดีที่เคยดูหรูหรา แต่บัดนี้กลับดูเก่าและหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของทั้งคู่ซูบตอบและเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวล รัศมีของมหาเศรษฐีได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงภาพของชายหญิงวัยกลางคนที่กำลังจะหมดสิ้นทุกอย่าง
ต้าเฉียงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นพวกเขา ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วก้าวไปขวางที่หน้าประตูทันที
“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่อีก! ที่นี่ยังต้อนรับไม่พออีกรึไง!”
“ฉัน... ฉันมาขอพบเยว่ซิน” ซูเจิ้งกั๋วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างไม่น่าเชื่อ เขายอมบากหน้ามาขอความช่วยเหลืออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
“ครอบครัวเราไม่มีอะไรจะพูดกับพวกคุณอีกแล้ว!” พ่อหลินเดินเข้ามาสมทบ ยืนปกป้องอยู่หน้าบ้านอย่างองอาจ
ในตอนนั้นเอง เผยฮุ่ยหลันก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เธอทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นหินที่เย็นเฉียบ
“เยว่ซิน! ลูกแม่!” เธอร้องไห้คร่ำครวญออกมาปานจะขาดใจ “แม่ขอโทษ! แม่ผิดไปแล้ว! พวกเรามันโง่เขลาเอง! ได้โปรด... ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะนะลูก! ถือว่าแม่ขอร้อง เห็นแก่สายเลือดของเรา ช่วยพ่อของลูกด้วยเถอะ!”
เธอโขกศีรษะลงกับพื้นจนหน้าผากแดงช้ำ น้ำตาจระเข้ที่เธอหลั่งออกมานั้นแม้จะดูน่าสงสารเพียงใด แต่กลับไม่สามารถทำให้หัวใจของเยว่ซินสั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อย
เยว่ซินที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบ ๆ ได้เดินออกมาจากในบ้านช้า ๆ แววตาของเธอไม่ได้มีความโกรธแค้น ไม่ได้มีความสะใจ มีเพียงความว่างเปล่าและเย็นชา ราวกับกำลังมองดูคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นละครตบตาอยู่เท่านั้น
“ลุกขึ้นเถอะค่ะคุณนายซู” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแต่ห่างเหิน “พื้นมันเย็น เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้”
คำพูดที่ดูเหมือนจะห่วงใยแต่ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ นี้เองที่ทำให้เผยฮุ่ยหลันถึงกับชะงักงัน
ซูเจิ้งกั๋วรีบฉวยโอกาสนี้พูดต่อทันที “เยว่ซิน! ฟังแม่ของเธอสิ! ช่วยพวกเราด้วยเถอะ! ขอแค่… ขอแค่ยืมเงินสักก้อน พอให้พ่อได้ตั้งตัว พ่อยังเป็นพ่อของลูกนะ!”
ในที่สุด เยว่ซินก็หันไปสบตากับเขาโดยตรง...
“พ่อของฉันยืนอยู่ตรงนั้นค่ะ” เธอกล่าวพลางผายมือไปยังหลินเจี้ยนกั๋วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “เขาคือชายผู้ซึ่งไม่ได้ให้กำเนิดฉัน แต่กลับมอบทั้งชีวิตของเขาเพื่อเลี้ยงดูฉันมา” เธอก้าวเข้าไปใกล้พวกเขาอีกหนึ่งก้าว
“พวกคุณพูดถึงสายเลือด พูดถึงความเป็นพ่อแม่… งั้นฉันขอถามหน่อย ตอนที่ฉันป่วยหนักแทบตายตอนเด็ก ๆ พวกคุณอยู่ที่ไหน?”
“ตอนที่ครอบครัวของฉันไม่มีข้าวกินจนต้องแทะรากไม้ประทังชีวิต พวกคุณอยู่ที่ไหน?”
ทุกคำถามของเธอเปรียบดั่งแส้ที่ฟาดลงบนจิตใจของสองสามีภรรยาตระกูลซูอย่างแรง
“พวกคุณไม่เคยต้องการลูกสาว พวกคุณต้องการแค่ตุ๊กตาประดับบารมี และเมื่อตุ๊กตาตัวนั้นไม่ยอมเต้นไปตามเพลงที่พวกคุณบรรเลง พวกคุณก็เขี่ยมันทิ้งอย่างไม่ไยดี”
น้ำเสียงของเธอลดต่ำลงจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ แต่กลับแฝงไปด้วยความเด็ดขาดอันเป็นที่สุด...
“วันที่พวกคุณลงนามในสัญญาตัดขาดความสัมพันธ์ฉบับนั้น วันที่พวกคุณทอดทิ้งฉัน สายใยทุกอย่างระหว่างเราก็ได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว”
“ตัดบัวยังเหลือใย แต่ตัดใจไม่มีเหลือ พวกเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีกต่อไปแล้วค่ะ”
เผยฮุ่ยหลันหันไปอ้อนวอนแม่หลิน “พี่สาว! ได้โปรดช่วยพูดอะไรหน่อยสิคะ! ช่วยเกลี้ยกล่อมลูกให้ที!”
แม่หลินเดินเข้ามากุมมือของเยว่ซินไว้แน่น แล้วหันไปตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ลูกสาวของฉันได้ตัดสินใจแล้ว และพวกเราครอบครัวของเธอก็จะขอสนับสนุนการตัดสินใจของเธออย่างเต็มที่ค่ะ”
ความหวังสุดท้ายของตระกูลซูได้ดับวูบลงแล้ว...
ซูเจิ้งกั๋วทรุดฮวบลงไปกับพื้นราวกับคนไร้กระดูก ส่วนเผยฮุ่ยหลันก็ร้องไห้จนแทบจะสิ้นสติ
ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น มีเพียงซูเหม่ยลี่ที่ยืนนิ่งเงียบมาโดยตลอด...
เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับหลินเยว่ซิน...
แววตาของเธอในตอนนี้ไม่ได้มีความหยิ่งผยองหรือริษยาหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว มันได้ถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชังอันดำมืดและไร้ที่สิ้นสุด เป็นความเกลียดชังที่บริสุทธิ์จนน่าขนลุก
ครอบครัวซูล่าถอยจากไปอย่างผู้แพ้ ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและความเย็นเยียบไว้เบื้องหลัง
…
หลังจากวันขึ้นปีใหม่ของปี 1987 ผ่านพ้นไป ชะตากรรมของตระกูลซูก็ดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดอย่างสมบูรณ์แบบ
คฤหาสน์ที่เคยเป็นดังสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งก็ได้ถูกธนาคารยึดไปขายทอดตลาด ทรัพย์สินทั้งหมดถูกอายัดเพื่อชำระหนี้สินที่ท่วมท้น ซูเจิ้งกั๋ว เผยฮุ่ยหลัน และซูเหม่ยลี่ จากคุณท่านและคุณหนูผู้สูงส่ง บัดนี้กลับต้องระเห็จไปอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ โทรม ๆ ห้องหนึ่งที่ท้ายเมือง สภาพของมันไม่ต่างอะไรกับห้องที่หลินเยว่ซินเคยนอนตายอย่างอนาถในชาติที่แล้วเลยแม้แต่น้อย
ซูเจิ้งกั๋วกลายเป็นชายไร้วิญญาณ เขาเอาแต่ดื่มเหล้าเมามายไปวัน ๆ เพื่อหลีกหนีจากความจริงอันโหดร้าย ส่วนเผยฮุ่ยหลันก็เอาแต่ร่ำไห้คร่ำครวญถึงโชคชะตาของตนเอง มีเพียงซูเหม่ยลี่เท่านั้นที่ยังคงมีประกายไฟลุกโชนอยู่ในแววตา แต่มันคือเปลวไฟแห่งความอาฆาตแค้นที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างให้มอดไหม้ไปพร้อมกัน
ความล่มสลายในครั้งนี้ได้ลอกคราบคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของเธอออกไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงแก่นแท้ของอสรพิษร้ายที่ถูกต้อนจนมุม เธอไม่เหลืออะไรจะเสียอีกแล้ว และเมื่อคนเราไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป เขาก็จะกลายเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด
‘ในเมื่อฉันต้องพัง หลินเยว่ซินก็ต้องพังไปพร้อมกับฉันด้วย!’
เธอตัดสินใจที่จะทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ไพ่ที่จะเดิมพันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมี
ซูเหม่ยลี่แอบนำสร้อยคอทองคำและกำไลหยกชิ้นสุดท้ายที่เธอซ่อนไว้จากเจ้าหนี้ไปขายในตลาดมืด มันคือเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตของเธอ และเธอจะใช้มันเพื่อซื้อสื่อที่จะทำลายหลินเยว่ซินให้ย่อยยับ
เธอรู้ดีว่าสื่อกระแสหลักคงไม่มีใครกล้าแตะต้องหลินเยว่ซินอีกแล้วหลังจากเหตุการณ์ครั้งก่อน เป้าหมายของเธอในครั้งนี้จึงเป็นนักข่าวไร้จรรยาบรรณคนหนึ่งชื่อเฒ่าเหมา ผู้ซึ่งเคยถูกไล่ออกจากสำนักพิมพ์ใหญ่เพราะรับสินบนและเขียนข่าวใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น เขาคืออีแร้งที่หิวโหยและพร้อมจะกินทุกซากศพที่ขวางหน้า
ซูเหม่ยลี่นัดพบกับเฒ่าเหมาในโรงน้ำชาเล็ก ๆ โทรม ๆ แห่งหนึ่ง กลิ่นควันบุหรี่และกลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่วบริเวณ
“ฉันต้องการให้คุณเขียนเรื่องของนังสารเลวหลินเยว่ซิน” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เขียนให้มันน่าสมเพชและเลวร้ายที่สุด! เขียนว่ามันเป็นลูกอกตัญญูที่วางแผนทำลายครอบครัวผู้ให้กำเนิดตัวเองอย่างเลือดเย็น! เขียนว่ามันใช้เล่ห์เหลี่ยมแพศยาหลอกล่อผู้ชายสูงศักดิ์เพื่อหวังจะไต่เต้า! เขียนให้คนทั้งประเทศรุมประณามสาปแช่งมัน! ทำให้มันไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป!”
เธอโยนห่อเงินที่หนักอึ้งลงบนโต๊ะ “นี่คือเงินทั้งหมดที่ฉันมี ทำให้ดีที่สุดล่ะ”
เฒ่าเหมามองห่อเงินด้วยดวงตาเป็นประกายแล้วแสยะยิ้มออกมา “คุณหนูซูวางใจได้เลย เรื่องราวที่ผมจะเขียนนี้จะเผานังเด็กนั่นให้กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างแน่นอน!”
ในขณะที่อสรพิษกำลังวางแผนจะพ่นพิษครั้งสุดท้าย พญาเหยี่ยวที่บินอยู่บนท้องฟ้าก็มองเห็นการกระทำของมันทั้งหมด
ลู่เฟิงยังคงไม่ได้เดินทางกลับไปยังชายแดน เขาขอลาพักต่อเป็นกรณีพิเศษโดยอ้างเหตุผลทางครอบครัว แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเขาก็คือการอยู่เพื่อจัดการปัญหาทั้งหมดให้สิ้นซาก
เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าคนอย่างซูเหม่ยลี่ไม่มีวันยอมแพ้ง่าย ๆ และการโจมตีด้วยสื่อที่ไร้จรรยาบรรณก็คือหนทางที่เป็นไปได้มากที่สุด เขาจึงได้สั่งให้เสี่ยวหลี่ นายทหารคนสนิทของเขา คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของคนตระกูลซูอย่างใกล้ชิด
“ท่านครับ” เสี่ยวหลี่เข้ามารายงานในบ้านพักของลู่เฟิง “สายของเราแจ้งมาว่าสหายซูเหม่ยลี่ได้นำเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายไปขาย และได้นำเงินทั้งหมดไปว่าจ้างนักข่าวที่ชื่อเฒ่าเหมาให้เขียนข่าวโจมตีคุณหนูหลินครับ คาดว่าบทความน่าจะถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่งในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จะให้ผมเข้าไปจัดการระงับเรื่องนี้เลยไหมครับ?”
ลู่เฟิงยกมือขึ้นห้าม แววตาของเขาฉายประกายที่เย็นเยียบและเฉียบคม
“ไม่ต้อง ปล่อยให้พวกมันทำไป”
เสี่ยวหลี่มองผู้บังคับบัญชาด้วยความไม่เข้าใจ
“ปล่อยให้งูมันเลื้อยออกมาจากโพรงจนสุดตัว” ลู่เฟิงกล่าวต่อ “ฉันอยากจะดูว่าไพ่ใบสุดท้ายที่เธอคิดว่ามีอยู่ในมือนั้น มันจะแน่สักแค่ไหน”
จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งที่แท้จริง “แต่ในระหว่างที่พวกมันกำลังง่วนอยู่กับการเขียนนิยายน้ำเน่า ฉันต้องการให้นายไปรวบรวมหลักฐานทั้งหมดมาให้ฉัน!”
“ไปตามหาแก๊งอันธพาลที่เคยบุกร้านเมื่อปีก่อน ฉันต้องการคำสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษรว่าใครคือผู้ว่าจ้าง ไปตามหาคนที่เคยรับเงินมาปล่อยข่าวลือ ฉันต้องการคำให้การของพวกเขา และไปขุดคุ้ยหลักฐานการทุจริตและการตัดสินใจที่ผิดพลาดทางธุรกิจของซูเจิ้งกั๋ว ฉันไม่ต้องการแค่คำกล่าวหา แต่ฉันต้องการหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้!”
“ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหาหลักฐานมามัดตัวพวกมัน ครั้งนี้เราจะไม่ใช่ฝ่ายตั้งรับอีกต่อไป แต่เราจะเป็นฝ่ายรุกฆาต!”
เย็นวันนั้น ลู่เฟิงได้เข้าไปพบหลินเยว่ซินเป็นการส่วนตัวที่ร้านของเธอ
“พวกเขาเคลื่อนไหวแล้ว” เขากล่าวเปิดประเด็น “กำลังจะใช้สื่อใต้ดินโจมตีเธออีกครั้ง”
เยว่ซินพยักหน้ารับอย่างใจเย็น เธอเองก็คาดเดาเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว “หมาจนตรอกย่อมกัดไม่เลือก เป็นเรื่องปกติค่ะ”
“ฉันสามารถสั่งให้คนไปหยุดเรื่องทั้งหมดได้เหมือนครั้งก่อน” ลู่เฟิงกล่าวพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ
แต่เยว่ซินกลับส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ต้องค่ะ”
“การไปคอยตามปิดปากคนอื่นอยู่เรื่อย ๆ มีแต่จะทำให้คนสงสัยว่าเรามีอะไรปิดบังซ่อนเร้นอยู่หรือเปล่า” เธอกล่าวด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล “ครั้งนี้เราจะปล่อยให้เธอได้แสดงละครฉากสุดท้ายของเธออย่างเต็มที่ ปล่อยให้เธอได้เปิดเผยความชั่วร้ายทั้งหมดของตัวเองออกมาให้โลกได้เห็น”
ลู่เฟิงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม นี่คือสิ่งที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด
“ความคิดของเราตรงกัน” เขากล่าว “คนของฉันกำลังรวบรวมหลักฐานความผิดทั้งหมดของพวกเขาอยู่ เมื่อพวกเขาตีพิมพ์คำโกหกของผู้หญิงคนนั้นออกมาเมื่อไหร่ เราก็จะสวนกลับไปด้วยความจริงที่พวกเขาจะไม่มีวันปฏิเสธได้”
บัดนี้ ทั้งสองไม่ได้เป็นเพียงหนุ่มสาวที่กำลังเริ่มปลูกต้นรักอีกต่อไปแล้ว แต่ได้กลายเป็นคู่หูที่วางแผนการรบร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบ รอคอยเพียงแค่ให้เหยื่อผู้โง่เขลาก้าวเข้ามาติดกับด้วยตัวเอง
ค่ำคืนนั้น ในห้องทำงานที่อับชื้นและเหม็นกลิ่นบุหรี่
ซูเหม่ยลี่ได้วางเงินมัดจำก้อนสุดท้ายลงบนโต๊ะของเฒ่าเหมา เธอมองร่างสัญญาที่ร่างขึ้นอย่างลวก ๆ ด้วยแววตาที่ลุกโชนไปด้วยความหวัง
“คุณแน่ใจนะว่าเรื่องที่คุณเขียนจะสามารถทำลายนังนั่นได้จริง ๆ”
เฒ่าเหมาแสยะยิ้มอวดฟันที่เหลืองอ๋อย “คุณหนูซูวางใจได้เลย บทความชิ้นเอกของผมชิ้นนี้ไม่เพียงแต่จะทำลายเธอ แต่มันจะฝังเธอลงไปในโคลนตมจนไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกเลย!”
ซูเหม่ยลี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เธอรู้สึกถึงกระแสแห่งชัยชนะที่แล่นพล่านไปทั่วร่าง เธอกำลังจะได้ล้างแค้นแล้ว
เธอมองคำมั่นสัญญาของนักข่าวไร้จรรยาบรรณคนนั้นว่าเป็นดั่งอาวุธชิ้นสุดท้ายที่ทรงพลังที่สุดของเธอ โดยไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเธอไม่ได้เป็นผู้ล่าในเกมนี้อีกต่อไปแล้ว...
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ