ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียว
สัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขก
เช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตกตะลึง
ประตูรถคันแรกเปิดออก ก็ปรากฎร่างสูงสง่าของลู่เฟิงก้าวลงมาเป็นคนแรก...
วันนี้เขาไม่ได้อยู่ในชุดลำลองสบาย ๆ เหมือนเช่นเคย แต่เขาสวมเครื่องแบบทหารเต็มยศ เครื่องแบบสีเขียวมะกอกที่ตัดเย็บอย่างพอดีตัว รองเท้าหนังขัดมันวาววับ และเหรียญกล้าหาญที่ประดับอยู่บนอก ทั้งหมดนี้ขับเน้นให้รัศมีที่สุขุมเยือกเย็นของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความองอาจและน่าเกรงขาม
จากนั้น ประตูรถคันที่สองก็เปิดออก...
ชายชราผู้หนึ่งก้าวลงมา แม้ผมของเขาจะขาวโพลนไปทั้งศีรษะ แต่แผ่นหลังกลับตั้งตรงราวกับทวน ดวงตาคมกริบ และทุกย่างก้าวของเขาก็เต็มไปด้วยอำนาจบารมีที่สั่งสมมาตลอดชีวิต นี่คือท่านนายพลลู่เจิ้งเฟิง!
ข้างกายของเขาคือสตรีสูงวัยผู้มีรอยยิ้มอันอ่อนโยน แต่แววตากลับฉายประกายแห่งปัญญาและความเฉียบคม คุณนายลู่ซูเหวินนั่นเอง
การมาเยือนเช่นนี้ ทำให้ครอบครัวหลินที่ออกมายืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูถึงกับหายใจสะดุดไปชั่วขณะ พ่อหลินกับแม่หลินถึงกับทำอะไรไม่ถูก พวกท่านไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ต้อนรับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้
…
ภายในห้องโถงรับแขกที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีที่สุด บรรยากาศในตอนแรกเต็มไปด้วยความประหม่าและเกร็งไปหมด
แต่คุณนายลู่ก็เป็นฝ่ายทลายกำแพงลงด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร “บ้านของคุณหลินช่างน่าอยู่จริง ๆ นะคะ จัดสวนได้สวยงามและมีชีวิตชีวามากเลย” เธอเอ่ยชมอย่างจริงใจ “และชานี่ก็หอมกรุ่นเหลือเกินค่ะ”
ความอบอุ่นและไม่ถือตัวของเธอทำให้พ่อแม่หลินค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
หลังจากพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันพอเป็นพิธีแล้ว ท่านนายพลลู่ก็เป็นฝ่ายเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มและกังวาน
“คุณหลิน คุณนายหลิน...” ท่านนายพลเรียกขานพ่อแม่ของเยว่ซินอย่างให้เกียรติ “วันนี้ฉันและภรรยาเดินทางมาที่นี่ด้วยเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง”
ทุกคนในห้องต่างนั่งตัวตรงอย่างตั้งใจฟัง
“ลู่เฟิง บุตรชายที่ยังไม่ได้ความของฉัน” ท่านนายพลลู่เหลือบมองลูกชายของตนเองแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “ได้แจ้งเจตจำนงของเขากับพวกเราแล้ว ว่าเขามีความนับถือและชื่นชมในตัวบุตรสาวของท่าน คุณหนูหลินเยว่ซินเป็นอย่างยิ่ง เขาเล่าให้พวกเราฟังถึงความเฉลียวฉลาด ความทรหดอดทน และคุณธรรมอันแน่วแน่ของเธอ”
“เขาได้ขอพรจากพวกเรา เพื่อที่จะมาสู่ขอคุณหนูหลินเยว่ซินให้เป็นภรรยาของเขา”
เปรี้ยง!
ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของพ่อหลินแม่หลิน แม้จะพอจะเดาได้อยู่บ้าง แต่การได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากของท่านนายพลใหญ่ด้วยตนเองมันก็ยังน่าตกใจจนแทบสิ้นสติ
“หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด...” ท่านนายพลลู่กล่าวต่อ “และได้เห็นถึงครอบครัวที่อบอุ่นและดีงามที่เธอเติบโตขึ้นมา ฉันกับภรรยาก็เห็นพ้องด้วยอย่างเต็มใจ”
“ดังนั้นวันนี้ในนามของบิดาและผู้นำตระกูลลู่ ฉันจึงอยากจะมาขอสู่ขอบุตรสาวของพวกคุณ หลินเยว่ซิน ให้มาเป็นสะใภ้ของตระกูลเราอย่างเป็นทางการ”
คำขอที่สุภาพ ให้เกียรติ และยกย่องในคุณค่าของตัวเยว่ซินอย่างถึงที่สุดนี้เป็นดั่งบทเพลงที่ไพเราะที่สุดที่พ่อแม่หลินเคยได้ยินมาในชีวิต น้ำตาแห่งความตื้นตันใจค่อย ๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของพวกท่าน
ในตอนนั้นเอง ลู่เฟิงก็ได้ก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาโค้งคำนับให้พ่อแม่หลินอย่างนอบน้อมที่สุด
“คุณอาทั้งสองครับ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและจริงใจ “คำพูดของผมอาจจะไม่สละสลวยเท่าพ่อ แต่ผมขอให้คำสัตย์ปฏิญาณด้วยเกียรติของนายทหารว่าผมจะใช้ทั้งชีวิตของผมในการปกป้อง ดูแล และให้เกียรติเยว่ซิน ผมจะรักและเคารพคุณอาทั้งสองประดุจดังพ่อแม่ของผมเอง และผมจะไม่มีวันทำให้เธอต้องเสียใจหรือเจ็บช้ำน้ำใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
คำมั่นสัญญาที่ออกมาจากใจจริงนี้ได้ทลายทำนบน้ำตาของแม่หลินจนพังทลายลงมา เธอร้องไห้จนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับรัว ๆ
พ่อหลินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสะกดกั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เขามองหน้าชายหนุ่มที่องอาจตรงหน้า แล้วหันไปมองลูกสาวสุดที่รักที่ยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ ในที่สุดเขาก็หาเสียงของตัวเองเจอ
“ท่านนายพล... คุณนายท่าน...” เขาเอ่ยเสียงสั่น “เยว่ซินเธอคือแก้วตาดวงใจ คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของครอบครัวเรา การที่ได้เห็นเธอพบเจอกับบุรุษที่เข้าใจและเห็นคุณค่าของเธอถึงเพียงนี้ พวกเรา... พวกเราไม่มีอะไรจะยินดีไปกว่านี้อีกแล้วครับ”
เขาหันไปสบตากับภรรยาที่พยักหน้าอย่างเต็มใจ...
“พวกเราตกลงครับ เราขอยกลูกสาวของเราให้เป็นฝั่งเป็นฝากับบุตรชายของพวกท่านด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง”
วินาทีนั้น บรรยากาศที่เคยตึงเครียดก็พลันสลายไป เหลือไว้เพียงความชื่นมื่นและยินดี
คุณนายลู่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เธอลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไปหาเยว่ซินที่ยังคงยืนนิ่งด้วยอารมณ์ที่หลากหลายจนพูดอะไรไม่ออก
เธอไม่ได้มองเยว่ซินด้วยสายตาที่สำรวจหรือประเมินค่า แต่กลับมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูและเมตตา เธอจับมือของเยว่ซินขึ้นมากุมไว้อย่างแผ่วเบา
“หนูเยว่ซิน ที่ผ่านมาคงจะลำบากมากสินะลูก” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “นับจากนี้ไปหนูก็คือสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของเราแล้วนะ เจ้าลูกชายท่อนไม้ของแม่น่ะพูดจาไม่เป็น แต่แม่มองก็รู้ว่าลู่เฟิงรักและหวงแหนหนูมากแค่ไหน ถ้าหากวันไหนลู่เฟิงรังแกหนูขึ้นมาบอกแม่ได้เลยนะ แม่จะจัดการเจ้าลูกชายท่อนไม้คนนี้ให้เอง”
คำพูดที่ทั้งปกป้องและเป็นกันเองของเธอ ทำให้กำแพงที่เยว่ซินสร้างขึ้นมารอบตัวเริ่มปรากฏรอยร้าว
จากนั้นคุณนายลู่ก็ได้ถอดกำไลหยกสีเขียวมรกตเนื้อดีวงหนึ่งออกจากข้อมือของเธอ มันเป็นหยกโบราณที่ดูงามล้ำค่าอย่างยิ่ง
“กำไลวงนี้เป็นของที่คุณแม่ของแม่มอบให้ในวันแต่งงาน และบัดนี้ แม่ขอมอบมันให้กับหนูนะลูก ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรา”
เธอบรรจงสวมกำไลหยกวงนั้นลงบนข้อมือของเยว่ซิน สัมผัสที่เย็นเฉียบของหยกกลับทำให้หัวใจของเยว่ซินอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด...
เยว่ซินก้มลงมองกำไลบนข้อมือ เงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มที่จริงใจของคุณนายลู่ มองสายตาที่พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจของท่านนายพล และสุดท้ายเธอหันไปสบตากับลู่เฟิง ผู้ซึ่งมองเธออยู่ตลอดเวลาด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง
ความกลัวที่เคยมี ความระแวงที่เคยฝังลึกว่าเธอจะเป็นจุดด่างพร้อยของเขา ว่าครอบครัวที่สูงส่งของเขาจะรังเกียจเธอ ทั้งหมดนั้นได้เริ่มละลายหายไปแล้ว
เธอไม่ได้กำลังจะถูกพรากไปจากครอบครัวที่เลี้ยงดูเธอมา แต่เธอกำลังจะได้รับครอบครัวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งครอบครัว
นี่สินะ ความรู้สึกของครอบครัวที่สมบูรณ์ ครอบครัวที่ไม่มีเบื้องหลัง ไม่มีการทรยศ มีเพียงแค่ความรักที่จริงใจ...
เป็นครั้งแรกในรอบสองชาติภพที่หลินเยว่ซินอนุญาตให้ตัวเองได้สัมผัสกับความหวังจากความสุขอย่างแท้จริง
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ