วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข
ท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลย
บ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ
“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”
แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการ
เยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียที
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
สายลมแห่งปลายฤดูสารทพัดโชยมาเบา ๆ หอบเอากลิ่นดินและใบไม้แห้งลอยมาแตะจมูก สองข้างทางคือทุ่งนาที่เก็บเกี่ยวไปแล้วเหลือเพียงตอซังข้าวสีฟาง มันเป็นภาพที่เรียบง่ายและเงียบสงบ แต่กลับทำให้หัวใจของเยว่ซินรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
พวกเขาไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนักระหว่างทาง แต่ความเงียบนั้นกลับไม่ได้น่าอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เป็นความเงียบที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจ คือความสบายใจที่ได้มีอีกคนหนึ่งก้าวเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน
ในที่สุด ลู่เฟิงก็พาเธอมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไหวขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง กิ่งก้านของมันลู่ลงมาระพื้นราวกับม่านธรรมชาติสีเขียว
บุพเพสันนิวาส หรือนี่คือสิ่งที่เรียกว่าพรหมลิขิต?
ดวงตะวันคล้อยต่ำลงสู่ช่วงเย็นย่ำ แสงสีทองสุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านม่านใบไหวลงมากระทบใบหน้าของคนทั้งสอง ทำให้บรรยากาศดูงดงามและราวกับอยู่ในความฝัน
“จำที่นี่ได้ไหมเยว่ซิน?” ลู่เฟิงเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“จำได้สิคะ” เธอตอบเสียงเบา “ที่นี่คือที่ที่คุณเคยช่วยฉันไว้เป็นครั้งแรก”
ลู่เฟิงส่ายหน้าช้า ๆ แล้วหันมาสบตาเธออย่างจริงจัง “ผิดแล้ว ที่นี่คือที่ที่เธอทำให้ฉันประทับใจเป็นครั้งแรกต่างหากล่ะ”
เยว่ซินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ในวันนั้น ฉันไม่ได้เห็นเด็กสาวที่อ่อนแอหรือต้องการความช่วยเหลือ” เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มและจริงใจ “แต่ฉันเห็นนักสู้ ฉันเห็นต้นไผ่เล็ก ๆ ที่แม้จะถูกลมพายุโหมกระหน่ำ แต่ก็ยังคงหยัดยืนลู่ไปตามลมโดยไม่ยอมหักโค่นลงง่าย ๆ”
“นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไม่สามารถสลัดภาพของเธอออกจากหัวใจได้เลย ฉันเฝ้ามองเธอมาตลอด เฝ้ามองเธอสอบได้คะแนนเต็มจนสะเทือนไปทั้งอำเภอ เฝ้ามองเธอสร้างธุรกิจขึ้นมาจากเศษผ้าที่ไร้ค่า เฝ้ามองเธอใช้สติปัญญาที่เฉียบคมยิ่งกว่าคมดาบในการปกป้องครอบครัว และเฝ้ามองเธอเผชิญหน้ากับทุกปัญหาโดยไม่เคยหลั่งน้ำตาให้กับความสมเพชในโชคชะตาของตัวเองเลยแม้แต่หยดเดียว”
“เยว่ซิน คนอื่นอาจจะหลงใหลในความงามหรือความมั่งคั่ง แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตกหลุมรักเธอก็คือจิตวิญญาณของเธอ คือความแข็งแกร่ง และความภักดีที่ไม่สั่นคลอนของเธอ”
“ฉันไม่ได้ตกหลุมรักเถ้าแก่เนี้ยน้อยหลินเยว่ซินแห่งใบไหวดีไซน์ แต่ฉันตกหลุมรักเด็กสาวที่ลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า แล้วเชิดหน้าสู้กับอันธพาลตรงนี้ ใต้ต้นไหวต้นนี้...”
“ความรักที่ฉันมีให้เธอ มันไม่ใช่ความหลงใหลชั่ววูบ แต่มันคือความเคารพที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นความผูกพันที่จะคงอยู่ไปชั่วชีวิต”
สิ้นคำพูดนั้น เขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าเธออย่างช้า ๆ
เขาหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงเล็ก ๆ กล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ทว่าเมื่อเปิดออกสิ่งที่อยู่ข้างในไม่ใช่เพชรเม็ดโตที่ส่องประกายระยิบระยับ แต่เป็นแหวนเงินเกลี้ยง ๆ วงหนึ่งที่ประดับด้วยไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ ที่ขาวสะอาดและส่องประกายแวววาวอย่างนุ่มนวล แม้เรียบง่าย แต่กลับงดงามและเปี่ยมด้วยรสนิยมอันบริสุทธิ์
“หลินเยว่ซิน” เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ “ถึงแม้ว่าครอบครัวของฉันจะได้สู่ขอเธอจากครอบครัวของเธอแล้ว แต่ฉันก็อยากจะขอเธอด้วยหัวใจของฉันเอง...”
“แต่งงานกับฉันนะ และอนุญาตให้ฉันได้เป็นผู้ชายที่จะยืนอยู่เคียงข้างเธอไปตลอดชีวิตได้ไหม?”
คำสารภาพรักที่ไม่ได้มีถ้อยคำหวานเลี่ยนแม้แต่คำเดียว แต่มันกลับสั่นสะเทือนไปถึงก้นบึ้งของจิตวิญญาณเธอ
เขาไม่ได้รักเธอเพราะความสำเร็จ แต่เขารักเธอเพราะการต่อสู้ เขารักในตัวตนที่แท้จริงของเธอ ตัวตนที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากความทุกข์ทรมานในชาติที่แล้ว
วินาทีนั้น กำแพงที่เธอสร้างขึ้นมารอบตัวมาตลอดสองชาติภพ มันไม่ได้เพียงแค่แตกร้าว แต่มันได้ละลายหายไปจนหมดสิ้น
หยาดน้ำตาเม็ดโตค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากดวงตาของเธอ...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอร้องไห้ต่อหน้าเขา แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่น้ำตาจากความหวาดกลัวหรืออัดอั้นตันใจอีกต่อไปแล้ว
เธอมองใบหน้าของชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าผ่านม่านน้ำตา ความกลัวทั้งหมดที่เคยมีได้มลายหายไปจนสิ้น เหลือเพียงความรักและความไว้วางใจที่เปี่ยมล้นจนแทบจะทะลักออกมาจากอก
“ลู่เฟิง...” เธอเอ่ยชื่อเขาด้วยเสียงที่สั่นเทาแต่ชัดเจน “ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฉันรู้สึกเหมือนต้องต่อสู้อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ฉันสร้างกำแพงขึ้นมารอบตัวเองเพราะฉันกลัว... กลัวเหลือเกินว่าจะต้องเจ็บปวดอีกครั้ง”
“แต่คุณ... คุณไม่เคยพยายามที่จะพังกำแพงของฉันเลย” เธอกล่าวพลางยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “คุณเพียงแค่ยืนอยู่ข้างนอกอย่างอดทน คอยมอบไออุ่นให้จนกำแพงนั้นมันค่อย ๆ ละลายลงไปเอง คุณมองเห็นในสิ่งที่ฉันเป็นจริง ๆ”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะให้คำตอบที่เขาเฝ้ารอ...
“ค่ะ ฉันจะแต่งงานกับคุณ”
“ฉันจะยืนอยู่เคียงข้างคุณทั้งในตอนนี้และตลอดไป ฉันสัญญา”
วินาทีที่เธอตอบตกลง รอยยิ้มที่กว้างและจริงใจที่สุดก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่เฟิง เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนเองได้โบยบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า
เขาบรรจงสวมแหวนวงนั้นลงบนนิ้วเธอข้างซ้ายของเธออย่างแผ่วเบา มันพอดีราวกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนิ้วของเธอโดยเฉพาะ
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มของเธออย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมา แล้วมอบจุมพิตที่นุ่มนวลและเปี่ยมไปด้วยความรักทั้งหมดที่เขามีให้
ใต้แสงสุดท้ายของดวงตะวัน ใต้ร่มเงาของต้นไหวที่เป็นพยานรัก พวกเขาโอบกอดกันอยู่เนิ่นนาน โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงแค่ปล่อยให้หัวใจได้สื่อสารกันและกัน...
“เราจะไปปักกิ่งด้วยกันนะ” ลู่เฟิงกระซิบข้างหูของเธอ “เธอ พี่ชาย และพี่สาวจะได้ไปเรียนหนังสือ ส่วนเธอก็สามารถไปเปิดสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่นั่นได้เลย ฉันจะขอให้ผู้ใหญ่ย้ายฉันไปประจำการอยู่ใกล้ ๆ เอง”
เยว่ซินซบหน้ากับอกที่แข็งแกร่งของเขาแล้วพยักหน้ารับเบา ๆ “ค่ะ ขอบคุณนะคะลู่เฟิง”
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ