สิ่งที่เฉียวลู่คิดว่าเป็นเรื่องบ้าบอทั้งหมดกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอ นักแสดงสาวโสดวัยสามสิบกว่าที่ไม่เคยมีแฟนเลยสักครั้งเพราะตั้งมั่นที่จะทำตามความฝันให้เป็นจริง จนกระทั่งเธอได้เป็นนักแสดงชื่อดังแถวหน้าของจีน แล้วดูตอนนี้สิว่ามันเกิดอะไรขึ้นเธอต้องมากลายเป็นแม่แบบไม่รู้ตัวท่านเทพเซียนกำลังเล่นตลกอะไรกับเธอกันแน่ เธอจะเอาชีวิตรอดจากที่นี่ไปได้ยังไง นี่ไม่ใช่เกมส์เซอร์ไวเวอร์เอาชีวิตรอดจากอดีตนะที่เล่นแพ้แล้วจะสามารถรีเซตใหม่ได้
ท่าทางว้าวุ่นของเฉียวลู่ทำให้เด็กชายทั้งสองเป็นห่วงพวกเขาเดินเข้ามาจับมือของเธอเอาไว้คนละข้างแล้วส่งสายตาให้กำลังใจมาที่เธอ เฉียวลู่ที่พึ่งเป็นท่านแม่หมาดๆ ถึงกับใจเหลวเป็นน้ำให้กับท่าทางที่น่ารักของพวกเขา
“เอาเถอะเป็นไงเป็นกันฟูมฟายไปก็เท่านั้น เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วมีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป”
นั่นเป็นข้อดีของเฉียวลู่คือเธอเป็นคนที่มีสติและเหตุผลต่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงแค่ไหนเธอก็สามารถควบคุมตนเองได้ดีทุกครั้ง และอีกหนึ่งข้อดีของเธอคือเมื่อเธอตั้งใจที่จะทำอะไรแล้วเธอจะมุ่งมั่นไม่ยอมหยุดจนกว่าจะทำสำเร็จเพราะแบบนี้เธอจึงได้รับการยอมรับจากผู้กำกับและนักแสดงในวงการอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะใช้ชีวิตต่อไปให้ได้อันดับแรกเธอจะต้องเรียนรู้และทราบข้อมูลเกี่ยวกับที่ที่เธอจะต้องอาศัยอยู่ซะก่อน เฉียวลู่พาเด็กทั้งสองกลับเข้าไปในกระท่อมหลังน้อยที่เธอพึ่งจะเดินออกมา หลังจากรักษาบาดแผลที่ขาของเธอเรียบร้อยแล้วเฉียวลู่ก็อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายของเด็กทั้งสองและตัวเธอเอง
เสื้อผ้าของพวกเขาทั้งสามคนแทบจะไม่มีชิ้นดีทั้งเก่าและมีรอยปะมากมาย เฉียวลู่มองชุดที่อยู่ในมือของตัวเองด้วยความจนใจ เอาไว้ค่อยคิดหาวิธีหาเงินก่อนแล้วกัน นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องเพราะไม่อย่างนั้นทั้งเธอและเด็กๆ คงได้อดตายก่อนที่จะได้ใช้ชีวิตต่อไปแน่นอน
ถ้าหากเด็กๆ รู้ว่าเราไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขาจะตกใจขนาดไหนกันนะน่าสงสารจริงๆ อายุน้อยแค่นี้ก็ต้องมาเป็นกำพร้าพ่อเองก็ไม่รู้หายไปไหนถึงได้ปล่อยให้ครอบครัวลำบากขนาดนี้ดูสิเด็กๆ ผอมแห้งเหมือนขาดสารอาหารมานานปี เฉียวลู่คิดในใจระหว่างที่ดูแลเด็กชายทั้งสอง
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วเฉียวลู่เดินกะเผลกเข้าไปในครัวที่มุงเป็นเพิงอย่างง่ายๆ ในนั้นมีเตาที่ทำจากดินดูเหมือนจะไม่ได้จุดไฟมาสักพักเพราะขี้เถ้าเย็นไปนานแล้ว ในครัวมีถ้วยชามเก่าๆ สามสี่ใบที่เหมือนถูกใช้มานานและมันเทศหนึ่งหัวขนาดไม่ใหญ่มาก ในกระท่อมที่พวกเขาใช้อาศัยบังแดดบังฝนนั้นแทบไม่มีอะไรเลย แม้แต่ข้าวสารจะหุงก็ไม่มี ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยากจนถึงที่สุดก็ว่าได้
“ท่าทางจะไม่มีอะไรให้กินเลยนะบ้านหลังอื่นที่เห็นอยู่ไกลๆ ก็ไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นสักหน่อยเเต่ทำไม่บ้านของเด็กสองคนนี้ถึงได้ดูยากจนขนาดนี้”
เฉียวลู่หันไปมองเด็กชายทั้งสองที่เดินตามติดเข้ามาในครัวเป็นเหมือนหางน้อยๆ ของนาง
“นี่เด็กๆ พวกเธอ.... ไม่สิ พวกเจ้าปกติแล้วอยู่ที่นี่ใช้ชีวิตกันอย่างไร เช่นว่าปกติพวกเจ้ากินอะไรกันคือ....ก่อนหน้านี้แม่ไม่สบายใช่หรือไม่ดังนั้นจึงลืมเรื่องทั้งหมดไปพวกเจ้าสองคนใครก็ได้ช่วยเล่าให้ มะ....แม่ฟังหน่อย”
เฉียวลู่รู้สึกว่าตนเองยังคงไม่ชินในเรื่องที่ต้องมาเป็นแม่ของเด็กชายทั้งสองทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ถึงจะเคยรับบทคุณแม่ยังสาวแต่นี่มันค่อนข้างทำใจลำบากอยู่สักหน่อย การแสดงกับความรู้สึกจริงๆ นี่มันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนะ
เด็กชายสองคนมองหน้าเฉียวลู่แล้วหันมองหน้ากันไปมาแล้วเดินไปหยิบหัวมันเทศมายื่นให้นาง เฉียวลู่มองมันเทศในมือเล็กแล้วรู้สึกท้อใจนางมาอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย เด็กสองคนถามอะไรก็เอาแต่พยักหน้ากับส่ายหัวแล้ววันนี้จะได้รู้เรื่องไหม เฉียวลู่รับมันเทศหัวนั้นมาแล้วมองอย่างจนใจ
“เอาเถอะเครียดไปก็เปล่าประโยชน์ เช่นนั้นพวกเรามาทำอะไรกินกันดีหรือไม่”
ประโยคสุดท้ายเฉียวลู่หันมาถามเด็กชายทั้งสอง หลังจากที่เฉียวลู่จัดการก่อไฟอย่างทุลักทุเลสภาพของนางแทบไม่ต่างจากตอนแรกที่ยังไม่ได้อาบน้ำ เนื้อตัวเต็มไปด้วยขี้เถ้าและฝุ่นผงเฉียวลู่หันมายิ้มแห้งๆ ให้เด็กชายทั้งสอง ไม่ใช่ว่านางเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนะแต่ต้องมาใช้หินจุดไฟแบบนี้มันยากไปสำหรับคนยุคใหม่ที่เป็นถึงนักแสดงแถวหน้าเช่นนาง
เด็กชายหนึ่งในสองที่เฉียวลู่ยังแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครเพราะพวกเขามีใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะ ทำท่าทางว่าเขาจะทำเอง เฉียวลู่ถอยออกมาดูห่างๆ ไม่นานเด็กชายก็จุดไฟได้สำเร็จมันดูง่ายดายเหมือนเป็นเรื่องที่เขาทำบ่อยจนชำนาญ ดูเหมือนหลังจากนี้มีหลายเรื่องที่เฉียวลู่ต้องรู้เกี่ยวกับเด็กทั้งสองคน
เฉียวลู่ปอกเปลือกมันเทศและหั่นเต๋าใส่ลงในหม้อจากนั้นใส่เกลือที่มีอยู่เพียงน้อยนิดลงไป และเติมน้ำเปล่าลงไปให้ท่วมเล็กน้อยแล้วปิดฝาหม้อที่ทำจากไม้เอาไว้ ช่วงเวลาที่เฉียวลู่กำลังทำอาหารในครัวเด็กชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เดินออกจากระท่อมไปโดยที่นางไม่รู้ตัว
ผ่านไปราวสิบห้านาทีเฉียวลู่เปิดฝาหม้อออกดู มันเทศสุกได้ที่นางจึงเทน้ำในหม้อที่เหลือเล็กน้อยออกและใช้ช้อนค่อยๆ บดให้มันเทศละเอียดจากนั้นจึงเติมน้ำและเคี่ยวอีกครั้ง มันเทศหนึ่งหัวจึงดูเยอะขึ้นหลังจากเติมน้ำและเกลือหยิบสุดท้ายลงไป
กลิ่นหอมของโจ๊กมันเทศทำให้ท้องของเฉียวลู่ร้องประท้วงเสียงดัง ดูเหมือนว่าร่างกายนี้ก็คงไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาเป็นเวลานานดูจากที่แค่ได้กลิ่นโจ๊กมันเทศก็สามารถทำให้มีความอยากอาหารได้ถึงขนาดนี้
เฉียวลู่ตักโจ๊กมันเทศลงในชามสามชามแล้วยกกลับไปที่ห้องเดิมที่ตนเองได้ฟื้นขึ้นมาครั้งแรก ตอนนี้ยังสว่างอยู่แต่พระอาทิตย์ก็กำลังคล้อยต่ำลงไปเรื่อยๆ กระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะไม่มีเทียนด้วยเหมือนกัน เฉียวลู่หันมามองเด็กชายอีกคนที่เดินตามนางมา
“อีกคนเล่า ชื่ออะไรนะอวี้หลงหรืออวี้ชิง”
เฉียวลู่ถามเด็กชายที่กำลังยืนมองหน้านางอยู่
“อวี้ชิง”
เสียงเล็กๆ แต่แหบแห้งดังขึ้น เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ใช้เสียงมาเป็นเวลานาน
“เจ้าชื่ออวี้ชิงหรือ”
เด็กชายส่ายหน้าไปมา
“เช่นนั้นก็อวี้หลง”
อวี้หลงพยักหน้าขึ้นลง ดูเหมือนเด็กบ้านนี้จะไม่ชอบพูดเฉียวลู่มองใบหน้าเล็กที่ซูบตอบของเขา อวี้หลงมีไฝเม็ดเล็กๆ ที่ใต้ตาข้างขวา ทำให้ดวงตากลมโตดูโดดเด่นทั้งๆ ที่พวกเขาผอมมากขนาดนี้ เสียงเดินเบาๆ ด้านนอกทำให้เฉียวลู่ละความสนใจจากอวี้หลงแล้วหันไปมอง อวี้ชิงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่พวกเขาทั้งสองคน ในมือถือบางอย่างเอาไว้ทั้งสองข้างเมื่ออวี้ชิงหยุดยืนตรงหน้าเฉียวลู่เขายื่นบางอย่างมาที่หน้าของนาง
“อะไรหรือ”
เฉียวลู่มองอย่างสงสัย เมื่ออวี้ชิงแบมือเล็กที่ผอมแห้งของเขาออกทำให้เฉียวลู่เห็นไข่นกใบเล็กๆ สองฟอง เฉียวลู่เห็นดังนั้นถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เด็กคนนี้กตัญญูต่อแม่ของพวกเขาจริงๆ ตัวก็เล็กแค่นี้แต่กลับทำท่าทางเหมือนตนเองเป็นผู้ใหญ่
“ท่านแม่....กิน”
อวี้ชิงพูดเสียงเบาแต่เฉียวลู่กลับได้ยินมันอย่างชัดเจน คำพูดเพียงคำเดียวของเด็กชายมันได้สลักลึกลงไปในใจของนาง นับแต่วินาทีนั้นเฉียวลู่ได้สัญญากับตัวเองในใจว่า ไม่ว่าเด็กสองคนนี้จะเป็น
ลูกของตนหรือไม่นางก็จะเลี้ยงดูพวกเขาเป็นอย่างดีไม่ให้พวกเขาต้องลำบากอีกต่อไป
เฉียวลู่เก็บไข่นกสองฟองเอาไว้และให้อวี้หลงกับอวี้ชิงกินโจ๊กมันเทศที่ตนทำ เด็กทั้งสองคนไม่ยอมลงมือกินจนกว่าเฉียวลู่จะเริ่มกินก่อน นั่นยิ่งทำให้เฉียวลู่รู้สึกว่าเด็กสองคนนี้ต้องถูกเลี้ยงดูสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่ท่าทางดูหิวโหยขนาดนั้นแต่พวกเขากลับไม่ยอมกินและเวลากินก็ดูเรียบร้อยไม่มูมมามเหมือนอย่างที่เฉียวลู่คิด
โจ๊กมันเทศถูกทั้งสามคนจัดการจนหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่เฉียวลู่ยังรู้สึกว่าตนเองยังคงหิวอยู่และนางก็คิดว่าเด็กทั้งสองคนก็คงไม่อิ่มเหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรได้กระท่อมหลังนี้ไม่มีของกินเลยคงต้องอดทนจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้
พระอาทิตย์ยามเย็นคล้อยต่ำลงไปเรื่อยๆ กระท่อมของเฉียวลู่ตั้งอยู่บนเนินเขาทำให้เมื่อยามที่พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาทำให้มองเห็นภาพบรรยากาศของธรรมชาติที่สวยงามที่แทบจะหาดูได้ยากในโลกก่อนของนาง เฉียวลู่พาเด็กๆ ออกมานั่งหน้ากระท่อมมองพระอาทิตย์ยามเย็นเผื่อจะทำให้ลืมเรื่องหิวไปได้
นั่งไปสักพักเฉียวลู่ก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปถามอวี้หลงที่ดูเหมือนจะพูดเก่งกว่าอวี้ชิงเล็กน้อย
“อวี้หลงจ๊ะ ท่านพ่อของพวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนหรือทำไมแม่ไม่เห็นเขาเลยพวกเจ้าลำบากขนาดนี้ทำไมเขาไม่อยู่ที่นี่คอยดูแลพวกเจ้า คงไม่ใช่ว่า.....”
ประโยคสุดท้ายเสียงของนางเบาลง เฉียวลู่ไม่กล้าพูดในสิ่งที่ตนเองคิดออกไปเพราะกลัวว่าถ้าเกิดมันเป็นเรื่องจริงอาจจะกระทบจิตใจของเด็กทั้งสองคนได้ ช่างเถอะเขาจะอยู่ที่ไหนก็ช่างแต่ตอนนี้เขาได้จากไปแล้วและเด็กทั้งสองคนก็เป็นหน้าที่ของนางเพียงคนเดียวที่จะต้องดูแลเลี้ยงดูพวกเขาให้เติบใหญ่ บางทีการที่นางทะลุมิติมาที่นี่อาจเป็นเพราะเด็กสองคนนี้ก็เป็นได้ เฉียวลู่เลิกสนใจที่จะถามหาพ่อของเด็กชายทั้งสองสิ่งสำคัญที่นางต้องใส่ใจในตอนนี้คืออวี้หลงและอวี้ชิงเท่านั้น
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี