แสงจันทร์ที่เลือนลางเป็นเพียงแสงเดียวที่นำทาง นางเดินเท้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านป่าและทุ่งนา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงร้อง
ความทรงจำจากร่างเดิมช่วยให้นางมั่นใจในเส้นทาง แม้จะมีบางจุดที่รกชัฏและดูน่ากลัว แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่น
“ข้าต้องถึงอำเภอให้ทันตลาดเช้า” นางคิดในใจ พลางเร่งฝีเท้าด้วยพลังใจที่แน่วแน่
เมื่อฟ้าเริ่มสาง แสงแรกของวันค่อยๆ ส่องให้เห็นอำเภอไห่ตงที่อยู่เบื้องหน้า จูฉิงอันเดินเข้าสู่ตลาดเช้าที่เริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าของตนและเรียกลูกค้าเสียงดัง
จูฉิงอันเลือกจุดเงียบสงบในมุมหนึ่งของตลาด นางจัดของป่าที่นำมาวางขายอย่างเป็นระเบียบ ด้วยหน้าตาที่อ่อนโยนและการจัดวางอย่างคล่องแคล่ว นางดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
“เห็ดนี้สดมาก! สมุนไพรพวกนี้ก็หายากในแถบนี้” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งทักขณะหยิบสมุนไพรขึ้นมาดู
ลูกค้าหลายคนแวะมาซื้อของจากนาง ด้วยความรู้ในภพก่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรและเห็ด นางสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้สินค้าของนางขายหมดอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้เงินมาเพียงพอ นางรีบไปซื้อของจำเป็นสำหรับครอบครัว ทั้งเนื้อ ผักสด ข้าวสาร และเครื่องปรุงเล็กๆ น้อยๆ
หลังจากซื้อของครบแล้ว จูฉิงอันรีบออกจากอำเภอโดยไม่รั้งรอ นางไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นว่าเป็นเพียงเด็กสาวที่เดินทางลำพัง
ตะกร้าของนางเต็มไปด้วยสิ่งของที่จำเป็น แม้จะหนักอึ้ง แต่นางก็กัดฟันเดินกลับบ้านโดยไม่หยุดพัก
ตลอดทาง นางคิดถึงครอบครัวที่ยังคงนอนพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางหายไปเมื่อจินตนาการถึงรอยยิ้มของทุกคนที่ได้เห็นของเหล่านี้
เมื่อถึงบ้านในยามสาย จูฉิงอันพบว่าหลินอ้ายและน้องชายทั้งสองกำลังเตรียมจะออกไปหาอาหารอีกครั้ง พวกเขาหยุดชะงักเมื่อเห็นนางเดินเข้ามาพร้อมตะกร้าใส่ของมากมายจนเกือบล้น
“อันเอ๋อร์! เจ้าไปไหนมา?” หลินอ้ายถามด้วยความตกใจ
“ข้าไปขายของป่าที่อำเภอไห่ตงมา” จูฉิงอันตอบพลางยิ้ม
“ข้าซื้อเนื้อ ผัก และข้าวสารมาให้พวกเรา เพื่อให้ทุกคนได้กินอาหารดีๆ และพักฟื้นร่างกาย”
หลินอ้ายมองลูกสาวด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งห่วงใยและภูมิใจ น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของนาง
“เจ้าเพิ่งหายดีแท้ๆ ทำไมถึงฝืนตัวเองแบบนี้?”
“เพราะข้ารู้ว่าถ้าไม่ทำตอนนี้ พวกเราจะไม่มีเรี่ยวแรงไปสู้ต่อ” จูฉิงอันตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางรีบเข้ามาช่วยถือของ ทุกคนในครอบครัวเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จูฉิงอันไม่ได้เป็นเพียงเด็กสาวที่อ่อนแออีกต่อไป นางกลายเป็นแสงสว่างที่เริ่มนำทางครอบครัวออกจากความมืดมน
ในมื้ออาหารเย็นวันนั้น ทุกคนได้นั่งล้อมวงกินอาหารอย่างอบอุ่น หลินอ้ายต้มซุปเนื้อหอมกรุ่น ส่วนจูฉิงเฉิงช่วยย่างปลาอย่างขยันขันแข็ง
“ข้าสัญญา...ข้าจะทำให้พวกเรามีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้” จูฉิงอันคิดในใจ ขณะที่มองทุกคนกินอาหารด้วยรอยยิ้ม
แสงไฟจากตะเกียงในบ้านซอมซ่อส่องให้เห็นถึงความอบอุ่นที่เริ่มก่อตัว แม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่เต็มไปด้วยความหวังและกำลังใจ
เมื่อจูฉิงอันเดินลึกเข้าไปในป่า ความเงียบสงัดของยามเช้าถูกแทนที่ด้วยเสียงกระซิบของธรรมชาติ ใบไม้สั่นไหวเบาๆ ตามแรงลมอ่อน เสียงน้ำไหลของลำธารใกล้ๆ กังวานชัดเจนในความเงียบ ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าขึ้นเรียงรายเป็นแนวยาว ใบไม้เขียวสดชุ่มน้ำค้างสะท้อนแสงอ่อนของดวงอาทิตย์ที่เพิ่งพ้นขอบฟ้า
พื้นดินใต้เท้านางนุ่มเพราะถูกปกคลุมด้วยชั้นดินและใบไม้ที่ร่วงหล่นมานานปี รากไม้ใหญ่โผล่พ้นพื้นดินในบางจุดเหมือนกับอุโมงค์ธรรมชาติ กลิ่นหอมชื้นของดินและไม้ป่ากระจายอยู่ในอากาศ เติมเต็มความรู้สึกสดชื่น
เสียงนกร้องระงมก้องไปทั่ว บางครั้งเสียงนกร้องแหลมต่ำสลับกันไปเหมือนบทเพลงธรรมชาติที่ไม่มีวันจบสิ้น นกนานาชนิดบินโฉบไปมา บางตัวมีขนหลากสีสัน สะท้อนแสงแดดจนดูเหมือนอัญมณีมีชีวิต
ขณะเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ นางมองเห็นกระรอกตัวเล็กๆ ไต่ตามกิ่งไม้ รวดเร็วและคล่องแคล่ว เสียงกิ่งไม้แห้งแตกดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อสัตว์เล็กๆ อย่างกระต่ายป่าและกวางตัวน้อยแอบหลบอยู่ในพุ่มไม้หนา
เหนือศีรษะ เถาวัลย์ที่เลื้อยพันกันไปมาห้อยลงเหมือนม่านธรรมชาติ บางเส้นมีดอกไม้ป่าสีสดใสเบ่งบาน ดอกสีม่วง กลิ่นหอมจางๆ ของมันลอยอบอวลในอากาศ
เมื่อเดินตามเสียงน้ำไหล นางพบลำธารใสสะอาดที่ไหลลดเลี้ยวผ่านหินใหญ่เล็ก เสียงน้ำกระทบหินดังเบาๆ ชวนให้รู้สึกสงบ ปลาเล็กปลาน้อยว่ายวนในน้ำใสราวกระจก เห็นได้ชัดเจนจนแทบจะเอื้อมมือจับได้
บริเวณริมธารเต็มไปด้วยเฟิร์นและมอสที่เขียวชอุ่ม บางจุดมีต้นไม้ขนาดเล็กที่โค้งเอนมาปกคลุมลำธารเหมือนกับจะโอบอุ้มมันไว้
ในป่านี้มีของล้ำค่าเต็มไปหมด เห็ดป่าหลากสีที่ขึ้นใต้ร่มไม้ใหญ่ดูสดใหม่และมีกลิ่นเฉพาะตัว บางจุดมีพุ่มผลไม้ป่า เช่น ผลไม้สีแดงเล็กๆ ที่ขึ้นซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มใบไม้สีเขียวเข้ม
จูฉิงอันเจอสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมทางเดิน ต้นของมันสูงประมาณข้อเข่าพร้อมดอกสีขาวเล็กๆ นางจำได้ทันทีว่าสมุนไพรนี้มีคุณค่ามาก ทั้งใช้บรรเทาอาการเจ็บป่วยและนำไปขายได้ราคาดี
นางหยุดเก็บสมุนไพรเหล่านี้ด้วยความชำนาญ สังเกตตำแหน่งที่มันเจริญเติบโตเพื่อจะกลับมาอีกในวันหน้า
“ป่าแห่งนี้...เหมือนขุมทรัพย์ที่ไร้จุดสิ้นสุด” นางคิดในใจ ขณะที่กวาดสายตามองไปรอบๆ ทุกครั้งที่นางพบของป่าชิ้นใหม่ หัวใจของนางก็เต้นด้วยความตื่นเต้น
“ในภพก่อน ไม่มีอะไรแบบนี้เลย...” นางพึมพำกับตัวเอง ภาพในอดีตของเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงและควันพิษแตกต่างจากความงดงามที่นางเห็นตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง
การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ทำให้นางรู้สึกมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนสิ่งที่พบในป่านี้ให้กลายเป็นโอกาสสำหรับครอบครัว
ก่อนออกจากป่า นางหยุดยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มองไปรอบๆ ด้วยความชื่นชม ใบไม้ที่ปลิวร่วงลงมาช้าๆ จากลมอ่อนเหมือนการอำลาของธรรมชาติ
“ข้าจะกลับมาอีกแน่นอน” นางพูดกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินจากไปพร้อมตะกร้าที่เต็มไปด้วยของป่าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง
เมื่อจูฉิงอันกลับถึงบ้าน หลินอ้ายที่กำลังจัดของอยู่หน้าบ้านเงยหน้าขึ้นและเห็นลูกสาวเดินเข้ามาพร้อมตะกร้าที่เต็มไปด้วยของป่า
“อันเอ๋อร์ เจ้าเก็บของป่าได้เยอะมากเลยวันนี้!” หลินอ้ายพูดด้วยความตื่นเต้น นางรีบเดินเข้ามาช่วยลูกสาวยกตะกร้าลง
จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางที่กำลังตัดไม้ฟืนรีบวิ่งเข้ามาดูด้วยความสนใจ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นสิ่งที่จูฉิงอันนำกลับมา
“ข้าเจอป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก ของพวกนี้ข้าจะนำไปขายในตลาดพรุ่งนี้อีกครั้ง แล้วเราจะมีเงินพอซื้อของจำเป็นเพิ่ม” จูฉิงอันบอกด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
หลินอ้ายมองลูกสาวด้วยความภูมิใจ ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางช่วยกันนำของป่ามาจัดวางในบ้าน
ในยามค่ำคืน จูฉิงอันมองดูครอบครัวที่เริ่มมีกำลังใจจากความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ที่นางช่วยสร้าง ทุกคนเริ่มเชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถก้าวผ่านความลำบากนี้ไปได้
นางคิดถึงวันข้างหน้าที่จะได้พาท่านพ่อขึ้นเขาไปด้วยกัน การร่วมมือกันของครอบครัวจะยิ่งทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น
“นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ข้าจะทำให้ครอบครัวเราออกจากขุมนรกนี้ให้ได้” จูฉิงอันสาบานกับตัวเอง ขณะมองดวงดาวบนฟ้าที่ส่องแสงระยิบระยับ
หลังจากต่างคนต่างอวดเรื่องของขวัญกันได้อีกพักใหญ่ หวางกงกงก็เชิญทุกคนไปร่วมรับประทานอาหารก่อนจะแลกของขวัญกันและมอบซองแดงให้เด็กๆ ที่ต่างเล่นเครื่องเล่นกันจนเหงื่อเต็มตัวไปหมดฮ่องเต้ยังขอบคุณหยูฉิงอันด้วยที่สร้างเครื่องเล่นเหล่านี้ขึ้นมา เพราะองค์ชายน้อยก็มักจะได้มาเล่นเครื่องเล่นที่นี่อยู่บ่อย ๆ เช่นกัน“นี่เป็นเรื่องที่หม่อมฉันสมควรทำอยู่แล้วเพคะ หากฝ่าบาทต้องการแบบให้กับช่างหลวงสร้างขึ้นมาก็บอกหม่อมฉันได้นะเพคะ”“ตกลง ๆ ขอบใจเจ้ามากที่ไม่เคยหวงแหนความรู้เลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากไม่มีเจ้าสักคน แคว้นหมิงคงไม่สามารถพัฒนาได้ถึงขั้นนี้”“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้วเพคะ เป็นเพราะความร่วมมือของทุกคนในแคว้นต่างหากที่ทำให้แคว้นของเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”“เฮ้อ เจ้านี่นะ ไม่เคยคิดที่จะเอาความดีความชอบแม้สักนิด เอาล่ะ ๆ เราทานอาหารกันก่อนดีกว่า เด็ก ๆ คงจะหิวกันแล้วล่ะ”
วันปีใหม่เช้าวันนี้จวนหยูวุ่นวายไปด้วยบ่าวไพร่ที่กำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงปีใหม่ที่จะมีแขกเริ่มมาในยามซื่อของวัน องค์หญิงหมิงจูกับหยูฉิงเฉิงเองก็กำลังแต่งตัวให้กับลูกชายและลูกสาวของพวกเขาอยู่ เสื้อผ้าต่าง ๆ ล้วนมาจากในวังที่ฮองเฮาสั่งคนตัดให้กับหลาน ๆ ของพระองค์อย่างน่ารักหลินอ้ายกับหยูฉางหยูก็แต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุดเพื่อต้อนรับปีใหม่เช่นกัน ส่วนลูกชายคนเล็กก็กำลังจัดการบุตรชายทั้งสองกับฮูหยินน้อยที่เรือนอีกหลัง สำหรับหยูจิ่นเซิงและเฉียนหลานนั้นก็แต่งตัวกันเต็มที่เพื่อให้สมกับวันปีใหม่ ยังไม่รวมซองแดงที่พวกเขาจะแจกให้ลูกหลานอีกไม่น้อยด้วย พวกเขาคาดเดาว่าวันนี้จะต้องเป็นงานที่ทุกคนสนุกกันมากแน่ ยิ่งหยูฉิงอันส่งของเล่นเด็กมาไว้ที่จวนหยูจำนวนไม่น้อยสำหรับให้หลาน ๆ เล่นตอนที่โตกว่านี้ด้วยแล้ว พวกเขายิ่งรักหลานสาวคนนี้มากขึ้นทุกที นางไม่เคยหวงสิ่งของใดเลย มีแต่มอบให้กับน้องชายทั้งสองและครอบครัวด้านจวนกั๋วกงก็วุ่นวายไม่แพ้กัน กว่าที่พี่เลี้ยงจะไล่จับเหล่าคุณชายน้อย ค
ที่ชายแดนตะวันตก หลังจากลูกของหยูฉิงหยางคลอดแล้ว ท่านพ่อตาได้ตั้งชื่อบุตรชายทั้งสองให้เขาว่า หยูอันเหิงและหยูอันไห่ เพราะหยูฉิงหยางอยากให้ในชื่อบุตรชายของเขามีชื่อพี่สาวอยู่ด้วย เขาสำนึกในบุญคุญของพี่สาวเสมอที่พาครอบครัวค้าขายจนได้เข้าเรียนและรับราชการในราชสำนักได้อย่างทุกวันนี้อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันปีใหม่ แม่ทัพใหญ่ซวงอี้จึงชวนทุกคนกลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง เพราะเขาเดินทางมาอยู่ชายแดนตะวันตกได้เกือบสามเดือนแล้ว หยูฉิงหยางจึงไปขอลาราชการกับแม่ทัพชายแดนตะวันตกตามมารยาท ก่อนจะส่งม้าเร็วเดินทางไปถวายฎีกาเรื่องการพาครอบครัวไปรวมตัวกันในวันปีใหม่ที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ม้าเร็วเดินทางไปถึงเมืองหลวงโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือน เมื่อฮ่องเต้ได้รับฎีกาของหยูฉิงหยางแล้ว พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เขาพาครอบครัวกลับมาได้ ความจริงปีนี้พระองค์คิดที่จะจัดงานเลี้ยงปีใหม่ให้กับเหล่าขุนนางเหมือนทุกปี เพียงแต่พอคิดได้ว่าการจัดงานบ่อยครั้งก็เสียเงินในคลังไปไม่น้อย ซึ่งพระองค์ยังคงอยากใช้เงินเหล่านั้นในการพัฒนาแคว้นม
จดหมายของหยูจิ่นเซิงไปถึงจวนแม่ทัพที่ชายแดนตะวันตกในอีกหนึ่งเดือนต่อมา หยูฉิงหยางที่กำลังดูแลภรรยาที่กำลังท้องแฝดเช่นเดียวกับพี่ชายรีบนำจดหมายมาตอบพร้อมให้คนนำของฝากที่ท่านแม่ฝากมาให้เขากับฮูหยินไปเก็บไว้ในคลังเสบียงเสียก่อน“ท่านพี่ เหตุใดท่านแม่จึงส่งของกินมาเสียเยอะแยะเช่นนี้เล่า”“ฮ่า ฮ่า ท่านคงกลัวว่าเจ้าจะไม่ได้กินอาหารดี ๆ น่ะสิ ท่านแม่คงเป็นห่วงลูกของเรานั่นแหละน้องหญิง เจ้าเองก็บำรุงเยอะ ๆ เล่า จะได้คลอดง่าย ๆ เหลืออีกไม่กี่เดือน เจ้าก็จะคลอดเด็ก ๆ ออกมาแล้วนะ”“ข้ากินจนจะอ้วนเป็นหมูแล้วนะท่านพี่ หากท่านไม่ชอบที่ข้าอ้วนจะทำอย่างไร”“เจ้าก็คิดมากเกินไปน้องหญิง พี่มีหรือจะไม่ชอบเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะรูปร่างเปลี่ยนไปอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นที่รักของพี่ตลอดไปนั่นแหละ ทีหลังอย่าคิดมากรู้ไหม”หยูฉิงหยางกอดภรรยารักเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างแสนรัก เขารู้ดีว่านางคงกลัวว่าเขาจะมีหญิงอื่นกระมัง
หนึ่งเดือนต่อมา จดหมายจากหยูฉิงหยางส่งมาบอกทุกคนว่าสะใภ้เล็กท้องแล้ว ทำให้ทุกคนดีใจมาก ส่วนองค์หญิงหมิงจูนั้น ยังไม่มีใครกล้าสอบถามอะไรในเรื่องนี้ แต่เหล่าผู้อาวุโสต่างสอบถามหยูฉิงเฉิงแทน“อาเฉิง เหตุใดสะใภ้ใหญ่ไม่ท้องเสียทีเล่า”“เฮ้อ ข้าก็ไม่รู้ขอรับท่านปู่ แต่ข้าก็ขยันขันแข็งทุกวันนะขอรับ”“แล้วช่วงนี้ดูเหมือนนางจะดูมีน้ำมีนวลและน้ำหนักขึ้นบ้างหรือไม่เล่า”“ท่านย่าเดาได้เหมือนตาเห็นเลยขอรับ ข้าสังเกตว่านางดูเหมือนจะอ้วนขึ้นนิดหน่อยและท้องของนางก็ป่องออกมาเล็กน้อยด้วยนะขอรับ”“เช่นนั้นประเดี๋ยวให้พ่อบ้านไปเรียกหมอมาตรวจสักหน่อย นางอาจท้องแล้วไม่รู้ตัวก็ได้ เหมือนพี่ใหญ่เจ้าที่กว่าจะรู้ว่าท้องสองก็ตอนสามเดือนแล้ว”“ขอรับ หากมีข่าวดีเหมือนน้องสามก็คงดี เด็ก ๆ จะได้เกิดไล่เลี่ยกัน”หย
หลังจากหยูฉิงเฉิงได้รับตำแหน่งใหม่เป็นผู้ตรวจการพิเศษ เขาก็ยังคงเข้าไปทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับแผนการพัฒนาบ้านเมืองที่เคยเสนอต่อฝ่าบาทไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมหาเสนาบดีเซี่ยยังคงรายงานการทำงานของขุนนางที่ถูกส่งออกไปให้กับเขารับทราบ เพื่อที่หยูฉิงเฉิงจะได้วางแผนการเดินทางไปตรวจงานได้ในภายหลังด้านองค์หญิงหมิงจูพอเป็นสะใภ้ตระกูลหยูแล้ว พระองค์ยังคงเข้าวังไปเยี่ยมเสด็จแม่อยู่บ่อย ๆ เนื่องจากที่จวนหยูไม่มีสิ่งใดให้นางทำบ้างเลย ครั้นจะให้นางไปนั่งปักผ้ากับท่านย่าและแม่สามีนางก็ไม่ค่อยชอบนัก ปกตินางชอบเล่นพิณและวาดรูปมากกว่า แต่ก็กลัวว่าเสียงพิณจะไปรบกวนการทำงานของท่านย่าและแม่สามีของนางเข้า นางจึงมาเล่นที่วังให้เสด็จแม่ฟังแทนเฉียนหลานกับหลินอ้ายนั้นพอรู้อยู่บ้างว่าองค์หญิงน่าจะอึดอัดและเหงาที่ต้องอยู่จวนโดยไม่มีสิ่งใดทำ พระองค์จึงได้เสด็จเข้าวังบ่อย ๆ เมื่อหยูฉิงเฉิงกลับจวนมาแล้วทราบเรื่องเข้า เขาจึงคุยกับองค์หญิงในคืนวันหนึ่ง“น้องหญิง เจ้าเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่จวนนี้หรือ”