ที่ร้านภาพ The Brushstroke
เสียงกระดิ่งหน้าประตูดัง กริ๊ง กริ๊ง ขณะที่หญิงสาววัยกลางคนในชุดผ้าเนื้อดีสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างพิถีพิถันก้าวเข้ามา ใบหน้าของเธอแต่งแต้มอย่างปราณีตเข้ากับผมลอนสีดำที่จัดเรียงอย่างไร้ที่ติ สายตาเธอกวาดมองรอบร้านพลางขาก้าวเป็นจังหวะดังก้องรอบห้อง ราวกับกำลังค้นหาสิ่งที่มีความหมายที่สุด“สวัสดีครับ คุณผู้หญิง” เลโอก้าวออกมาจากเคาน์เตอร์
“มีอะไรให้ผมแนะนำไหมครับ?แต่เหลือเวลาอีก 15 นาทีร้านจะปิด” เขากล่าวพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเธอหันมามองเขาด้วยดวงตาคมกริบ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฉันกำลังมองหาภาพวาดที่เป็นชายหนุ่ม ราวกับหลุดออกมาจากนิยาย”
แต่สายตาของเธอหยุดที่ใบหน้าเลโอชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปมองภาพวาดที่จัดแสดงอยู่รอบตัว “แต่ภาพพวกนี้... ไม่มีวิญญาณ ฉันต้องการอะไรมากกว่านั้น” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ฉันต้องการอะไรมากกว่านั้น ”
ในขณะนั้น อิมิลี่ ก้าวแหวกม่านจากห้องด้านหลังออกมา“สวัสดีค่ะ คุณอลิซซาเบธ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?” อิมิลี่ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ เธอจำลูกค้าคนนี้ได้ดี อลิซซาเบธเป็นลูกค้าชั้นสูงของแกลเลอรีผู้มีรสนิยมและความต้องการที่เฉพาะเจาะจง"สวัสดี อิมิลี่" อลิซซาเบธเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยอำนาจบนใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีสันจากเครื่องสำอางพรีเมี่ยม
"ฉันต้องการหาภาพวาดของชายหนุ่มที่มีชีวิต... มีวิญญาณ" เธอพูดพลางทอดสายตาไปยังภาพวาดรอบร้าน น้ำเสียงของเธอแน่วแน่ราวกับว่าคำขอนี้ไม่ได้เป็นเพียงการซื้อขาย แต่เป็นการแสวงหาบางสิ่งที่เธอโหยหาแววตาของอลิซซาเบธสะท้อนภาพในจินตนาการของเธอออกมาอย่างชัดเจน ขณะที่เสียงรองเท้าส้นสูงของเธอกระทบพื้นเป็นจังหวะ คลิก คลิก ก้องอยู่ในบรรยากาศที่เงียบสงบของร้าน
"และฉันยอมจ่ายเต็มราคา สำหรับภาพนั้น" เธอพูดต่อ พร้อมหยุดยืนตรงหน้าอิมิลี่ น้ำเสียงของเธอเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ราวกับย้ำถึงความสำคัญของสิ่งที่เธอต้องการอย่างที่สุด
อิมิลี่ยิ้มรับด้วยความสุภาพ แต่ภายในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันจากคำขอที่จริงจังของลูกค้าคนสำคัญ "ได้เลยค่ะ คุณอลิซซาเบธ ฉันจะหาภาพวาดที่ตรงตามที่คุณต้องการที่สุด และเมื่อได้ชิ้นงานนั้นแล้ว ฉันจะติดต่อส่งงานให้ค่ะ"
อลิซซาเบธพยักหน้าช้า ๆ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความคิดขณะหันไปมองภาพวาดที่ประดับอยู่รอบตัวอีกครั้ง ราวกับกำลังพิจารณาสิ่งที่เธอยังไม่ได้พบ
"งั้นฉันคงไม่มีอะไรแล้ว... แล้วเจอกันนะ อิมิลี่" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่ยังแฝงไว้ด้วยมาดที่สง่างาม รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้า ก่อนที่เธอจะหมุนตัวอย่างนุ่มนวลและก้าวออกจากร้าน
เสียงรองเท้าส้นสูงของเธอกระทบกับพื้นของแกลเลอรีดัง คลิก คลิก จนเสียงนั้นจางหายไปหลังประตูที่ปิดลง
อิมิลี่และเลโอมองตามร่างของเธอจนลับไปจากสายตา ก่อนที่อิมิลี่จะหันกลับมามองเลโอ ใบหน้าของเธอแฝงความมุ่งมั่น
“คุณพร้อมหรือยังคะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่จริงจัง
เลโอยิ้มเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “ยินดีครับ”
อิมิลี่ยิ้มตอบ “งั้นเรามาต่อกันเลยค่ะ” เธอกล่าวพร้อมเดินนำเลโอไปยังห้องวาดด้านใน ทั้งสองเตรียมที่จะสร้างงานศิลปะที่อาจเป็นคำตอบสำหรับความต้องการที่ลึกซึ้งของอลิซซาเบธ อิมิลี่จ้องมองผืนผ้าใบตรงหน้า ภาพวาดของเลโอที่เธอได้แต่งแต้มค้างไว้วันก่อน ท่าทางของเธอดูจริงจัง ราวกับกำลังพยายามค้นหา "ชีวิต" และ "วิญญาณ" ที่อลิซซาเบธต้องการเห็น สมองของเธอครุ่นคิดถึงวิธีถ่ายทอดความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้ให้ปรากฏบนผืนผ้าใบข้าง ๆ เธอ เลโอยืนอยู่ด้วยท่าทางสงบนิ่ง แววตาเขามองอิมิลี่ด้วยความเข้าใจ เขาเหลือบมองภาพวาดก่อนจะหันมามองเธอ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“คุณลองใช้หัวใจสื่ออารมณ์ในตัวผมสิครับ”
อิมิลี่ชะงัก หันมองเลโอด้วยความประหลาดใจ แต่คำพูดของเขากลับทำให้เธอเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง เธอหลับตาลงชั่วครู่ หายใจลึก และพยายามเชื่อมโยงกับตัวตนของเลโอ ผ่านแววตา รอยยิ้ม และท่าทางที่เขาแสดงออก
เลโอปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด เผยให้เห็นแผ่นอกที่มีกล้ามเนื้อชัดเจน ผิวที่ตึงกระชับสะท้อนแสงไฟอ่อน ๆ ในห้อง เขาเอนตัวลงบนโซฟาที่บุด้วยผ้ากำมะหยี่นุ่ม เส้นสายของท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่แฝงไปด้วยความผ่อนคลายราวกับเขาเกิดมาเพื่อเป็นแบบให้วาด
“เรามาเริ่มวาดภาพใหม่กัน” เลโอพูด น้ำเสียงนุ่มทุ้มของเขาแฝงไปด้วยเสน่ห์ ใบหน้าคมชัดของเขาหันมามองอิมิลี่ แววตาที่มีประกายความท้าทายเล็ก ๆ สบเข้ากับสายตาของเธอ
อิมิลี่รู้สึกถึงแรงกดดันและแรงบันดาลใจในเวลาเดียวกัน เธอจ้องมองเขาและสูดลมหายใจลึก เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือภาพที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสร้างผลงานที่เต็มไปด้วย "ชีวิต" และ "วิญญาณ"
เธอหยิบพู่กันขึ้นมา พยายามรวบรวมสมาธิ ขณะที่ปลายพู่กันเริ่มสัมผัสกับผืนผ้าใบ สายตาของเธอจับจ้องไปยังแสงและเงาที่ตกกระทบกับกล้ามเนื้อของเขา ทุกเส้นสายถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความตั้งใจ ใบหน้าคมของเขาเป็นจุดเด่นที่เธอใส่ใจในรายละเอียดที่สุด
“ดีมากค่ะ... อยู่ท่านี้สักครู่” อิมิลี่พูดเบา ๆ น้ำเสียงของเธอมีสมาธิเต็มที่ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังเลโอที่นั่งเอนตัวอยู่บนโซฟา พู่กันในมือเริ่มเคลื่อนที่ไปบนผืนผ้าใบ ท่วงท่าของเลโอและแสงเงาที่ตกกระทบทำให้ภาพเริ่มมีมิติและชีวิตชีวาขึ้น
บรรยากาศในห้องเงียบสงบจนได้ยินเสียงแผ่วเบาของลมหายใจ จนกระทั่งเสียงสั่นเบา ๆ จากโทรศัพท์มือถือของอิมิลี่ทำลายความเงียบ เธอเหลือบมองหน้าจอเล็กน้อย เห็นข้อความจากเจมส์:
"คืนนี้ไม่ได้กลับนะ ดูแลตัวเองด้วย"
เธอหยุดชั่วครู่ ราวกับสมองกำลังประมวลผลข้อความนั้น แต่เพียงเสี้ยววินาที เธอเลือกที่ไม่ตอบสนองของข้อความนั้น สายตาของเธอกลับมาที่เลโอและภาพที่อยู่เบื้องหน้า
…….“ทุกอย่างดูดี แต่ขาดอะไรบางอย่าง...” อิมิลี่พึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบา ขณะที่ดวงตาจับจ้องภาพวาดตรงหน้า แต่กลับยังรู้สึกว่ามันไม่สมบูรณ์ เธอเงยหน้ามองใบหน้าคมชัดของเลโอ ดวงตาของเธอเคลื่อนไล่ไปตามร่างกายของเขา รูปร่างที่สมบูรณ์แบบและมีเสน่ห์ แต่เธอยังไม่สามารถจับจุดที่ขาดไปได้
เลโอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของเธอ เขาลุกขึ้นจากโซฟาอย่างนุ่มนวล ก้าวเข้ามาหาอิมิลี่ ขณะที่เธอยังคงหลุบตามองภาพด้วยความครุ่นคิด มือของเขาจับมือเธออย่างแผ่วเบาแล้ววางลงบนแผ่นอกของเขา
“ลองสัมผัสดูสิครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก มีเสน่ห์เย้ายวน สายตาของเขาประสานกับดวงตาของอิมิลี่ที่ดูสับสน มือของเธอเคลื่อนไปบนแผงอกแน่นหนาของเขาอย่างช้า ๆ ราวกับถูกสะกด
ดวงตาแพรวพราวของเลโอส่งผ่านบางสิ่งราวกับต้องการสนองบางอย่างที่เธอขาดหาย ความใกล้ชิดนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะตกหลุมพราง เธอรีบดึงมือกลับและสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกสติ
“ฉันแต่งงานแล้ว...” เธอคิดในใจ ราวกับต้องเตือนตัวเองให้กลับมาสู่ความเป็นจริง
“เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวเย็นคุณดีกว่า เย็นนี้” อิมิลี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ แท้จริงแล้วเธอพยายามทำลายบรรยากาศที่กำลังจะเลยเถิด เธอหมุนตัวกลับไปยังโต๊ะทำงาน หลบสายตาที่เลโอมองเธออย่างแรงกล้า
“เดี๋ยวเราค่อยกลับมาต่อกันใหม่ค่ะ” อิมิลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงพยายามควบคุมให้มั่นคง มือของเธอค่อย ๆ จัดเรียงพู่กันและอุปกรณ์วาดภาพลงบนโต๊ะ
ร่างกายของเธอสั่นระริกหัวใจเต้นแรงจนเธอรู้สึกถึงมันในอก ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะคุกรุ่นไปด้วยอำนาจภายในที่ซ่อนเร้น….พระอาทิตย์คล้อยต่ำ ลำแสงสุดท้ายที่ค่อย ๆ จางหายไป เจมส์ยืนอยู่หน้าประตูบ้านของอิมิลี่ บานประตูไม้เก่ากระทบกับสายลมเบา ๆ ราวกับเสียงเตือนที่เคยได้ยิน มันไม่ได้ล็อก—เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าในอากาศที่หนาแน่นขึ้นทุกที เขาลังเลไปครู่หนึ่ง... หัวใจเต้นรัวในความเงียบ ก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปด้วยมือที่เริ่มสั่นภายในบ้านยังเหมือนเดิม ทุกสิ่งยังคงอยู่ในที่ของมัน แต่ทุกอย่างกลับเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ในอากาศ บรรยากาศเงียบงัน เย็นเยียบ—เย็นเกินไป ราวกับมันไม่ได้มีชีวิตอยู่เลย ราวกับบ้านทั้งหลังกำลังไว้ทุกข์... แต่ไร้น้ำตาเขาก้าวช้า ๆ ทุกย่างก้าวหนักหน่วง สายตากวาดไปทั่วห้อง—มองทุกมุม ทุกเงา เหมือนหาสิ่งที่หายไป แต่ไม่รู้จะหามันจากที่ไหน "อิมิลี่... คุณอยู่ไหม?" เสียงของเขาแหบแห้งและทุ้มลง คำถามนั้นดังในหัวของเขา ก่อนจะหลุดออกไปในอากาศที่หนาวเย็นพลัน... เอี้ยด—ประตูระเบียงเปิดออก ลมหอบใหญ่พัดเข้ามาผ้าม่านขาวพลิ้วไหวราวกับมือของใครบางคน—โบกลาเงียบงัน เสียงลมหายใจของบ้านเก่าดังแผ่วเบา มันไม่ใช่เสียง...แต่คือความรู้สึกในห้วงขณะหนึ่ง เจมส์สัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง การมีอยู่ของควา
ดวงตาของลูคัสเด็ดเดี่ยว คมราวเหยี่ยวล่าเหยื่อ จ้องตรงไปยังเป้าหมายพลาง มือขวายกปืนขึ้น ลำกล้องเย็นเฉียบแต่นิ่งมั่น“ปัง! ปัง!”เสียงปืนกระแทกอากาศสองนัดรวด แม่นยำราวกับคมมีดผ่ากลางใจ ทุกการเคลื่อนไหวในโกดังหยุดลงเหมือนถูกสาปกล้อง อุปกรณ์ทุกชิ้น ดับสนิท แสงไฟกระพริบวูบวาบก่อนจางลง ราวกับโลกทั้งใบยอมจำนนให้แก่เขาลูกน้องของลูคัสบุกเข้ากระชับพื้นที่ ไร้เสียง ไร้ความปรานี พวกเขาจัดการลูกน้องของอองเดรอย่างรวดเร็ว แม่นยำ ไม่ปล่อยให้มีเสียงร้องหลุดลอดแม้แต่ลมหายใจสุดท้ายจากนั้น— เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวออกจากในมุมลึกของโกดังอองเดร ยืนจังก้า แผ่นหลังเหยียดตรง ราวกับการปรากฏของเขาไม่ใช่ความหวาดกลัว... แต่เป็นการรอคอย—การแก้แค้นที่เขาคิดว่าเป็นของเขามุมปากเขายกขึ้น... แววตาเป็นประกาย แต่ในความลึกนั้น เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ และเลือดเย็นลูคัสดวงตาแน่นิ่ง นิ้วหนาเล็งปลายกระบอกปืนไปยังอกของอองเดรอย่างมั่นคง “จบกันที... อองเดร”น้ำเสียงเรียบเย็น ราวมีดที่ถูกลับจนคมกริบไร้การขู่ ไม่มีแม้แววลังเลในถ้อยคำทั้งสองยืนประจันหน้า— เวลาเหมือนหยุดหมุน เสียงเขม่าควันปืนเมื่อครู่ยังคุกรุ่น
เจมส์ขับรถออกจากศาลด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาแข็งกร้าวจ้องถนนเบื้องหน้าไม่กะพริบ ความคิดในหัววนเวียนซ้ำๆ เขาต้องไปหาแอลซ่า ต้องได้คำตอบเท้าเหยียบคันเร่งจมมิด รถทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ความเร็วเสียดแทงลมราวกับสะท้อนพายุในใจของเจมส์ที่พร้อมจะระเบิดออกได้ทุกวินาที เสียงเครื่องยนต์คำรามดั่งหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ร้อนรุ่ม สับสน หวาดระแวงพริบตาเดียว รถเบรกกระทันหันจนยางเสียดกับพื้นถนนอย่างรุนแรง เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านของแอลซ่า ประตูหน้าถูกล็อกแน่นสนิท ม่านหน้าต่างปิดราวกับไม่เคยมีใครอาศัย บ้านทั้งหลังเงียบงัน เย็นเยียบ เจมส์จ้องไปที่แม่กุญแจด้วยสายตาแข็งกร้าว มือที่ยังกำพวงมาลัยแน่นเริ่มสั่นเล็กน้อย ทุกอย่าง...ผิดปกติเกินไปแล้วจู่ๆ... เสียงมือถือสั่นครืดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบเจมส์หันไปมองเบอร์ที่โชว์บนหน้าจอ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสายในทันที"คุณเจมส์ใช่ไหมครับ?" เสียงปลายสายจริงจัง และหนักแน่น"ใช่ ผมเอง..." เขาขานรับ เสียงแหบพร่า หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก“ขอความร่วมมือให้คุณมาให้ปากคำที่สถานีตำรวจครับ… เกี่ยวกับการหายตัวไปของคุณอิมิลี่ —
กลางมหาสมุทรเวิ้งว้างไร้ขอบเขต เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มสะเทือนคลื่นลม เรือสปีดโบ๊ทสีดำทะมึนแล่นฝ่าเกลียวคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุด ลูคัสยืนประจันหน้ากับสายลมบ้าคลั่ง มือกำพวงมาลัยแน่นดวงตาแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยว มุ่งตรงไปข้างหน้า สู่เกาะร้างที่ซ่อนอันตรายและสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาเอาไว้เบื้องหลัง ลูกน้องหลายชีวิตติดอาวุธครบมือ นั่งกระชับปืนไรเฟิลแน่น ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยว กวาดมองรอบตัวไม่หยุดด้วยสัญชาตญาณของนักล่า ทุกคนพร้อมระเบิดความโหดเหี้ยมได้ทันทีที่คำสั่งแรกถูกเปล่งออกมาไม่ไกลจากกันนัก บนเกาะร้างกลางทะเล ลูกน้องของอองเดรยกกล้องส่องทางไกลขึ้นแนบตา จับภาพเรือสปีดโบ๊ทที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเย็น ราวกับหมาป่าที่กำลังจะได้ลิ้มรสเนื้อสดใหม่"จัดการพวกมันเลยไหม?" เขาเอ่ยเสียงแข็งผ่านไมโครโฟนติดตัว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหิวกระหายเลือดเสียงปลายสายดังขึ้น — ต่ำ ลึก และเย็นยะเยือก ราวกับน้ำแข็งกัดกระดูก"ยัง..." อองเดรลากเสียงยาวอย่างเลือดเย็น "ต้องให้มันเห็น...คนที่มันรัก...ทรมานจนขอความตายก่อนต่างหาก"ประโยคนั้นบาดลึกลงในความเงียบของทะเล ราวกั
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ