สถานที่ด้านในเป็นอย่างที่แพรพิไลคาดเดาเอาไว้แต่แรก ผนังและเสาแต่ละเสาทำเลียนแบบวังของฟาโรห์ มีโซฟาสีแดงตั้งเป็นกลุ่ม ๆ โต๊ะใครโต๊ะมัน มีฉากกั้นซึ่งเป็นบานพับลายฉลุรูปอักษรอียิปต์โบราณแบ่งความเป็นส่วนตัวไว้ และสามารถพับเก็บได้หากสองโต๊ะต้องการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ตรงกลางเป็นลานกว้างสำหรับเป็นฟลอร์เต้นรำ มีแชนเดอเลียร์คริสตัลห้อยระย้าอยู่ด้านบน แสงระยิบระยับของมันส่งให้บรรยากาศรอบด้านดูหรูหราราวกับได้ย้อนยุคไปงานเลี้ยงสมัยเมื่อหนึ่งพันปีก่อน
พนักงานสาวในชุดผ้าฝ้ายสีงาช้างเลียนแบบมาจากนางกำนัลของฟาโรห์ผายมือเชื้อเชิญให้แพรพิไลเดินไปนั่งที่โต๊ะมุมหนึ่ง หญิงสาวสังเกตว่าที่นี่แยกโซนกันอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มที่มากันหลายคนกับผู้ที่มาเดี่ยวหรือมาเป็นคู่
หญิงสาวค่อนข้างพอใจกับพื้นที่ของตนเอง เพราะมันทำให้เธอสามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการ ดังนั้นหลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จเรียบร้อยเธอจึงมองหาเป้าหมายอย่างครองขวัญทันที
ชุดสีแดงสดของครองขวัญ เมื่อมาอยู่ใต้แชนเดอเลียร์อันใหญ่ก็ยิ่งดูระยิบระยับงดงามจับตา หล่อนกำลังโยกย้ายส่ายสะโพกในดนตรีจังหวะแทงโก้อยู่กลางฟลอร์กับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง แพรพิไลจึงรีบหยิบกล้องแอบถ่ายที่อยู่ในรูปแบบของกุญแจรถออกมาวางไว้บนโต๊ะแล้วทำการบันทึกเอาไว้ทันที
“คนนี้รึเปล่า...ไม่น่าจะใช่” เธอพึมพำกับตนเองเพราะความรู้สึกบางอย่างสะกิดเตือนเธอว่าไม่ใช่ ผู้ชายคนนั้นแม้จะรูปร่างหน้าตาดี แต่ความใกล้ชิดของสองคนนั้นดูแล้วยังมีความเกรงใจกันอยู่ เพราะเท่าที่จำได้ การเต้นแทงโก้นั้นเนื้อตัวของผู้ที่เต้นคู่กันจะสัมผัสเสียดสีกันเยอะพอสมควร
อีกทั้งความโดดเด่นของผู้ชายคนนั้นยังดูด้อยกว่าสุกำพลอยู่หลายขุม หากเทียบกันตามตรงแล้วผู้ชายที่เธอเจอตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้ายังเหมาะสมกว่าด้วยซ้ำไป
เอ่อ...เหมาะสมที่จะเป็นชู้กับเมียชาวบ้านอย่างนั้นหรือ
แพรพิไลอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้เมื่อจู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลากับนัยน์ตาทรงเสน่ห์ของชายหนุ่มคนนั้นผุดวาบขึ้นมาในหัวทันทีที่เธอคิดถึงคนที่คาดว่าจะเป็นชู้รักของครองขวัญ...แล้วถ้าใช่เขาจริง ๆ เล่า...
“ไม่ออกไปเต้นสักเพลงหรือครับ”
เสียงทุ้มที่ดังข้างตัวช่วยดึงความสนใจของแพรพิไลออกมาจากฟลอร์เต้นรำได้ทันที เธอหันไปมองเจ้าของเสียงแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
โอ้โฮเฮะ! อย่างกับจุดธูปเรียก...เธอแค่นึกถึงเขาเท่านั้น แต่ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
แพรพิไลส่งยิ้มมารยาทกลับไปก่อนตอบเขาอย่างมีจริต
“เต้นไม่ค่อยเป็นหรอกค่ะ ที่เคยเรียนมาก็ลืมไปหมดแล้ว วันนี้เลยอยากจะมานั่งรื้อฟื้นวิชาสักหน่อย”
ความจริงแล้วเธอเต้นเป็นแค่จังหวะวอลซ์อย่างเดียว ตอนที่เรียนอยู่เมืองนอกรูมเมตเป็นคนสอนเต้น เพราะตอนนั้นต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย
“ถ้าคุณไม่รังเกียจ...ให้ผมสอนให้ไหมครับ”
เขายืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างดูแล้วเท่ไม่เบา ยอมรับว่าหากเธอเจอเขาข้างนอก ไม่ใช่ที่นี่ เธออาจจะเผลอมองตามหลังเขาก็ได้
คราแรกแพรพิไลคิดจะปฏิเสธ แต่พอคิดถึงภารกิจที่ตนเองต้องทำแล้วก็ต้องลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือออกไปให้เขา
“ไม่รังเกียจเลยค่ะ ยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
เขาจับมือเธออย่างสุภาพ จากนั้นพาไปที่ฟลอร์เต้นรำแล้วหันหน้าเข้าหาเธอซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่เพลงเปลี่ยนจากจังหวะแทงโก้สนุกสนานเป็นจังหวะบีกินด้วยเพลง “พรหมลิขิต” ของวงสุนทราภรณ์[1]
“ขออนุญาตนะครับ” เขาพูดจบก็จับมือข้างซ้ายของเธอไปวางบนไหล่เขา ส่วนมือข้างขวาเขาก็จับไว้หลวม ๆ แล้วยกขึ้นสูงระดับไหล่ ขณะที่มืออีกข้างของเขาวางแตะไว้ที่แผ่นหลังของเธออย่างแผ่วเบา
“จังหวะของเพลงนี้คือจังหวะบีกินครับ โดยในจังหวะแรกให้ก้าวถอยหลังสามก้าวแล้วพักขา จากนั้นก็ก้าวขึ้นข้างหน้าสามก้าวแล้วพักขานะครับ ผมจะคอยบอกคุณว่า ‘หน้า’ หมายความว่าให้ก้าวมาข้างหน้า ‘หลัง’ ก็คือก้าวไปข้างหลัง ไม่ต้องกลัวว่าจะเหยียบเท้าผมนะครับ เหยียบมาได้เลย” ทันทีที่เขาพูดจบเสียงเพลงก็ร้องขึ้น
เธอจึงต้องก้าวถอยหลังไปสามก้าวตามที่เขาบอกไว้พลางแอบชำเลืองมองคู่ที่เต้นอยู่ข้าง ๆ
...พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ...
“เดี๋ยวผมจะหมุนตัวก่อน ผมหมุนเสร็จคุณก็หมุนเลยนะครับ” พูดจบเขาก็หมุนตัวทันที ทำเอาหญิงสาวต้องรีบหมุนตัวหลังจากเขาอย่างลนลานเพราะกลัวไม่ทันจังหวะกับคนอื่น ๆ บนฟลอร์
“ด้านข้างครับ หนึ่ง สอง สาม พัก ถอยหนึ่ง สอง สาม พัก ข้างหนึ่ง สอง สาม พัก”
...เออชะรอยคงเป็นเนื้อคู่ ควรอุ้มชูเลี้ยงดูบำเรอ แต่ครั้งแรกเมื่อพบเจอ ใจนึกเชื่อว่าแรกเจอฉันและเธอคือคู่สร้างมา...
“จังหวะหลัก ๆ มีเท่านี้เองครับ เดินหน้า ถอยหลัง หมุนตัว เดี๋ยวอีกหน่อยก็จับจังหวะได้เองแหละครับถ้ามาบ่อย ๆ”
เพราะหญิงสาวมัวแต่จดจ่อกับปลายเท้าของตนเอง และมองดูจังหวะของคู่อื่น จึงไม่ทันได้เห็นความขบขันในแววตาของชายหนุ่มที่เต้นคู่ด้วย มือที่แตะไหล่เขาไว้หลวม ๆ ตอนนี้แทบจะกำแน่น ส่วนมืออีกข้างนั้นเธอก็เป็นฝ่ายสอดประสานเข้ากับมือของเขาแล้วบีบไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
รชตมองหน้าหญิงสาวไม่วางตา แม้ปากจะคอยบอกจังหวะเธอไปด้วย แต่สายตาของเขาก็เอาแต่มองเครื่องหน้าของเธอไปทีละส่วน ๆ พร้อมกับความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวทีละฉาก ๆ
เธอสวยขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย...
แทบไม่อยากเชื่อว่าจะได้กลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาลืมเธอไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะช่วงที่ไปเรียนต่อต่างประเทศเขาได้พบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา ตอนที่เห็นเธอเดินเข้ามาในคลับเฮรา เขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเลยว่านั่นคือ...แพร
...เราสองคนต้องเป็นเนื้อคู่ จึงชื่นชูรักใคร่บูชา นี่เพราะว่าบุญหนุนพา พรหมลิขิตขีดเส้นมา ชี้ชะตาให้มาร่วมกัน...
“เริ่มจับจังหวะได้แล้วใช่ไหมครับ” เขาถามยิ้ม ๆ เธอเงยหน้าขึ้นมาตอบเขาพร้อมรอยยิ้มกว้างจนคนมองแทบตาพร่า
“ใช่ค่ะ จะว่าไปก็ไม่ยากเท่าไรเนอะ...คุณเป็นครูสอนลีลาศของที่นี่หรือคะ”
คำถามจากเธอทำเอาเขาต้องเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะพยายามสะกดอาการขบขันของตนเองกลืนลงท้องไปแล้วพยักหน้าตอบแบบไหลตามน้ำ
“คุณเต้นรำได้ทุกจังหวะเลยรึเปล่า...ก็ต้องเป็นทุกจังหวะสิเนอะ ก็คุณเป็นครูสอนนี่นา”
ได้ยินเธอถามเองตอบเองเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ส่งยิ้มให้จนเริ่มรู้สึกว่าคนตรงหน้าเผลอก้าวผิดจังหวะ เขาจึงเลื่อนมือลงเกาะไว้ที่เอวของเธอแทน แล้วดึงให้เข้าจังหวะที่ถูกต้องพร้อมกับเริ่มนับจังหวะให้อีกครั้ง
“หมุนครับ” เธอหมุนตัวตามที่เขาบอก และเมื่อได้กลับมาจับมือกันอีกครั้งก็เห็นสีหน้าประดักประเดิดของหญิงสาว
“ขอโทษค่ะ มัวแต่คุย” แพรพิไลเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจับหัวไหล่เขาเอาไว้แน่นอย่างเสียมารยาทจึงรีบคลายออกอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างก็บีบเอาไว้แน่นเช่นกันจึงค่อย ๆ ปล่อยออกทีละนิด
เขาคงรู้ถึงความผิดปกตินี้จึงก้มมองเธอแล้วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย แต่แววตาทรงเสน่ห์แบบนี้เป็นอันตรายกับเธอมากเกินไป จึงเบือนหน้ามองไปรอบด้านแก้อาการขัดเขิน
และตอนนี้เองที่แพรพิไลเพิ่งคิดได้ว่าจุดประสงค์ที่เธอมาที่นี่คืออะไร อย่างไม่รอช้า เธอกวาดตามองหาชุดสีแดงสดของครองขวัญทันที
เวรแล้ว! ครองขวัญหายไปไหน...
เธอมองไปทั่วฟลอร์และตามซุ้มที่นั่ง ทว่ามองไปทางไหนก็ไม่เจอแม้แต่เงาจนเริ่มใจเสีย ได้แต่ก่นด่าตนเองอยู่ในใจที่ปล่อยให้เป้าหมายหลุดรอดไปได้ นาทีนี้ไม่สนใจแล้วว่าจังหวะการเต้นของตนจะถูกต้องตามหลักหรือเปล่า
“มองหาใครหรือครับ” รชตเห็นหญิงสาวมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกก็อดถามไม่ได้ จังหวะการเต้นของเขากับเธอเสียไปแล้ว ตอนนี้จึงได้แต่ยืนกอดกันหลวม ๆ อยู่กลางฟลอร์
“มะ...ไม่มีอะไรค่ะ อ้าว เพลงจบพอดีเลย ฉันขอตัวไปนั่งพักก่อนนะคะ” เธอปล่อยมือที่เกาะบ่าเขาออก รวมถึงมือที่กุมกันอยู่ด้วย แต่เขาแสร้งทำมึนไม่ยอมปล่อยออก
“เดี๋ยวครับ คุณชื่ออะไรหรือ มาคราวหน้าผมจะได้เรียกถูก”
“แพรค่ะ แล้วคุณล่ะคะ” เธอถามเขาก็จริง แต่สายตายังคงสอดส่ายไปทั่วบริเวณราวกับมองหาใครบางคน
[1] เพลงพรหมลิขิต ประพันธ์คำร้องโดย แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนองโดย เวส สุนทรจามร ต้นฉบับขับร้องโดย วินัย จุลละบุษปะ บรรเลงโดยวงดนตรีสุนทราภรณ์ เมื่อ พ.ศ. 2496
เด็กชายวัชร์ส่งเสียงทักทายผู้เป็นอาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างพลางกางแขนจะให้อุ้ม รชตจึงยื่นมือไปรับร่างป้อมของหลานชายมาอุ้มไว้“แพร นี่พี่โอม พี่ชายพี่เอง...นี่แพร ที่เคยเล่าให้ฟังน่ะ” รชตหันไปแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันแพรพิไลยกมือไหว้อีกฝ่ายก่อนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเมื่อได้ยินที่เขาพูดว่าเคยเล่าเรื่องของเธอให้พี่ชายฟังด้วยพชรรับไหว้พลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร นัยน์ตาคมกริบลอบประเมินว่าที่น้องสะใภ้แล้วรู้สึกว่าแพรพิไลคนนี้มีบุคลิกเหมือนช่อมาลี ภรรยาของเขาอยู่มากเลยทีเดียวเหมือนที่ความมั่นใจ เหมือนที่ความกระตือรือร้นในแววตา และเหมือนที่ดูเป็นคนอยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยได้จากนั้นทั้งหมดก็พากันเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งมีเพียงช่อมาลีนั่งอ่านนิตยสารรถยนต์อยู่เพียงลำพัง ครั้นพอเห็นว่ารชตพาคนรักมาถึงแล้วจึงปิดหนังสือแล้ววางไว้บนโต๊ะตามเดิมรชตแนะนำให้สองสาวรู้จักกัน ซึ่งทั้งแพรพิไลและช่อมาลีต่างรู้สึกถูกชะตากันตั้งแต่ที่ได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นช่อมาลีก็เดินไปเรียกบิดามารดาของทั้งสองหนุ่มที่นั่งดูโทรทัศน์กันอยู่อีกห้องหนึ่งการทำคว
“ว่าแต่เป้าหมายเป็นใครล่ะ” รชตถามพลางมองไปรอบฟลอร์ ครั้นพอเห็นสายตาของแพรพิไลเขาก็เลิกคิ้วขึ้น“อย่าบอกนะว่าคือผู้หญิงที่เต้นรำกับพี่เมื่อกี้”“ใช่เลย คนนั้นนั่นแหละ” แพรพิไลยิ้มกว้างเมื่อเห็นสีหน้าของเขาซึ่งทำเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา“อยากรู้ล่ะสิว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” ชายหนุ่มกะพริบตาให้เธอข้างหนึ่ง ดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่มจนคนมองเห็นแล้วรู้สึกคันไม้คันมืออยากเอามือไปปิดตาคู่นั้นไว้เสีย“อยากรู้สิ แต่พี่น่ะจะบอกแพรรึเปล่า”“บอกสิ แต่แพรน่ะยอมเอาตัวเข้าแลกรึเปล่า”แพรพิไลสะดุ้งเฮือกเมื่อแผ่นหลังเปล่าเปลือยสัมผัสกับที่นอนเย็นเฉียบ หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้หญิงสาวกับรชตยังเต้นรำกันอยู่บนฟลอร์ที่คลับเฮรา ทว่าเวลานี้ร่างไร้อาภรณ์ของเธอกลับมานอนอยู่ใต้ร่างกำยำบนเตียงในห้องนอนของตัวเองเสียแล้วทุกอณูเนื้อกำลังถูกลมหายใจและริมฝีปากร้อนผ่าวไล่ประทับตีตราไปทั่วราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มือทั้งสองข้างของเขาลูบไล้ฟอนเฟ้นไปทั่ว
หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสแขนกุดสีม่วงอเมทิสต์เยื้องย่างราวกับนางพญาเข้ามาในคลับเฮรา คลับลีลาศอันโด่งดังที่สุดในกลุ่มคนที่ชื่นชอบการเต้นรำ เรือนร่างเย้ายวนและความสวยนั้นสะกดสายตาทุกคู่ไว้ได้อย่างง่ายดาย เธออมยิ้มเล็กน้อยระหว่างที่เดินไปยังโต๊ะวีไอพีที่อยู่ด้านในสุด นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองไปรอบด้านด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ฟลอร์เต้นรำที่มีผีเสื้อราตรีหลายคู่กำลังเริงระบำกันท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องลงมาชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งตกเป็นเป้าสายตาของหญิงสาวผู้มาใหม่ทันที ปากอิ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อรับรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นกำลังมองมาทางตนอย่างสนใจหญิงสาวหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรที่มารอรับออร์เดอร์ จากนั้นก็ทำทีเป็นไม่สนใจคนคู่นั้นอีก นิ้วมือเคาะโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะตามเสียงเพลงที่กำลังเปิดอยู่ พลางหลับตาแล้วฮัมไปด้วยอย่างอารมณ์ดี“ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหมครับคุณผู้หญิง”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นตรงหน้าปลุกให้หญิงสาวต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน ครั้นพอเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขากับสายตาเชิญชวนคู่นั้น เธอก็ตอบออกไปอย่างไม่ลังเล
“เลว! อย่างน้อยก็เคยใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยา เขาน่าจะนึกถึงเรื่องนี้บ้าง นี่อะไร...เหยียบคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาจมดินแบบนี้เลยน่ะหรือ แล้วตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง พี่อาร์ตรู้ไหมคะ”“คุณพ่อคุณแม่ของคุณขวัญพาไปบำบัดน่ะ เพราะผลข้างเคียงของยาเสพติดพวกนี้ทำให้คนที่ไม่ได้เสพจะเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง...คุณขวัญเคยพยายามฆ่าตัวตายมาหลายครั้งแล้ว แต่คนในบ้านช่วยไว้ได้ทันเวลา”“แปลกนะคะ ถ้าไปรักษาตัวตอนที่พยายามฆ่าตัวตาย ทำไมไม่เห็นมีข่าวเล็ดลอดออกมาบ้างเลย”เธอจำได้ว่าตอนนั้นพยายามหาข่าวของครองขวัญจากหลาย ๆ ที่ว่าหายไปไหน เนื่องจากไม่เห็นอีกฝ่ายไปที่คลับเฮราติดกันหลายวันแล้ว แต่กลับไม่มีใครรู้คำตอบที่แท้จริง ข่าวที่ได้มาจึงค่อนข้างหลากหลายจนดูไม่น่าเชื่อถือ“ตระกูลของคุณขวัญเป็นตระกูลผู้ดีเก่ามีหน้ามีตาในสังคม เรื่องที่จะส่งลูกสาวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่ะลืมไปได้เลย เขาเรียกหมอไปรักษาที่บ้าน จ้างพยาบาลส่วนตัวมาเฝ้า เพราะไม่อย่างนั้นเธอก็จะทำร้ายตัวเองอีก”“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าชีวิตพังเพราะผู้ชายคน
“แพรขอโทษ แพรไม่ได้ตั้งใจตะคอกใส่พี่อาร์ตนะ แต่แพรเป็นอะไรไม่รู้ แพรหงุดหงิดไปหมด มันรู้สึกอึดอัดในอกเหมือนจะระเบิดออกมาให้ได้ แพรอยากกรี๊ดออกมาดัง ๆ เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาจนอยากทำลายทิ้งให้หมด...แพรไม่อยากเป็นแบบนี้เลยพี่อาร์ต ทำยังไงดี ฮือ...”“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น มันเป็นผลข้างเคียงจากยาที่แพรดื่มเข้าไปน่ะ ไม่กี่วันก็หายแล้วแพร ทนหน่อยนะ ถ้าแพรอยากทำลายข้าวของ แพรมาทึ้งเสื้อผ้าพี่แทนก็ได้พี่ไม่ว่าหรอก แต่อย่าทำตอนที่หมอกับพยาบาลอยู่ก็พอ เดี๋ยวเป็นข่าว” รชตพูดหน้าตาเฉย ขณะที่คนฟังหัวเราะทั้งน้ำตาแพรพิไลพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้คงที่จนกระทั่งเริ่มผ่อนคลายลงจึงเอ่ยถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของศักดิ์อีกครั้ง“ตกลงแล้วพี่ศักดิ์ถูกบีบบังคับยังไงกันคะ”“สุกำพลจับตัวลูก ๆ ของพี่ศักดิ์ไว้เป็นตัวประกันน่ะ พี่ศักดิ์มีลูกสาวกับลูกชายอย่างละคนใช่ไหมล่ะ มันจับเด็ก ๆ ไปอยู่ในความดูแลของสุกำพล เขาบอกว่าจะไม่ทำอะไรเด็กจนกว่าพี่ศักดิ์จะหาหลักฐานที่เหลือมาได้ จนครั้งสุดท้ายที่เขาเรียกใช้งานพี่ศักดิ์ก็คือตอนที่เขาพาตัวแพรไปให้
“ข่าวด่วน นักธุรกิจหนุ่มไฮโซ แท้จริงแล้วคือมาเฟียยาเสพติด!”“นักธุรกิจชื่อดัง สุกำพล พัวพันคดียาเสพติด”ข่าวพาดหัวตัวโตของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างพร้อมใจกันลงข่าวไฮโซหนุ่มเนื้อหอม นักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของธุรกิจมากมาย รายการข่าวทางโทรทัศน์และวิทยุต่างนำเสนอข่าวนี้กันแทบทุกช่องจนกลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่คนต่างพูดถึงกันมากที่สุดในประเทศ แม้ว่าจะผ่านมาถึงสองวันแล้วก็ตามรชตหยิบรีโมตคอนโทรลขึ้นกดเปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่น เพราะเบื่อข่าวของสุกำพลเต็มที ยิ่งนานวันนักข่าว นักสืบออนไลน์ และนักสืบโซเชียลทั้งหลายต่างก็พากันขุดคุ้ยเรื่องของสุกำพลไม่หยุด บางคนก็แต่งเรื่องโกหก บางคนก็เป็นผู้เสียหาย บางรายก็ฟังเขาเล่ามา จนเวลานี้แทบไม่รู้ว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนเท็จ“พี่อาร์ตเปลี่ยนช่องทำไม” น้ำเสียงราบเรียบของแพรพิไลทำให้ชายหนุ่มหันกลับไปมองที่เตียงคนไข้“อ้าว...ตื่นนานรึยัง อยากกินอะไรไหม” เขาไม่ตอบคำถามของ