เสียงกริ่งเลิกเรียนของโรงเรียนดังขึ้นในช่วงเย็น หิรัญยืนรออยู่หน้าอาคารเรียนของเด็กประถมต้นตามเวลาเลิกเรียน เขามาก่อนเวลาเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้น้องบัวต้องรอ สายตาชายหนุ่มกวาดไปทั่วสนามเด็กเล่นก่อนจะหยุดอยู่ที่ครูสาวคนเดิมที่คุ้นหน้าเดินจูงมือลูกสาวตัวน้อยในชุดนักเรียนออกมา
"น้องบัว ทางนี้ลูก" เขาโบกมือเรียก
เด็กหญิงตัวเล็กในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินขาวหันมาเห็นพ่อก็ยิ้มร่าและรีบวิ่งเข้ามากอดแน่นด้วยความคิดถึง หิรัญย่อตัวลงรับอ้อมกอดนั้นพลางลูบศีรษะลูกเบา ๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะรับกระเป๋านักเรียนมาถือไว้แล้วพาเธอเดินไปยังที่จอดรถ
แม้เขาจะยังไม่ถนัดกับการดูแลลูกเท่ากับกัทลี แต่เขาก็เริ่มคุ้นเคยแล้วกับหน้าที่พ่อหลายๆ อย่าง แม้จะดูว่าช้าเกินไปสำหรับบางคน แต่สำหรับเขามันคือโอกาสครั้งที่สองที่ไม่อยากปล่อยผ่านอีก
เมื่อกลับถึงบ้าน หิรัญเปิดประตูด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหิ้วกระเป๋านักเรียนและกล่องข้าวที่ครูฝากส่งคืน ก่อนที่เขาจะบอกให้น้องบัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวอาบน้ำ ขณะที่ตนเองเดินไปจัดเสื้อผ้าชุดใหม่วางเตรียมไว้ให้ลูกสาว จากนั้นเขาเข้าครัวไปหยิบนมหนึ่งกล่องและขนมปังปิ้งทาแยมเป็นของว่างรองท้องก่อนถึงเวลาอาหารเย็น
หลังอาบน้ำและบิดาเป่าผมให้จนแห้งแล้ว เด็กหญิงก็มานั่งรอที่โต๊ะทำการบ้านที่พ่อเพิ่งจัดเก็บใหม่ หิรัญเดินเข้ามาพร้อมสมุดการบ้านที่หยิบออกมาจากกระเป๋า เขานั่งลงข้าง ๆ ลูกสาวอย่างตั้งใจ
“วันนี้มีการบ้านไหมลูก?”
“มีค่ะ ครูให้เขียนคำห้าคำคัดตัวบรรจงเต็มบรรทัด” เธอยื่นกระดาษการบ้านให้พ่อ
หิรัญมองดูหน้ากระดาษแล้วหยิบดินสอขึ้นมาวางไว้ข้างลูกสาว ดูเธอฝึกคัดลายมือทีละตัวอย่างอดทน นิ้วเล็กของเธอกำดินสอแน่นพยายามเขียนตัว “ถ” ให้พ้นบรรทัด แม้เส้นจะเบี้ยวบ้างแต่ก็เต็มไปด้วยความตั้งใจ
เขาอยากจะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นตามความเคยชิน แต่เมื่อหันมาเห็นหน้าจริงจังของลูกสาว หิรัญก็ถอนหายใจเบา ๆ วางมือถือไว้ให้ห่างตัว แล้วนั่งดูเธอเขียนด้วยรอยยิ้มบางๆ ความรู้สึกบางอย่างในอกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
บางที...เขาควรเริ่มจากตรงนี้
หากเขาอยากให้ลูกเรียก ‘พ่อ’ ได้เต็มปาก
แต่ระหว่างที่น้องบัวก้มหน้าคัด ก็บังเอิญทำให้หิรัญเผลอเหม่อ ความคิดเขาหลุดไปถึงตอนกลางวัน…
ภาพกัทลีนั่งตรงข้ามกับผู้ชายอีกคนในร้านอาหารกลางเมือง รอยยิ้มบางๆ ที่เธอมอบให้ชายคนนั้นดูอ่อนโยน นิ่งสงบ และเต็มไปด้วยแววตาที่เขาไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน แววตาที่เคยมีไว้ให้เขาเมื่อหลายปีก่อน มันย้อนกลับมาแทงหัวใจเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขาไม่ได้ยินเสียงหัวเราะแบบนั้นมานานแล้ว จำไม่ได้ว่าไม่ได้เห็นแววตาเป็นประกายแบบนั้นจากเธอมานานแค่ไหนแล้ว
“กล้วย… เธอกำลังจะหาพ่อใหม่ให้ลูกแล้วหรือเปล่านะ”
คำถามนั้นคงอยู่ในใจและเขาเลิกคิดไม่ได้ เหมือนฝุ่นที่เคยถูกกวาดเก็บไว้ใต้พรม วันนี้มันฟุ้งกระจายขึ้นมาเต็มอกจนทำให้เขาเอ่ยกับลูกสาวโดยไม่ทันไตร่ตรอง
“บัว หนูอยากโทรหาแม่ไหมลูก”
“ตอนนี้เหรอคะ” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาเป็นคำถาม
“ใช่ พ่อจะโทรให้” เขาพยายามยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นสั่นไหวจนแทบไม่ติดมุมปาก เมื่อน้องบัวพยักหน้าเขาก็ทำตามที่บอกทันที
เด็กหญิงยิ้มกว้างทันทีแล้วรับโทรศัพท์จากมือพ่อ พอมีเสียงกัทลีรับสาย น้องบัวก็รีบบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“แม่ขา... หนูทำการบ้านเสร็จหมดแล้วค่ะ คุณพ่อเป็นคนสอนหนูเองนะ”
หิรัญมองลูกสาวอย่างปลื้มใจ ดวงตาเป็นประกายเพราะเสียงของลูกคือแสงเล็กๆ ที่เขายังมีเหลือท่ามกลางความมืดมนอื่นรอบตัว
ในอีกฝั่งหนึ่งของสายโทรศัพท์ ชายหนุ่มได้ยินเสียงกัทลีหัวเราะเบาๆ ตอบรับลูก พร้อมเสียงฝีเท้าที่ดูเหมือนเธอกำลังเดินไปหาที่เงียบขึ้นเพื่อคุยให้เต็มเสียง
“เก่งมากลูก คุณพ่อสอนเหรอคะ”
“ค่ะ พ่อบอกว่าหนูเขียนได้สวยขึ้นนิดนึงด้วย”
“แม่ดีใจนะคะ เก่งจริง ๆ คนเก่งของแม่”
ประโยคที่เรียบง่าย แต่ฟังดูอบอุ่นเหลือเกิน มันบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกคนฟังจนหิรัญรู้ตัวว่า ณ ตอนนี้เขามีความพยายามที่อยากจะเป็น ‘พ่อ’ เต็มเปี่ยมซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน
ในเวลาไล่เลี่ยกัน กัทลีนั่งพับผ้าในห้องนอนเล็กของเธอ ข้างกายมีโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายจากลูก เธอยิ้มบางๆ เมื่อคิดถึงเสียงร่าเริงของน้องบัว
“เย็นพรุ่งนี้แม่จะไปรับหนูมานอนด้วยนะคะคนเก่ง” เธอบอกลูกก่อนวางสาย
ความคิดของเธอล่องลอยไปยังอดีต...
ย้อนกลับไปก่อนคลอดไม่กี่เดือน หิรัญเคยสัญญากับเธออย่างจริงจังว่า
“ลูกเกิดมาเมื่อไหร่ ฉันจะเป็นพ่อที่ดีให้ได้ ฉันจะทำทุกอย่างให้ครอบครัวเรา”
แต่คำสัญญานั้น...ไม่เคยกลายเป็นความจริง
หลังคลอด เขาบอกว่าเรียนหนักขึ้นไม่สามารถมาหาเธอและลูกได้ ชายหนุ่มห่างเหินจากครอบครัวขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเขาก็กลายเป็นคนที่หายไปจากชีวิตเธอในฐานะสามีและพ่อของลูก กัทลีเลี้ยงบัวชมพูด้วยตัวเองแทบทุกวันจนน้องบัวไม่เคยถามหาพ่อ
เมื่อตัดสินใจหย่ากันแล้วเธอก็ไม่คิดจะรื้อฟื้นสิ่งใดอีก แต่ก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่าในวันนี้... อยู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็กลับมาแสดงบทบาทของพ่อได้ราวกับตัวเขาเองไม่เคยหนีหายไปไหน
“มันช้าเกินไปหรือเปล่า” เธอคิดในใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพับผ้าใส่ตะกร้า
ระหว่างที่มือของเธอจัดเรียงผ้าทีละชิ้น สายตาก็สะดุดเข้ากับเสื้อยืดสีเหลืองจาง ๆ ที่น้องบัวเคยใส่ตอนสองขวบ รอยปักชื่อ "บัวชมพู" ฝีมือของเธอเองยังอยู่ตรงมุมชายเสื้อ แม้ด้ายจะเริ่มหลุดลุ่ยแล้วก็ตาม
กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เธอใช้ประจำอบอวลในอากาศ แต่กัทลียังรู้สึกได้ถึงกลิ่นน้ำนมผสมเหงื่อเบา ๆ ที่เคยอบอวลอยู่ในผ้าชิ้นนี้เมื่อหลายปีก่อน
เธอไม่เคยทิ้งมันเลย ทั้งที่มีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วนที่จะโละของเก่าๆ ออกไป เพราะเสื้อตัวเล็กๆ นี้... เตือนให้เธอรู้ว่า ต่อให้ไม่มีใครอยู่ข้างเธอเลย เธอก็ยังมีน้องบัวเป็นความรักที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ และเป็นรักที่เธอไม่เคยสงสัยว่าเมื่อรักแล้วจะได้ความรักคืนกลับมาหรือไม่ เพราะเธอมีความสุขแค่เมื่อได้เห็นความรักของเธอเติบโตขึ้นในทุกวัน
แม้ว่ากัทลีจะพยายามไม่ตั้งความหวังเกี่ยวกับหิรัญอีก แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ยังคงหลงเหลืออยู่เสมอเมื่อเห็นว่าหิรัญกำลังพยายามเข้าใกล้ชีวิตของลูกอีกครั้ง
และเมื่อถึงพรุ่งนี้...เธอก็ต้องเจอเขาอีก
ไม่ว่าใจเธอจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม
หลังสอบปลายภาคเสร็จสิ้น น้องบัวก็ได้ย้ายมาอยู่กับแม่ที่บ้านเช่าในตัวเมืองตามที่กัทลีสัญญาไว้ หญิงสาวตั้งใจให้ลูกได้พักผ่อนเต็มที่ก่อนเริ่มต้นเทอมใหม่ และวางแผนจะย้ายโรงเรียนให้ลูกเข้าเรียนชั้นประถมปีที่สอง ซึ่งมีหลายโรงเรียนที่น่าสนใจและอยู่ใกล้ที่ทำงานของเธอเช้าวันที่เก็บของเตรียมย้ายบ้าน ปู่เหมกับย่าจันทร์หอมมายืนส่งหลานสาวที่หน้าบ้าน น้องบัวกอดย่าจันทร์หอมแน่น ส่วนปู่เหมก็ลูบเรือนผมนุ่มหลานสาวด้วยแววตาอาวรณ์“เอาไปเฉพาะของเล็กๆ ขนง่ายๆ ก็พอนะลูก ของชิ้นใหญ่ของเล่นของน้องบัวหลายๆ ลังเดี๋ยวแม่ให้ไอ้หินมันมาขนไปให้” ย่าบอกให้เด็กทำงานในบ้านช่วยกันขนของจุกจิกของหลานสาวใส่ท้ายรถยนต์ของกัทลี และหันมาคุยกับหลานสาว“ย่าจะคิดถึงหนูนะลูก”“บัวก็จะคิดถึงย่าค่ะ” เด็กหญิงตอบพร้อมน้ำตาคลอเบ้า“แม่จะพาหนูมาเยี่ยมย่ากับปู่ทุกเดือนเลยค่ะ หนูสัญญา”กัทลียิ้มบาง มองลูกแล้วหันไปสบตาคุณพ่อคุณแม่ของอดีตสามี “หนูจะพาน้องมาหาพ่อกับแม่ทุกเดือนจริง ๆ ค่ะ”“ดีแล้วลูก บ้านนี้ก็ยังเป็นบ้านของหนูเสมอ” ปู่เหมพูดช้าๆ ก่อนยื่นห่อขนมที่ย่าจันทร์ห่อไว้ให้ “เดินทางกันดีๆ นะกล้วย น้องบัว”น้องบัวชะเง้อมอ
เช้าวันนั้น หิรัญตื่นแต่เช้าและเดินทางไปยังแปลงที่ดินว่างในตัวเมืองตัส อยู่ในพื้นที่ชลประทานดินดีน้ำดี จำนวนขนาดพื้นที่ห้าไร่ที่นายเหมยกให้เมื่อรู้ว่าหิรัญตัดสินใจจะเริ่มต้นทำฟาร์มเมล่อนอย่างจริงจัง“พี่หิน พี่จะให้รถไถหมดเลยไหม” สิงห์ลูกน้องที่ชายหนุ่มขอแบ่งมาจากคนของบิดาวิ่งเข้ามาถามหิรัญพยักหน้า ชี้มือไปยังพื้นที่ที่วางแผนไว้ “ตรงโน้นไถแล้วเกลี่ยหน้าดินให้เสมอกันให้หมด” ชายหนุ่มเรียกรถไถมาปรับพื้นที่ หญ้ารกค่อยๆ ถูกแหวกออก เปิดหน้าแปลงดินที่รอการเพาะปลูก อีกส่วนของพื้นที่ก็กำลังจะทำการขุดบ่อพักน้ำเสียงเครื่องตักดินดังเป็นจังหวะในยามสาย แดดอ่อนยังไม่แรงพอจะทำให้เหงื่อไหล แต่หิรัญกลับรู้สึกว่าเสื้อยืดบนหลังเขาชุ่มไปหมดแล้ว แต่งานก็ยังมีอีกมากเสร็จจากขุดบ่อวันต่อไปเขาก็ต้องมาต่อท่อน้ำจากบ่อบาดาลเพื่อปล่อยน้ำลงบ่อให้เต็ม หิรัญยืนอยู่ข้างหลุมดินขนาดใหญ่ ที่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะกลายเป็นบ่อเก็บน้ำของฟาร์มเมล่อน ฟาร์มที่เขาตั้งใจจะให้เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง... แต่เพื่อคนตัวเล็กๆ ที่ชื่อบัวชมพูด้วย ชายหนุ่มยืนกอดอกใต้เงาต้นตะขบป่าที่ยังเหลืออยู่
เสียงกริ่งเลิกเรียนของโรงเรียนดังขึ้นในช่วงเย็น หิรัญยืนรออยู่หน้าอาคารเรียนของเด็กประถมต้นตามเวลาเลิกเรียน เขามาก่อนเวลาเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้น้องบัวต้องรอ สายตาชายหนุ่มกวาดไปทั่วสนามเด็กเล่นก่อนจะหยุดอยู่ที่ครูสาวคนเดิมที่คุ้นหน้าเดินจูงมือลูกสาวตัวน้อยในชุดนักเรียนออกมา"น้องบัว ทางนี้ลูก" เขาโบกมือเรียกเด็กหญิงตัวเล็กในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินขาวหันมาเห็นพ่อก็ยิ้มร่าและรีบวิ่งเข้ามากอดแน่นด้วยความคิดถึง หิรัญย่อตัวลงรับอ้อมกอดนั้นพลางลูบศีรษะลูกเบา ๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะรับกระเป๋านักเรียนมาถือไว้แล้วพาเธอเดินไปยังที่จอดรถแม้เขาจะยังไม่ถนัดกับการดูแลลูกเท่ากับกัทลี แต่เขาก็เริ่มคุ้นเคยแล้วกับหน้าที่พ่อหลายๆ อย่าง แม้จะดูว่าช้าเกินไปสำหรับบางคน แต่สำหรับเขามันคือโอกาสครั้งที่สองที่ไม่อยากปล่อยผ่านอีกเมื่อกลับถึงบ้าน หิรัญเปิดประตูด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหิ้วกระเป๋านักเรียนและกล่องข้าวที่ครูฝากส่งคืน ก่อนที่เขาจะบอกให้น้องบัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวอาบน้ำ ขณะที่ตนเองเดินไปจัดเสื้อผ้าชุดใหม่วางเตรียมไว้ให้ลูกสาว จากนั้นเขาเข้าครัวไปหยิบนมหนึ่งกล่องและขนมปังปิ้งทาแยมเ
กัทลีเริ่มต้นงานใหม่อย่างราบรื่น เพื่อนร่วมงานใหม่ องค์กรใหม่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยและเคยทำงานร่วมกันตั้งแต่อยู่หน่วยงานเก่าก่อนหน้านี้ หญิงสาวใช้เวลาช่วงเช้าในการทำความรู้จักกับแผนกอื่นๆ ที่จำเป็นต้องทำงานด้วยกัน หลังจากนั้นเธอก็เริ่มงานของตัวเองที่คนเดิมทำค้างไว้ก่อนย้ายไป“นี่จ้ะกล้วย อันนี้พาสเวิร์ดของเรานะ” นารา นักวิชาการศึกษาระดับชำนาญการที่เป็นหัวหน้าคนใหม่ของเธอ ส่งซองขาวที่ภายในบรรจุรหัสเข้างานเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของเธอ “ขอบคุณค่ะพี่นา” กัทลีรับซองมาเปิดดู เธอฉีกรอยปรุกระดาษคาร์บอนที่ภายในพิมพ์รหัสของตัวเองไว้ จากนั้นเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเข้ารหัส“พี่สิต้องขอบใจเรา ย้ายมาถูกเวลาช่วยงานพี่ได้เยอะเลย” นาราถอนใจโล่งอกที่ในที่สุดเธอจะได้มีเพื่อนมาช่วยทำงานสักที หลังจากที่รับบทหนักเพราะต้องรับผิดชอบงานแทนคนที่ย้ายไปมาสักพักหนึ่งแล้ว ไหนจะงานตัวเองก็ต้องทำเหมือนเดิมไม่นานหลังจากที่กัทลีเริ่มลงมือทำงาน หน้าจอของเธอก็ปรากฏข้อความเชิญประชุมจากระบบงานภายในองค์กร “กล้วย พรุ่งนี้เช้าไปประชุมแทนพี่ทีสิ พี่ต้องไปคุยกับโรงพิมพ์เรื่องจัดพิมพ์คู่
คืนนั้นหลังจากส่งลูกเข้านอน หิรัญออกมานั่งคุยกับบิดามารดาเนื่องจากทั้งสองนอนดึกตามประสาคนสูงวัย “แม่ นอกจากให้ไปเก็บค่าแผงมีงานอะไรให้ผมทำอีกไหม” สองปู่ย่ามองหน้ากันแล้วหันมามองลูกชาย “ว่างเหรอหิน หรืออยากได้ตังค์เพิ่ม” “แม่ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจจะอยากทำตัวให้มีประโยชน์” หิรัญย้อนถาม“ไม่คิด”“ไม่คิด”พ่อแม่ตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทำให้ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะยอมพูดความจริง “เอาตรงๆ ก็แบบนั้นล่ะฮะ วันละห้าร้อยไม่พอเลี้ยงลูกจริงๆ นะแม่” “ใช่ จะได้รู้ไงว่าเลี้ยงลูกไม่ง่าย แต่แม่เขาก็เลี้ยงมาได้นะกล้วยเงินเดือนไม่เท่าไหร่เอง” นางจันทร์หอมสอน “กล้วยน่ะเป็นข้าราชการ เงินเดือนบวกค่าตำแหน่ง ค่าอะไรต่างๆ ยังไม่ถึงสามหมื่นเลย ค่าเลี้ยงดูหลานพ่อสมทบให้ก็ยอมรับแค่ไม่เท่าไหร่ ไหนจะค่าน้ำไฟ ข้าวสาร แก๊ส ของกินของใช้ในบ้าน ค่าอุปกรณ์การเรียนค่าขนมลูกแต่ละวัน กล้วยได้เงินเดือนน้อยกว่าลูกสมัยทำงานที่กทม. อีกแต่ก็ยังเลี้ยงลูกมาได้อย่างดี” ปู่เหมเล่าอีกด้านของคนเป็นแม่ หิรัญหน้าสลดลง“ผมเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาผมเห็นแก่ตัวมาก ก็กำลังแก้ตัวอยู่นี่ไงแม่” “แล้วนอกจากเก็บค
กัทลีย้ายของเข้าบ้านใหม่ซึ่งเป็นบ้านเช่าขนาดห้าสิบห้าตารางวา เป็นบ้านแฝดชั้นเดียวสองห้องนอน หนึ่งห้องโถง สองห้องน้ำ มีห้องครัวแยกเป็นสัดส่วนและพื้นที่ซักล้างหลังบ้าน นอกจากนั้นยังมีส่วนพื้นดินให้ทำสวนครัวและสวนหย่อมเล็กๆ ได้อีกพอสมควรเธอมองบ้านที่ทำสัญญาเช่าไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนอย่างพอใจ มันเป็นบ้านสร้างใหม่ที่เจ้าของซื้อไว้และไม่มีโครงการมาอยู่จึงปล่อยเช่าไปก่อน “แม่ว่าหนูซื้อบ้านเลยดีไหมกล้วย จะได้ไม่ต้องกังวลค่าเช่าเดี๋ยวแม่เอาเงินในส่วนของเจ้าหินมาซื้อให้” แม่ย่าเคยออกปากจะซื้อบ้านให้ในวันก่อนที่นางมาเป็นเพื่อนเธอในตอนดูบ้าน“อย่าเพิ่งเลยค่ะแม่ หนูอยากรอดูงานให้เข้าที่เข้าทางก่อนดีกว่า อีกอย่างหนูไม่อยากได้เงินส่วนของหินด้วยค่ะ เกรงว่าถ้าเขารู้ทีหลังจะไม่พอใจ” “ก็ลองให้มันไม่พอใจดูสิ จริงๆ มันก็ยังเป็นเงินของแม่อยู่ แค่เคยคิดจะยกให้มันเฉยๆ แต่มันเองไม่สนใจตรงนี้ก็ช่วยไม่ได้” นางพูดถึงบรรดากิจการต่างๆ ที่นางลงทุนไว้ให้ผลิดอกออกผล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะพาร์ตเมนต์ บ้านเช่า ตลาดสดแม้แต่ที่จอดรถก็มีและเหตุผลที่ย่าจันทร์หอมเห็นด้วยกับการที่กัทลีหาบ้านเช่าที่ไม่เกี่ย