เช้าวันนั้น หิรัญตื่นแต่เช้าและเดินทางไปยังแปลงที่ดินว่างในตัวเมืองตัส อยู่ในพื้นที่ชลประทานดินดีน้ำดี จำนวนขนาดพื้นที่ห้าไร่ที่นายเหมยกให้เมื่อรู้ว่าหิรัญตัดสินใจจะเริ่มต้นทำฟาร์มเมล่อนอย่างจริงจัง
“พี่หิน พี่จะให้รถไถหมดเลยไหม” สิงห์ลูกน้องที่ชายหนุ่มขอแบ่งมาจากคนของบิดาวิ่งเข้ามาถาม
หิรัญพยักหน้า ชี้มือไปยังพื้นที่ที่วางแผนไว้ “ตรงโน้นไถแล้วเกลี่ยหน้าดินให้เสมอกันให้หมด”
ชายหนุ่มเรียกรถไถมาปรับพื้นที่ หญ้ารกค่อยๆ ถูกแหวกออก เปิดหน้าแปลงดินที่รอการเพาะปลูก อีกส่วนของพื้นที่ก็กำลังจะทำการขุดบ่อพักน้ำ
เสียงเครื่องตักดินดังเป็นจังหวะในยามสาย แดดอ่อนยังไม่แรงพอจะทำให้เหงื่อไหล แต่หิรัญกลับรู้สึกว่าเสื้อยืดบนหลังเขาชุ่มไปหมดแล้ว แต่งานก็ยังมีอีกมากเสร็จจากขุดบ่อวันต่อไปเขาก็ต้องมาต่อท่อน้ำจากบ่อบาดาลเพื่อปล่อยน้ำลงบ่อให้เต็ม
หิรัญยืนอยู่ข้างหลุมดินขนาดใหญ่ ที่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะกลายเป็นบ่อเก็บน้ำของฟาร์มเมล่อน ฟาร์มที่เขาตั้งใจจะให้เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง... แต่เพื่อคนตัวเล็กๆ ที่ชื่อบัวชมพูด้วย
ชายหนุ่มยืนกอดอกใต้เงาต้นตะขบป่าที่ยังเหลืออยู่ริมแปลง มองดูคนขับรถไถขับเป็นเส้นตรงเรียงกันเป็นแถว แสงแดดยามเช้าสะท้อนเงาของเขาบนพื้นดินชื้น เขานั่งลงยองๆ กับพื้นเอื้อมมือหยิบก้อนดินขึ้นมาบี้เบาๆ ดินเนื้อดี ไม่แข็งเกินไป มีเศษฟางเก่าๆ ปะปน เขารู้ทันทีว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่ไม่ควรพลาด นี่ไม่ใช่ภาพความสำเร็จแต่มันคือภาพของ “โอกาส” และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมืออีก
ทว่าขณะที่ชายหนุ่มกำลังวางแผนงาน ก็มีรถยนต์คันหนึ่งจอดลงที่หน้าที่ดินแปลงนั้นของเขา
“ใครมาน่ะพี่” บรรดาลูกน้องสามสี่คนมอง ส่วนหิรัญเองเมื่อเห็นรถคันนั้นถนัดก็นึกออก เบญจานั่นเองว่าแต่เธอมาทำไมเขานึกสงสัยในใจ
“โทรหาก็ไม่รับ จ๋าเลยลองเสี่ยงมาดูว่าหินอยู่ที่นี่ไหม” เบญจาส่งเสียงมาก่อนเจ้าตัวเดินมาถึง
“มีอะไรเหรอจ๋า สงสัยโทรศัพท์ผมแบตคงหมด” หิรัญขมวดคิ้วจำได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้นัดใครไว้ นอกจากกัทลีจะมารับลูกที่บ้านตอนเย็นซึ่งเธอก็ไม่ได้นัดเขาอีกนั่นล่ะ แต่เธอบอกลูกไว้เมื่อวานเย็น
“จ๋าจะมาดูพื้นที่จริง ว่าหินจะให้เอาโดมวางตรงไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้ของมาส่งแล้ว” เนื่องจากครอบครัวของเบญจารับผลิตจำหน่ายและจัดหาอุปกรณ์การเกษตรด้วย หิรัญจึงไปขอข้อมูลเกี่ยวกับโดมปลูกเมล่อนกับเธอเมื่อวานและตกลงทำการซื้อขายมาทดลองปลูกก่อน
“อ๋อ ตรงนั้นก็ได้ ผมสั่งไปแค่ห้าหลัง เอาที่ใกล้ๆ บ่อน้ำก่อนละกัน จะได้ทำระบบน้ำไม่ยุ่งยากมาก” เขาชี้มือไปทางใกล้ๆ บ่อน้ำที่กำลังขุด
เบญจาถ่ายภาพไปยังจุดที่เขาบอก จากนั้นส่งภาพไปที่คนของตัวเองมาร์กจุดส่งของพร้อมพิกัดจริง
“แต่ยังไงพรุ่งนี้ถ้ามาส่งก็ต้องเจอคนของผมอยู่แล้ว ถามเจ้าพวกนี้ได้เลย” หิรัญพูดต่อ
“ไม่เป็นไร เราชอบรันงานให้จบทีเดียว” เบญจาอธิบายจากนั้นเธอจึงเปลี่ยนเรื่อง
“เมื่อวานตอนที่เราเจอกล้วยกับคุณนนท์ที่ร้านอาหาร งั้นข่าวลือที่ว่าหินหย่ากับกล้วยก็จริงน่ะสิ”
เบญจาเลียบเคียงถามทั้งที่รู้อยู่เต็มอก รู้ตั้งแต่วันที่หิรัญหย่ากับกัทลีแถมเมื่อวานกัทลีก็แนะนำหิรัญว่าเป็นอดีตสามี ชัดจนไม่รู้จะชัดยังไงแล้ว
“ฮื่อ” หิรัญตอบรับสั้นๆ ทำท่าไม่อยากคุยเรื่องนี้
“เสียใจด้วยนะหิน แต่อย่างว่าแหละรักครั้งแรกมักไม่สมหวังหรอก ยังไงเราก็ขอให้เธอเจอความรักใหม่ที่คู่ควรเร็วๆ นะ”
หิรัญขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเพื่อนเก่าเริ่มพูดไม่เข้าหู
“เธอจะบอกว่ากล้วยไม่คู่ควรกับผมเหรอ ก็จริงนะเขามันข้าราชการ ส่วนผมก็แค่เกษตรกรต๊อกต๋อย”
เบญจายกมือปิดปากแล้วเอามืออีกข้างตีไปที่ต้นแขนล่ำ กล้ามเป็นมัดๆ เบาๆ ดูมีจริตจะก้านแพรวพราว
“อุ๊ยหินพูดอะไรเนี่ย คนไม่คู่ควรน่ะยายกล้วยต่างหาก ใครๆ เขาก็รู้ว่าพ่อแม่หินรวยติดอันดับต้นๆ ของจังหวัดใครมันจะตาต่ำขนาดนั้น” หญิงสาวทำเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะตกใจเมื่อคู่สนทนาทำท่าแปลกๆ
“หินเป็นอะไรน่ะ ปวดท้องเหรอไปหาหมอไหม” เธอถามเมื่อเห็นเขาเอามือกุมท้อง
“ผมปวดท้อง ยังไงก็ขอตัวก่อนนะจ๋า ถ้ามีอะไรสงสัยถามลูกน้องผมต่อแล้วกัน ไอ้สิงห์โว้ยมาคุยกับคุณจ๋าแทนกูที” หิรัญเดินลิ่วๆ ตรงไปที่รถยนต์แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เบญจายืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น
เย็นวันเดียวกันนั้น กัทลีไปรับน้องบัวที่บ้านของหิรัญ หรือจะพูดให้ถูกก็คือบ้านปู่เหมย่าจันทร์หอมหลังเธอเลิกงาน
เมื่อเลี้ยวเข้ามาตามทางลูกรังซึ่งเป็นเส้นทางไปยังเรือนไม้สักสองชั้นใต้ถุนสูง กัทลีลดกระจกลงนิดหนึ่งเพื่อรับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ใบหญ้าซึ่งโชยมาแต่ไกล เสียงหัวเราะของน้องบัวดังลอดออกมาจากหน้าบ้านพร้อมเสียงของหญิงชราที่เธอคุ้นเคยมาตั้งแต่ยังเป็นสะใภ้
“กล้วยมาแล้วเหรอลูก เข้าบ้านก่อนสิแม่หุงข้าวสุกพอดีเลย” ย่าจันทร์หอมตะโกนจากในครัว
“แม่... หนูคิดถึงแม่จังค่ะ” น้องบัววิ่งออกมารับถึงประตูรถ เด็กน้อยกอดเอวแม่แน่นด้วยความดีใจ
กัทลียิ้มบางพลางลูบหัวลูกเบา ๆ เธอไม่คิดจะอยู่นาน แต่ก็ไม่ทันได้เอ่ยปากปฏิเสธ เสียงของปู่เหมก็ดังขึ้นอย่างอารมณ์ดีจากในบ้าน
“วันนี้แม่เขาทำแกงส้มผักรวมกับไข่เจียวฟูของโปรดหนูบัว กล้วยอยู่กินด้วยกันก่อนนะลูก”
กัทลีลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสายตารอคอยของน้องบัวกับรอยยิ้มจริงใจของผู้เฒ่าทั้งสอง เธอก็พยักหน้าเบา ๆ
และบนโต๊ะอาหารไม้เก่าเรียบง่ายในห้องโถง หิรัญนั่งอยู่ก่อนแล้ว เขาลุกขึ้นช่วยยกจานข้าวอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นกัทลีเข้ามา
“กล้วยมานั่งนี่เลยลูก เดี๋ยวให้ไอ้หินมันตักข้าวให้” ย่าจันทร์หอมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ทุกคนนั่งประจำที่ น้องบัวนั่งระหว่างพ่อกับแม่และตรงหน้ามีจานใบโปรดของตัวเอง กัทลีรู้สึกว่าหิรัญมองเธอเป็นระยะ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรเกินจำเป็น
หลังจากทุกคนลงมือรับประทาน ปู่เหมหัวเราะเบาๆ ขณะวางช้อนแล้วเล่าขึ้น
“รู้ไหม เมื่อก่อนปู่กับย่าก็เคยทะเลาะกันใหญ่โต ซื้อบ้านแยกกันอยู่สามเดือนแน่ะ”
“จริงเหรอคะคุณปู่”
กัทลีถามตาโต เพราะเธอไม่เคยเห็นพ่อแม่ของหิรัญจะทะเลาะกันรุนแรงเลยสักครั้ง
“จริงสิ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาอยู่ด้วยกัน เพราะลูกเป็นศูนย์กลางของบ้านคนเป็นพ่อแม่จะห่างกันแค่ไหน ก็ยังผูกกันไว้ด้วยลูกอยู่ดี”
บรรยากาศเงียบลงชั่วขณะ หิรัญก้มหน้าลงอย่างใช้ความคิด ขณะที่กัทลียังนั่งนิ่ง ไม่เอ่ยคำใดออกมา
“แม่กินนี่ค่ะ หนูตักให้” บัวชมพูเอื้อมตักไข่เจียวชิ้นเล็กใส่จานแม่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
กัทลีรับคำด้วยน้ำเสียงนุ่ม “ขอบคุณนะคะลูก”
ปู่ย่ามองหลานสาวด้วยความเอ็นดู ส่วนหิรัญเงยหน้าขึ้นมองกัทลีอีกครั้ง สายตาอ่อนลงกว่าทุกวัน แต่เธอก็ยังคงมองไปที่ลูกสาว ไม่สบตากับเขา
เสียงจานข้าว กระทบกันเบาๆ ท่ามกลางความอบอุ่นของบ้านไม้หลังเดิม
“วันนี้หนูมีความสุขที่สุดเลยค่ะ” บัวชมพูพูดออกมาเบาๆ แต่ชัดเจนพอให้ทุกคนได้ยิน
และในวินาทีนั้นเอง... ทุกคนก็ต่างเงยหน้าขึ้นมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย
หลังสอบปลายภาคเสร็จสิ้น น้องบัวก็ได้ย้ายมาอยู่กับแม่ที่บ้านเช่าในตัวเมืองตามที่กัทลีสัญญาไว้ หญิงสาวตั้งใจให้ลูกได้พักผ่อนเต็มที่ก่อนเริ่มต้นเทอมใหม่ และวางแผนจะย้ายโรงเรียนให้ลูกเข้าเรียนชั้นประถมปีที่สอง ซึ่งมีหลายโรงเรียนที่น่าสนใจและอยู่ใกล้ที่ทำงานของเธอเช้าวันที่เก็บของเตรียมย้ายบ้าน ปู่เหมกับย่าจันทร์หอมมายืนส่งหลานสาวที่หน้าบ้าน น้องบัวกอดย่าจันทร์หอมแน่น ส่วนปู่เหมก็ลูบเรือนผมนุ่มหลานสาวด้วยแววตาอาวรณ์“เอาไปเฉพาะของเล็กๆ ขนง่ายๆ ก็พอนะลูก ของชิ้นใหญ่ของเล่นของน้องบัวหลายๆ ลังเดี๋ยวแม่ให้ไอ้หินมันมาขนไปให้” ย่าบอกให้เด็กทำงานในบ้านช่วยกันขนของจุกจิกของหลานสาวใส่ท้ายรถยนต์ของกัทลี และหันมาคุยกับหลานสาว“ย่าจะคิดถึงหนูนะลูก”“บัวก็จะคิดถึงย่าค่ะ” เด็กหญิงตอบพร้อมน้ำตาคลอเบ้า“แม่จะพาหนูมาเยี่ยมย่ากับปู่ทุกเดือนเลยค่ะ หนูสัญญา”กัทลียิ้มบาง มองลูกแล้วหันไปสบตาคุณพ่อคุณแม่ของอดีตสามี “หนูจะพาน้องมาหาพ่อกับแม่ทุกเดือนจริง ๆ ค่ะ”“ดีแล้วลูก บ้านนี้ก็ยังเป็นบ้านของหนูเสมอ” ปู่เหมพูดช้าๆ ก่อนยื่นห่อขนมที่ย่าจันทร์ห่อไว้ให้ “เดินทางกันดีๆ นะกล้วย น้องบัว”น้องบัวชะเง้อมอ
เช้าวันนั้น หิรัญตื่นแต่เช้าและเดินทางไปยังแปลงที่ดินว่างในตัวเมืองตัส อยู่ในพื้นที่ชลประทานดินดีน้ำดี จำนวนขนาดพื้นที่ห้าไร่ที่นายเหมยกให้เมื่อรู้ว่าหิรัญตัดสินใจจะเริ่มต้นทำฟาร์มเมล่อนอย่างจริงจัง“พี่หิน พี่จะให้รถไถหมดเลยไหม” สิงห์ลูกน้องที่ชายหนุ่มขอแบ่งมาจากคนของบิดาวิ่งเข้ามาถามหิรัญพยักหน้า ชี้มือไปยังพื้นที่ที่วางแผนไว้ “ตรงโน้นไถแล้วเกลี่ยหน้าดินให้เสมอกันให้หมด” ชายหนุ่มเรียกรถไถมาปรับพื้นที่ หญ้ารกค่อยๆ ถูกแหวกออก เปิดหน้าแปลงดินที่รอการเพาะปลูก อีกส่วนของพื้นที่ก็กำลังจะทำการขุดบ่อพักน้ำเสียงเครื่องตักดินดังเป็นจังหวะในยามสาย แดดอ่อนยังไม่แรงพอจะทำให้เหงื่อไหล แต่หิรัญกลับรู้สึกว่าเสื้อยืดบนหลังเขาชุ่มไปหมดแล้ว แต่งานก็ยังมีอีกมากเสร็จจากขุดบ่อวันต่อไปเขาก็ต้องมาต่อท่อน้ำจากบ่อบาดาลเพื่อปล่อยน้ำลงบ่อให้เต็ม หิรัญยืนอยู่ข้างหลุมดินขนาดใหญ่ ที่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะกลายเป็นบ่อเก็บน้ำของฟาร์มเมล่อน ฟาร์มที่เขาตั้งใจจะให้เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง... แต่เพื่อคนตัวเล็กๆ ที่ชื่อบัวชมพูด้วย ชายหนุ่มยืนกอดอกใต้เงาต้นตะขบป่าที่ยังเหลืออยู่
เสียงกริ่งเลิกเรียนของโรงเรียนดังขึ้นในช่วงเย็น หิรัญยืนรออยู่หน้าอาคารเรียนของเด็กประถมต้นตามเวลาเลิกเรียน เขามาก่อนเวลาเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้น้องบัวต้องรอ สายตาชายหนุ่มกวาดไปทั่วสนามเด็กเล่นก่อนจะหยุดอยู่ที่ครูสาวคนเดิมที่คุ้นหน้าเดินจูงมือลูกสาวตัวน้อยในชุดนักเรียนออกมา"น้องบัว ทางนี้ลูก" เขาโบกมือเรียกเด็กหญิงตัวเล็กในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินขาวหันมาเห็นพ่อก็ยิ้มร่าและรีบวิ่งเข้ามากอดแน่นด้วยความคิดถึง หิรัญย่อตัวลงรับอ้อมกอดนั้นพลางลูบศีรษะลูกเบา ๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะรับกระเป๋านักเรียนมาถือไว้แล้วพาเธอเดินไปยังที่จอดรถแม้เขาจะยังไม่ถนัดกับการดูแลลูกเท่ากับกัทลี แต่เขาก็เริ่มคุ้นเคยแล้วกับหน้าที่พ่อหลายๆ อย่าง แม้จะดูว่าช้าเกินไปสำหรับบางคน แต่สำหรับเขามันคือโอกาสครั้งที่สองที่ไม่อยากปล่อยผ่านอีกเมื่อกลับถึงบ้าน หิรัญเปิดประตูด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหิ้วกระเป๋านักเรียนและกล่องข้าวที่ครูฝากส่งคืน ก่อนที่เขาจะบอกให้น้องบัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวอาบน้ำ ขณะที่ตนเองเดินไปจัดเสื้อผ้าชุดใหม่วางเตรียมไว้ให้ลูกสาว จากนั้นเขาเข้าครัวไปหยิบนมหนึ่งกล่องและขนมปังปิ้งทาแยมเ
กัทลีเริ่มต้นงานใหม่อย่างราบรื่น เพื่อนร่วมงานใหม่ องค์กรใหม่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยและเคยทำงานร่วมกันตั้งแต่อยู่หน่วยงานเก่าก่อนหน้านี้ หญิงสาวใช้เวลาช่วงเช้าในการทำความรู้จักกับแผนกอื่นๆ ที่จำเป็นต้องทำงานด้วยกัน หลังจากนั้นเธอก็เริ่มงานของตัวเองที่คนเดิมทำค้างไว้ก่อนย้ายไป“นี่จ้ะกล้วย อันนี้พาสเวิร์ดของเรานะ” นารา นักวิชาการศึกษาระดับชำนาญการที่เป็นหัวหน้าคนใหม่ของเธอ ส่งซองขาวที่ภายในบรรจุรหัสเข้างานเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของเธอ “ขอบคุณค่ะพี่นา” กัทลีรับซองมาเปิดดู เธอฉีกรอยปรุกระดาษคาร์บอนที่ภายในพิมพ์รหัสของตัวเองไว้ จากนั้นเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเข้ารหัส“พี่สิต้องขอบใจเรา ย้ายมาถูกเวลาช่วยงานพี่ได้เยอะเลย” นาราถอนใจโล่งอกที่ในที่สุดเธอจะได้มีเพื่อนมาช่วยทำงานสักที หลังจากที่รับบทหนักเพราะต้องรับผิดชอบงานแทนคนที่ย้ายไปมาสักพักหนึ่งแล้ว ไหนจะงานตัวเองก็ต้องทำเหมือนเดิมไม่นานหลังจากที่กัทลีเริ่มลงมือทำงาน หน้าจอของเธอก็ปรากฏข้อความเชิญประชุมจากระบบงานภายในองค์กร “กล้วย พรุ่งนี้เช้าไปประชุมแทนพี่ทีสิ พี่ต้องไปคุยกับโรงพิมพ์เรื่องจัดพิมพ์คู่
คืนนั้นหลังจากส่งลูกเข้านอน หิรัญออกมานั่งคุยกับบิดามารดาเนื่องจากทั้งสองนอนดึกตามประสาคนสูงวัย “แม่ นอกจากให้ไปเก็บค่าแผงมีงานอะไรให้ผมทำอีกไหม” สองปู่ย่ามองหน้ากันแล้วหันมามองลูกชาย “ว่างเหรอหิน หรืออยากได้ตังค์เพิ่ม” “แม่ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจจะอยากทำตัวให้มีประโยชน์” หิรัญย้อนถาม“ไม่คิด”“ไม่คิด”พ่อแม่ตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทำให้ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะยอมพูดความจริง “เอาตรงๆ ก็แบบนั้นล่ะฮะ วันละห้าร้อยไม่พอเลี้ยงลูกจริงๆ นะแม่” “ใช่ จะได้รู้ไงว่าเลี้ยงลูกไม่ง่าย แต่แม่เขาก็เลี้ยงมาได้นะกล้วยเงินเดือนไม่เท่าไหร่เอง” นางจันทร์หอมสอน “กล้วยน่ะเป็นข้าราชการ เงินเดือนบวกค่าตำแหน่ง ค่าอะไรต่างๆ ยังไม่ถึงสามหมื่นเลย ค่าเลี้ยงดูหลานพ่อสมทบให้ก็ยอมรับแค่ไม่เท่าไหร่ ไหนจะค่าน้ำไฟ ข้าวสาร แก๊ส ของกินของใช้ในบ้าน ค่าอุปกรณ์การเรียนค่าขนมลูกแต่ละวัน กล้วยได้เงินเดือนน้อยกว่าลูกสมัยทำงานที่กทม. อีกแต่ก็ยังเลี้ยงลูกมาได้อย่างดี” ปู่เหมเล่าอีกด้านของคนเป็นแม่ หิรัญหน้าสลดลง“ผมเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาผมเห็นแก่ตัวมาก ก็กำลังแก้ตัวอยู่นี่ไงแม่” “แล้วนอกจากเก็บค
กัทลีย้ายของเข้าบ้านใหม่ซึ่งเป็นบ้านเช่าขนาดห้าสิบห้าตารางวา เป็นบ้านแฝดชั้นเดียวสองห้องนอน หนึ่งห้องโถง สองห้องน้ำ มีห้องครัวแยกเป็นสัดส่วนและพื้นที่ซักล้างหลังบ้าน นอกจากนั้นยังมีส่วนพื้นดินให้ทำสวนครัวและสวนหย่อมเล็กๆ ได้อีกพอสมควรเธอมองบ้านที่ทำสัญญาเช่าไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนอย่างพอใจ มันเป็นบ้านสร้างใหม่ที่เจ้าของซื้อไว้และไม่มีโครงการมาอยู่จึงปล่อยเช่าไปก่อน “แม่ว่าหนูซื้อบ้านเลยดีไหมกล้วย จะได้ไม่ต้องกังวลค่าเช่าเดี๋ยวแม่เอาเงินในส่วนของเจ้าหินมาซื้อให้” แม่ย่าเคยออกปากจะซื้อบ้านให้ในวันก่อนที่นางมาเป็นเพื่อนเธอในตอนดูบ้าน“อย่าเพิ่งเลยค่ะแม่ หนูอยากรอดูงานให้เข้าที่เข้าทางก่อนดีกว่า อีกอย่างหนูไม่อยากได้เงินส่วนของหินด้วยค่ะ เกรงว่าถ้าเขารู้ทีหลังจะไม่พอใจ” “ก็ลองให้มันไม่พอใจดูสิ จริงๆ มันก็ยังเป็นเงินของแม่อยู่ แค่เคยคิดจะยกให้มันเฉยๆ แต่มันเองไม่สนใจตรงนี้ก็ช่วยไม่ได้” นางพูดถึงบรรดากิจการต่างๆ ที่นางลงทุนไว้ให้ผลิดอกออกผล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะพาร์ตเมนต์ บ้านเช่า ตลาดสดแม้แต่ที่จอดรถก็มีและเหตุผลที่ย่าจันทร์หอมเห็นด้วยกับการที่กัทลีหาบ้านเช่าที่ไม่เกี่ย