ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย
“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆ
หิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะ
เพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง
“กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่”
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณบอมกับคุณผานะคะ ขอบคุณที่มายินดีกับเรามากๆ เลยค่ะ” กัทลีวันนี้ที่อยู่ในชุดเจ้าสาว ดูผุดผ่องสวยไปทั้งตัวยิ้มให้เพื่อนของสามี
“สวัสดีครับคุณกล้วย ได้ยินชื่อมานานสวยมากๆ เลยครับ ยิ่งอยู่ในชุดเจ้าสาวยิ่งสวย ผมยินดีด้วยนะครับขอให้มีความสุขมากๆ” ธนัชตอบ
“สวัสดีครับคุณกล้วย ผมเจอน้องบัวแล้วน้องน่ารักมากๆ คุณเป็นแม่ที่เก่งมากเลยฮะ” ภูผาทักบ้าง จากนั้นเขาหันไปหาหิรัญที่อยู่ในชุดเจ้าบ่าวเป็นสูทสีขาว
“โห... นึกไม่ถึงเลยว่ามึงจะมีวันนี้ได้นะหิน หล่อมากว่ะวันนี้”
ภูผาแซวแต่สายตานั้นเต็มไปด้วยความยินดี เขาเป็นอีกคนที่รับรู้เรื่องของเพื่อนและลุ้นให้มันง้อเมียได้สำเร็จมานานแล้ว“เห็นเจ้าสาวแล้วรู้เลยว่ามึงโชคดีมาก ทำตัวดีๆ ล่ะ” ธนัชหยอกทำให้หิรัญหยอกกลับ
“กูเป็นคนดีแล้วไอ้ห่าบอม” ว่าแล้วสามหนุ่มก็หัวเราะพร้อมกัน จากนั้นภูผาก็ชี้มือไปที่ทางเข้างาน
“นั่น ยายวิวมาแล้วควงผัวมาด้วย”
กัทลีมองชายหญิงที่ควงกันเข้ามา ดูสวยหล่อกันทั้งคู่แม้จะมองจากไกลๆ แต่เมื่อพวกเขาเดินมาใกล้ๆ หญิงสาวก็ตัวชาเมื่อเห็นหน้าหญิงสาวคนนั้นถนัด
เธอช่างเหมือนกับผู้หญิงที่เธอเคยเห็นว่าหิรัญกอดคอเธอคนนี้ลงมาจากหอเพื่อไปเรียนในตอนเช้า กัทลีนึกไปถึงตอนที่หิรัญเรียนปีสี่และเธอตามไปแอบดูเขาที่มหาวิทยาลัย เพราะว่าเขาไม่รับสาย ไม่อ่านไลน์ ไม่ตอบกลับอะไรทั้งสิ้นจนเธอทนไม่ไหว
หญิงสาวตามไปดูจนเห็นว่าหิรัญลงจากตึกที่พักมาพร้อมกับผู้หญิงคนนี้ในชุดนักศึกษาทั้งคู่ ท่าทีสนิทสนมเกินเพื่อนปกติทำให้เธอใจสลายและตัดสินใจไม่ติดต่อหาหิรัญอีกเลยนับแต่วันนั้น
“กล้วย เหม่ออะไร” หิรัญเรียกทำให้เจ้าสาวตกใจสะดุ้ง เธอมองไปยังคนตรงหน้าเห็นหญิงสาวคนดังกล่าวกำลังยิ้มให้เธอ
“ยินดีด้วยนะคะพี่กล้วย วิวอยากเห็นพี่มานานแล้วค่ะ พี่สวยจริงๆ แบบที่พี่บอมเดาไว้เลย มีความสุขมากๆ นะคะ”
“ขอบคุณนะคะน้องวิว”
กัทลียิ้มเธอตอบตามมารยาท มองหิรัญก็เห็นเขาคุยกับสามีของภาพวิวอย่างสนิทสนม ทำให้กัทลีคิดว่าภาพวิวและหิรัญอาจจะจบกันด้วยดีและไม่มีใครติดใจอะไรก็ได้
จากนั้นก็เป็นกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมที่วันนี้มากันครบ ไม่ว่าจะเป็น
จิรัช วาตะ สไบนางและราณี ซึ่งทั้งสี่คนเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวในพิธีเช้าด้วยนอกนั้นก็เป็นแขกคนอื่นๆ ที่เชิญมาเพราะทำธุรกิจด้วยกันบ้าง เป็นญาติห่างๆ ของครอบครัวเจ้าบ่าวบ้าง แม้บางคนเธอจะไม่รู้จักมากนัก แต่เธอรู้สึกได้ถึงความจริงใจที่แฝงอยู่ในบรรยากาศทั้งหมด หิรัญไม่ได้แสดงอะไรเกินจริง เขายังเป็นตัวของตัวเอง พูดน้อย ขรึม และตรงไปตรงมาเหมือนเดิม แต่ในความนิ่งนั้นมีน้ำเสียงและสายตาอ่อนโยนที่เธอสัมผัสได้ตลอดมา
พิธีเรียบง่าย มีเพียงการกล่าวคำขอบคุณและสวมแหวนอย่างไม่เป็นทางการ ไม่มีพิธีสงฆ์ ไม่มีรดน้ำสังข์ มีแค่เสียงปรบมือจากแขกไม่กี่สิบคนและเสียงหัวเราะจากเด็กๆ ที่วิ่งเล่นในสวน
ช่วงท้ายของงาน น้องบัวขอขึ้นเวทีเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ เธอยืนถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนเองและฝึกอ่านมาแล้วหลายวัน
“หนูชื่อบัวชมพูค่ะ วันนี้หนูดีใจมากที่พ่อกับแม่แต่งงานกันอีกครั้ง” เด็กหญิงเสียงสั่นเล็กน้อย แต่ยังยิ้ม “แม่เลี้ยงหนูมาคนเดียวตั้งแต่หนูยังเล็ก หนูรู้ว่าแม่เหนื่อย และหนูรู้ว่าแม่เก่งมาก” เสียงฮือเบาๆ ดังขึ้นจากคนฟัง
“แต่หนูก็รู้เหมือนกันว่าคุณพ่อไม่ได้ทิ้งหนู คุณพ่อไปทำงานไกลมากและตอนนี้คุณพ่อก็กลับมาแล้วและพยายามมากๆ หนูให้คะแนนคุณพ่อทุกวันเลยค่ะ ตั้งแต่ตอนที่พ่อยังขับรถไม่ค่อยถูกทางในฟาร์ม จนวันนี้ที่พ่อทำงานได้เก่งเหมือนคุณปู่เลยค่ะ”
ทุกคนหัวเราะ น้องบัวหันไปมองพ่อแม่ที่ยืนฟังอยู่
“วันนี้หนูดีใจที่สุดเลยค่ะที่ได้เป็นคนถือดอกไม้ให้พ่อแม่แต่งงานกัน หนูรักพ่อกับแม่นะคะ”
คำพูดสั้นๆ นั้นพาให้ผู้ใหญ่หลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หิรัญยิ้มกว้างที่สุดในรอบหลายปีและกัทลีก็ก้าวขึ้นไปกอดลูกไว้แน่น
หลังงานเลี้ยงจบลง และแสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบทุ่ง
หิรัญเดินกลับมาหากัทลีที่ยืนอยู่ริมรั้วไม้
“เป็นอะไร เหนื่อยเหรอเห็นเงียบๆ ตั้งแต่ในงานเลี้ยงแล้ว” เขาถามเบาๆ เป็นสิ่งยืนยันว่าชายหนุ่มใส่ใจเธอตลอดเวลา
“หิน ฉันมีอะไรจะเล่าและอยากถามคุณตรงๆ” เธอคิดว่าหากยังข้องใจอยู่ก็ควรถามและถ้าเขาจริงใจก็ควรตอบ
“หืม... ถามอะไรว่ามา” หิรัญยกมือเธอมาคลี่ปลายนิ้วออกเล่น นิ้วของกัทลีเรียวยาวราวลำเทียนผิวลื่นเนียนมือไปหมดและเขาชอบมาก
“ตอนที่คุณเรียนปีสี่ ฉันเคยไปหาคุณที่กรุงเทพฯ” เธอเกริ่นทำให้เขาชะงัก หิรัญเริ่มเอะใจบางอย่าง
“ทำไมผมไม่เคยรู้ว่ากล้วยไปหาผม”
“ฉันไม่ได้บอกคุณ เพราะตอนนั้นคุณไม่อยากคุยกับฉัน ฉันไปหาคุณที่หอพักตอนเช้า หวังว่าจะได้เจอคุณก่อนไปเรียนเผื่อว่าตอนนั้นคุณจะยังไม่เหนื่อยและอารมณ์ดีพอที่จะอยากคุยกับฉัน” กัทลีกะพริบตาถี่ๆ และพูดต่อ
“ฉันเห็นคุณเดินออกมาจากหอพร้อมกับน้องวิว คุณและเธอเดินกอดคอกันออกมาจากตึก ฉันก็เลยเข้าใจว่าทำไมคุณถึงเปลี่ยนไป”
“ใช่ก็เหี้ยแล้ว ไอ้วิวเนี่ยนะ” หิรัญร้องตะโกนอย่างตกใจ เขารีบร้อนหยิบโทรศัพท์ออกมาพลางหันมาบอกภรรยา
“ไม่ใช่นะกล้วย มันต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ” ชายหนุ่มรีบกดโทรศัพท์โทรออกหาภาพวิวและถามเรื่องดังกล่าว
“เฮ้ยไอ้วิว ตอนไหนวะที่พี่เคยกอดคอเธอออกจากหอตอนเช้าสมัยเธออยู่ปีหนึ่ง”
ภาพวิวที่เพิ่งถึงโรงแรม คิดอยู่พักใหญ่ก่อนที่เธอจะร้องอ๋อ “มีครั้งนึงไงที่เฮียหลบยายดาวมหาลัยที่มาตามตื๊อ เลยให้วิวช่วยแสดงละครว่าเราเป็นแฟนกันเพราะยายนั่นไปดักรอเฮียใต้หอ”
“เออ นึกออกแล้ว เธอช่วยอธิบายให้เมียพี่ฟังได้ไหม เขาไปเห็นพี่กอดคอเธอเดินออกมาจากหอวันนั้นพอดี”
“เอ้า” ภาพวิวหัวเราะร่วน ก่อนที่เธอจะขอคุยกับกัทลีเอง
หลังจากนั้นไม่กี่นาที กัทลีส่งโทรศัพท์คืนให้ชายหนุ่ม สีหน้าเธอไร้ความเคลือบแคลงใดใด
“น้องวิวอธิบายทุกอย่างหมดแล้วค่ะหิน ขอบคุณนะคะที่ยังบอกให้รู้ว่าคุณแคร์ฉัน เรากลับบ้านกันเถอะอยากพักแล้ว” กัทลีจับมือสามีเดินไปพร้อมกัน
“ก็เพราะผมรักคุณไง เรากลับกันเถอะ”
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั