ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม
แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้าน
ขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคม
กัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก
"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
กัทลียิ้มและเดินมานั่งข้างลูก หยิบภาพขึ้นดูเธอรู้ว่าลูกวาดและลงสีอย่างตั้งใจ ในภาพมีรูปพ่อแม่ยืนจับมือกันและเด็กหญิงอุ้มลูกเมล่อนอยู่ตรงกลาง มีหัวใจสีแดงดวงใหญ่ล้อมรอบครอบครัวไว้
“แม่ยังไม่เคยวาดภาพแบบนี้เลยลูก ทำยากไหมคะ”
“ไม่ยากค่ะงั้นหนูสอนแม่วาด หรือว่าจะให้หนูวาดแทนแม่ก็ได้นะคะ” เด็กหญิงตอบอย่างภาคภูมิใจ
เสียงฝีเท้าของหิรัญดังใกล้เข้ามาพร้อมกับตะกร้าที่มีผลไม้ของฟาร์มอยู่ในนั้น เขาวางตะกร้าไว้หน้าระเบียงแล้วมองสองแม่ลูกด้วยแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“ป้าไหมเก็บผลไม้มาให้เราถ่ายรูปลงสตอรี่ของเพจ แล้วสองแม่ลูกนี้ทำอะไรกันอยู่ครับ”
“วาดรูปครอบครัวค่ะคุณพ่อ” บัวชมพูตอบ
“แล้วหนูวาดพ่อหล่อไหมในภาพ”
“หล่อค่ะ เหมือนตัวจริงเป๊ะเลย” เด็กหญิงตอบอย่างไม่ลังเล
ช่วงสายของสัปดาห์ต่อมาทั้งสามคนไปช่วยคนงานตัดเมล่อนชุดแรกของฤดูกาลใหม่ กัทลีจดบันทึกข้อมูลน้ำหนักและวัดค่าความหวานเพื่อทำสถิติของผลผลิตแต่ละรุ่น
โดยที่ก่อนเก็บเกี่ยวหิรัญจะงดน้ำต้นเมล่อนประมาณเจ็ดวัน และตัดผลในช่วงเช้าไม่เกินเที่ยงเพื่อคงคุณภาพของผลผลิตไว้ให้ดีที่สุด
บัวชมพูติดสติกเกอร์รูปหัวใจลงบนผลเมล่อนสายพันธุ์ที่ได้ชื่อว่าหวานที่สุดพันธุ์หนึ่งเพื่อเตรียมไว้ให้คุณครูที่โรงเรียน ส่วนคนเป็นพ่อจัดการบรรจุในลังไม้เรียงอย่างเป็นระเบียบตามออร์เดอร์ของลูกค้าที่จองล่วงหน้า
เมื่อทำงานเสร็จกัทลีในฐานะนายหญิงของฟาร์มเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษให้คนงานที่ช่วยกันทำงานล่วงเวลาแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุด ทุกคนดื่มกินอย่างผ่อนคลายและรู้ว่าเงินล่วงเวลาจะเข้าพร้อมเงินเดือนในตอนสิ้นเดือน
“น้องบัวง่วงแล้วก็กลับบ้านไปอาบน้ำนอนได้แล้วค่ะลูก”
ไม่ถึงสองทุ่มเด็กหญิงวัยย่างเข้าสิบขวบก็เริ่มหาว คุณแม่จึงเตรียมตัวพาลูกกลับไปยังบ้านพัก
“หิน ฉันพาน้องบัวกลับบ้านก่อนนะ เธออยู่คุยกับคนงานกินกันต่อก่อนก็ได้ ของกินยังเหลืออีกเยอะ”
“ไม่เป็นไร ฉันกลับด้วยเลย” หิรัญเตรียมลุกแต่หญิงสาวกดไหล่เขาไว้ให้นั่งตามเดิม
“คุณอยู่คุยกับลูกน้องเถอะ เผื่อมีอะไรอยากปรึกษากัน”
กัทลีเข้าใจในบทบาทของหิรัญ เขาไม่ได้เป็นเพียงพ่อของลูกหรือหัวหน้าครอบครัว แต่เขาเป็นหัวใจหลักของฟาร์มในสายตาของพนักงาน เธอจึงอยากให้เขามีเวลาสังสรรค์กับคนทำงานด้วยเช่นกัน
ใต้ต้นกระท้อนที่น้องบัวเคยไปเฝ้าดูผีเสื้อยักษ์ในปีแรกที่มาที่นี่ หิรัญจัดโต๊ะไม้ตัวเล็กให้ทั้งครอบครัวได้มานั่งกินข้าวด้วยกันในวันต่อมา หลังจากที่ชายหนุ่มพาครอบครัวกลับไปเยี่ยมปู่เหมและย่าจันทร์หอมในตอนเช้ามาแล้ว
และวันนี้พวกเขาก็ได้ข่าวดีที่พยายามมานาน นั่นคือการชวนปู่และย่ามาอยู่ด้วยกันที่นี่ ซึ่งปู่เหมตกลงใจจะมาช่วยลูกชายดูแลฟาร์มที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีงานในส่วนที่หิรัญไม่ถนัดแต่หลานสาวอยากได้นั่นก็คือบึงดอกบัวแดง
“เดี๋ยวปู่จะทำบึงดอกบัวแดงกับปลูกกล้วยกัทลีไว้เยอะๆ แบบที่น้องบัวอยากได้นะลูก เปิดรั้วด้านขวาเอาที่ไปอีกสักกี่ไร่ดีนะ” ปู่เหมทำท่าคิด น้องบัวยิ้มแป้นรีบบอกทันที
“ขออีกสิบไร่ได้ไหมคะปู่ จะได้มีบึงกว้างๆ บัวจะได้พายเรือเก็บสายบัวมาให้แม่ทำกับข้าว เก็บดอกบัวให้ย่าไปทำบุญที่วัดได้ด้วยอีกนะคะ” เด็กหญิงฉอเลาะทำให้คุณปู่หัวเราะลั่น
“ไอ้หลานคนนี้มันช่างประจบเอาใจ เอาไปให้หมดตัวเลยลูก ปู่มีเท่าไหร่ให้หนูหมดเลย”
ข่าวดีอีกเรื่องคือระหว่างกลับเข้าเมืองกัทลีได้รับแจ้งจากพี่นาว่าประกาศเลื่อนขั้นเธอเป็นข้าราชการระดับชำนาญการจะออกในวันรุ่งขึ้น
“พ่อว่าเราไปฉลองในเมืองดีไหม แม่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว” หิรัญถามลูกสาวแต่สองแม่ลูกปฏิเสธ
“หนูว่าแม่ชอบอยู่ฟาร์มที่สุดแล้วค่ะพ่อ เรามีที่กินข้าวริมน้ำ มีคาเฟ มีป้าไหมทำกับข้าวอร่อยๆ ดีที่สุดในโลกแล้ว” น้องบัวตอบในสิ่งที่ตรงใจมารดาที่สุดพวกเขาจึงตรงกลับฟาร์มกันแทน
เมื่อไปถึงพวกป้าไหมทำกับข้าวพื้นบ้านง่ายๆ อย่างน้ำพริก ผักลวกและไข่เจียวหอมกรุ่น แกงส้มปลาทับทิมรออยู่แล้วทุกคนต่างแสดงความยินดีกับนายหญิง
หิรัญควักกระเป๋าจ่ายค่าทำกับข้าวเป็นพิเศษในโอกาสวันพิเศษ เขาบอกป้าไหมให้ฝากบอกคนงานว่าใครที่ไม่ได้ไปไหน ให้มากินข้าวด้วยกัน และบัวชมพูตักข้าวให้พ่อกับแม่ก่อนทุกครั้งเหมือนเคยโดยไม่มีใครบอก
“หนูอยากให้เรามานั่งกินข้าวแบบนี้ทุกวันเลยค่ะ” บัวชมพูพูดขณะยิ้มกว้าง เธอไม่ได้ขออะไรเป็นพิเศษ แค่ขอให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน
กัทลีมองลูกแล้วจึงหันไปสบตาหิรัญ เขายิ้มกลับอย่างแผ่วเบาโดยไม่ต้องพูดอะไร เพราะวันนี้... เขาเข้าใจแล้วว่าคำว่า 'บ้าน' ของเขาคือผู้หญิงสองคนตรงหน้า
ยามบ่ายผ่านไปพร้อมเสียงหัวเราะจากทุ่งดอกไม้ที่กำลังบาน วันนั้นแดดร่มลมตกเหมือนเป็นใจให้กัทลีจูงมือลูกเดินผ่านโซนฟักทองไปจนถึงแปลงดาวเรืองที่สีทองเหลืองอร่าม บัวชมพูหยุดเก็บดอกไม้ใส่ตะกร้า
เล็ก ๆ ที่หิรัญเลือกซื้อมาฝากเธอจากงานโอท็อปของจังหวัด“พ่อดีใจนะคะที่เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่อีกครั้ง”
หิรัญเดินเข้ามายืนข้างเธอ เขาโอบไหล่กัทลีหลวมๆ ยืนเคียงกันแบบที่เธอรู้สึกได้ถึงความมั่นคง
“และผมก็เป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดแล้ว ที่คุณให้อภัยและยังให้โอกาสผมได้เป็นทั้งพ่อของลูกและคนที่ได้รักคุณ... อีกครั้ง”
ค่ำวันนั้นหลังจากลูกสาวหลับสนิทใต้ผ้าห่ม หิรัญกับกัทลีนั่งอยู่หน้าบ้านไม้ใต้ต้นกระท้อนที่น้องบัวขอให้พ่อล้อมมาปลูกใกล้ๆ บ้านเพราะเธออยากเห็นผีเสื้อยักษ์ บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบแต่เต็มไปด้วยความอุ่นใจ ท่ามกลางแสงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า หิรัญยื่นมือออกมาหาเธอ เธอวางมือลงในมือเขาโดยไม่ลังเล
“เรากลับมาเป็นครอบครัวกันจริงๆ แล้วใช่ไหม” เขาถามเสียงเบา กัทลีหันมายิ้มตอบด้วยแววตาที่ไม่ต้องมีคำพูด
คำตอบนั้นอยู่ในมือที่จับกันแน่น... และในหัวใจที่พร้อมจะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกันเสมอ
ในกล่องไม้เปล่าใบนั้นไม่มีอดีตเหลืออยู่อีกแล้ว แต่ในสวนเมล่อนหลังบ้านแห่งนี้ กำลังจะมีอนาคตงอกงามขึ้นใหม่ จากความรักที่ผ่านการให้อภัย และความเข้าใจที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ
"ฟาร์มบัวชมพู" จึงไม่ได้เป็นเพียงชื่อสถานที่ แต่มันคือชีวิตที่มีโอกาสได้งอกงามใหม่แล้วออกดอกอีกครั้งอย่างงดงาม
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั