"เราหย่ากันเถอะหิน" ประโยคนั้นทำให้หิรัญตกใจเพราะคาดไม่ถึง เขาไม่เคยคิดว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่าง 'กัทลี' จะเป็นฝ่ายพูดมันออกมาก่อน แต่ก็ดีเหมือนกันเขาเองจะได้ไม่ต้องเอ่ยให้ลำบากใจ เราแต่งงานกันมานานมาก เจ็ดหรือแปดปีเห็นจะได้ จากความผิดพลาดในสมัยวัยรุ่น เขาทำเธอท้องในตอนที่เพิ่งเรียนจบมัธยมปลาย และครอบครัวของกัทลีก็ยื่นคำขาดให้เขารับผิดชอบไม่เช่นนั้นจะเอาเรื่อง บิดามารดาของเขาเกรงว่าลูกชายจะต้องโดนคดีพรากผู้เยาว์ เพราะว่าตอนที่เขาล่วงเกินเธอ กัทลียังอายุไม่เต็มสิบแปดดี เมื่อแต่งงานแล้วกัทลีเข้ามาอยู่ในบ้าน ในขณะที่ตัวเขาเองไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย เมื่อตัวห่างใจห่างและสิ่งใหม่ๆ ที่ได้พบเจอในชีวิตของนักศึกษาหนุ่มเนื้อหอม ทำให้ทั้งสองมีช่องว่างที่นับวันก็ยิ่งห่างไกล จากความรักของเด็กๆ ก็กลายเป็นอดีต ลูกที่เกิด ณ วันนั้นไม่ใช่สายใยที่จะทำให้เขาคิดหวนกลับมาหาหล่อนอีก ชายหนุ่มได้แต่ส่งของขวัญมาให้ลูกทุกวันเกิดและดูแลเด็กหญิงผ่านทางบิดามารดาของตัวเอง "ก็เอาสิ เธอพร้อมไปอำเภอวันไหนล่ะ" หิรัญยักไหล่ ได้เสมอตามที่เธอต้องการ ก็ดีเหมือนกันเขาจะได้โสดจริงๆ สักที
View More
“กล้วย กล้วยอยู่ไหม”
เสียงตะโกนดังโหวกเหวกพร้อมกับเสียงเดินย่ำเท้าปึงปังขึ้นมาบนบ้าน จนกัทลีที่อยู่ในครัวต้องมุ่นคิ้วใครกันบังอาจมาทำเสียงเอะอะบนบ้านเธอ
“ใครน่ะ อ้าวจิณมาทำไมมีอะไรเหรอ” หญิงสาวยกมือขึ้นเท้าเอวมองเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมที่อยู่ๆ ก็มาถึงบ้านไม่มีปี่มีขลุ่ย
“วันนี้ฉันเจอไอ้ลมมันบอกว่าไอ้หินกลับมาแล้ว และมันหย่ากับเธอแล้ว” จิรัชหน้าตาตื่น
“นึกว่าเรื่องอะไร” กัทลีทำสีหน้าเบื่อหน่าย หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในครัว
“อ้าวไอ้กล้วย แกต้องไปด่าไอ้ลมมันสิเที่ยวพูดไปเรื่อย” ไอ้ลมที่จิรัชพูดถึงคือวาตะเพื่อนอีกคนในกลุ่ม
“จะด่ามันทำไม มันพูดเรื่องจริง” กัทลีปรายตามองและพูดต่อ “แกเองก็เลิกทำท่าจะเป็นจะตายได้แล้ว แกเป็นคนบอกเองว่าฉันควรมีผัวใหม่ไม่ใช่เหรอ”
“อ้าว เฮ้ยนี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ แกสองคนจะหย่ากันแล้วลูกล่ะ ละทำไมไอ้หินมันอยู่มานานสองนานอยู่ดีๆ ถึงจะมาหย่า”
“ฉันเป็นคนขอหินหย่าเองจิณ ไม่ต้องไปด่าเขาหรอก” กัทลียอมรับ “แกไปบอกไอ้ลมมันด้วยว่าคนที่ขอหย่าคือฉัน ฉันเอง”
กัทลีเดินกลับไปในครัว แต่ทำท่านึกอะไรได้จึงหันกลับมาบอกจิรัชที่ยังยืนงง
“ฝากแกไปชวนไอ้ลมกับวุ้นละก็บีมาฉลองที” เธอพูดถึงเพื่อนอีกสามคนซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกันและยังคบหากันเหนียวแน่น
“ฉลองความโสดกันพวกแกหาวันมาเลย ฉันไปทำกับข้าวต่อก่อนนะเดี๋ยวต้องไปรับลูกที่บ้านปู่ย่า”
กัทลีหายกลับเข้าไปในครัว ขณะที่จิรัชยังยืนเกาศีรษะแกรกด้วยความมึนงง ในที่สุดชายหนุ่มก็โทรไปหาเพื่อนในกลุ่มและเล่าเรื่องตามที่ได้ยินจากกัทลีให้ทุกคนฟัง
“คุณปู่คุณย่าขา แม่มารับแล้วค่ะ” เด็กหญิงบัวชมพูวัยเจ็ดขวบร้องบอกนายเหมและนางจันทร์หอมผู้เป็นปู่ย่า เมื่อเห็นมารดาขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านคุณปู่
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่” กัทลีทำความเคารพผู้สูงวัยทั้งสอง นายเหมและภรรยาต่างส่งยิ้มให้แม่ของหลานสาว นางจันทร์หอมก้มลงบอกเด็กหญิงบัวชมพูว่า
“น้องบัวช่วยเข้าไปในครัว บอกยายผ่องตักไข่พะโล้กับกับข้าวอื่นไปกินที่บ้านกับแม่ไปลูก ย่าบอกยายผ่องไว้แล้ว”
“ได้ค่ะคุณย่า”
หลังจากเด็กหญิงวิ่งหายออกไปจากห้องนี้นางจันทร์หอมก็บอกกัทลีให้นั่ง
“กล้วยนั่งก่อนลูก”
“ค่ะคุณแม่” กัทลีเตรียมใจมาแล้วและพอเดาได้ว่าท่านทั้งสองอยากถามเรื่องอะไร
“แม่ได้ยินว่าหนูกับไอ้หิน...” นางเงียบไปครู่เมื่อเอ่ยชื่อลูกชายก่อนจะพูดต่อ “หย่ากันแล้วเหรอลูก”
กัทลียกมือไหว้คนทั้งสองเป็นเชิงขออภัย “ค่ะคุณแม่ หนูขอโทษพ่อกับแม่นะคะที่ไม่ได้บอกก่อน”
การจะได้เจอตัวหิรัญไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเธอได้พบเขาในตอนสายของวันก่อนเพราะว่าตั้งใจมาพบปู่ย่าของหลานแต่กลับได้เจอสามีที่ไม่ได้พบหน้ามากันแปดปี จึงตัดสินใจชวนเขาไปหย่าทันทีให้เรื่องมันจบและเธอก็โล่งใจอย่างยิ่งที่ฝ่ายนั้นไม่ได้ขัดข้องอะไร
นางจันทร์หอมและสามีมองหน้ากันก่อนจะพูดกับอดีตลูกสะใภ้ตามกฎหมาย
“พ่อกับแม่เข้าใจหนูนะลูก ทุกคนก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง”
กัทลียังสาวยังสวย อายุเพิ่งจะผ่านพ้นเบญจเพสมาไม่เท่าไหร่ แค่ที่ลูกชายของตนไปทำให้เธอต้องเป็นแม่คนก่อนเวลาอันควรก็มากเกินพอแล้ว แถมเมื่อมันไปเรียนต่อก็ทำตัวเป็นโสด ลืมไปแล้วว่ามีเมียมีลูกรออยู่ทางนี้ ไม่ได้คิดเลยว่าในขณะที่กัทลีต้องทิ้งอนาคตมาอุ้มท้องในขณะที่เห็นเพื่อนๆ ได้เรียนต่อเธอต้องเสียสละตัวเองแค่ไหน นางจันทร์หอมได้แต่คิดตำหนิลูกชายในใจ
“แต่พ่ออยากขอเรื่องหลาน หนูยังจะพาน้องบัวมาหาปู่ย่าเหมือนเดิมใช่ไหมลูก”
นายเหมพูดต่อจากภรรยา เรื่องนี้ทำให้กัทลีพยักหน้าโดยเร็ว เธอไม่มีความคิดจะให้ลูกตัดขาดกับญาติทางพ่ออยู่แล้ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นเด็กหญิงจะไม่มีใครเลยนอกจากแม่
“ค่ะพ่อ ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูไม่เคยคิดแบบนั้น”
จะคิดได้อย่างไร ที่เธอมีโอกาสได้กลับไปเรียนจนจบปริญญาตรี ได้มีอาชีพ มีบ้านอยู่ มีรายได้แบบในทุกวันนี้มาจากปู่ย่าของหลานทั้งสิ้น บ้านที่อยู่ ที่ดินที่ทำกินก็มาจากที่ท่านแบ่งให้
“วันจันทร์ถ้าหนูไปส่งน้องบัวที่โรงเรียนแล้ว แวะมาหาพ่อกับแม่อีกทีนะลูก” นางจันทร์หอมตัดบทเมื่อเห็นหลานสาวเดินกลับเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้หิ้วตะกร้าหวายใบใหญ่ ในนั้นบรรจุอาหารและผลไม้แน่นเอี๊ยด
“ได้ค่ะแม่” กัทลีรับปาก สายตาก็มองไปที่เด็กหญิงและชวนลูกคุย “อะไรในตะกร้าคะลูก เยอะแยะเลย”
“กับข้าวค่ะแม่ คุณย่าทำไข่พะโล้ให้หนูกับแกงของแม่ มีขนมด้วยค่ะแล้วก็ผลไม้ หนูชอบหมดนี่เลย”
“แม่ก็ชอบกับข้าวของคุณย่าค่ะ ไปกันเถอะกลับบ้านกัน” เธอลาผู้สูงวัยทั้งสอง กัทลีรับตะกร้ามาถือส่วนเด็กหญิงสะพายเป้แล้ววิ่งออกไปตรงขึ้นรถอย่างร่าเริงพลางร้องเพลงไปด้วยโดยมีสายตาสามคู่มองตามด้วยความรักและเอ็นดู
กัทลีและลูกกลับไปไม่นาน รถยนต์อีกคันก็เข้ามาจอดแทนที่ในโรงรถ เสียงดังกระหึ่มของเครื่องยนต์ทำให้นางจันทร์หอมทำสีหน้าบึ้งตึงทันที
“ไอ้ลูกเวรมาสักที คุณช่วยไปทำให้รถมันวิ่งไม่ได้ทีได้ไหม ฉันรำคาญจะแย่แล้ว”
“แม่พ่อ ไหนว่าลูกผมจะมาไงนี่อุตส่าห์รีบกลับ” หิรัญลงจากรถมาพร้อมกับกล่องของขวัญที่เขาไปซื้อมาจากในตัวเมืองสระบุรี
“น้องบัวมาอยู่ตั้งแต่เช้า จนแม่เขาเพิ่งมารับกลับไปเมื่อกี้ แกมัวทำอะไรอยู่ไอ้หิน ฉันนี่ไม่รู้จะพูดยังไงกับแกแล้วนะ” นางจันทร์หอมทนไม่ไหวจนต้องตำหนิลูกชายเสียงดังลั่นบ้าน
“ผมไปหาของขวัญมาให้ลูกอยู่ไงแม่ ละแม่ไม่บอกน้องบัวเหรอว่าผมกำลังมา” หิรัญเถียง
“แม่เขาพูดไม่ได้หรอกหิน พ่อก็ด้วย เพราะเคยบอกไปแล้วแต่แกไม่เคยมา ถึงบอกไปน้องบัวก็คงไม่เชื่อป่านนี้อาจจะลืมหน้าพ่ออย่างแกไปแล้วด้วย” นายเหมพูดเสียงเรียบ เขาหันไปประคองภรรยาให้ลุกขึ้น
“ไปกันเถอะแม่ ไปพักก่อนความดันจะขึ้น ส่วนหินถ้าแกจะเอาของขวัญไปให้ลูกก็ตามไปที่บ้านหนูกล้วยเขาละกัน”
สองปู่ย่าเดินออกไปจากห้องไม่หันมามองลูกชายอีก หิรัญวางของขวัญในมือลงบนโต๊ะ คำพูดของพ่อยังดังอยู่ในหัว
‘เพราะเคยบอกไปแล้วแต่แกไม่เคยมา ถึงบอกไปน้องบัวก็คงไม่เชื่อป่านนี้อาจจะลืมหน้าพ่ออย่างแกไปแล้วด้วย’
หิรัญทบทวนไปมา ก่อนจะบอกตัวเองว่ามันไม่จริง เขาไม่เชื่อว่าลูกสาวจะลืมหน้าตัวเองไปแล้วจริงๆ แบบที่บิดาพูด
‘ก็เขาเรียนหนัก เรียนจบก็ทำงานแทบไม่ได้พัก ไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกสาววัยเจ็ดขวบจะไม่เข้าใจ น้องบัวโตแล้วเด็กน้อยต้องเข้าใจแน่ๆ’ ชายหนุ่มบอกตัวเอง
“แม่ต้องย้ายที่ทำงานพรุ่งนี้แต่โรงเรียนหนูยังไม่ปิดเทอม หนูไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าก่อนนะคะลูก แล้ววันหยุดแม่จะมารับไปนอนค้างกับแม่” “ค่ะแม่ หนูอยู่กับปู่ย่าได้แต่แม่อย่าลืมมารับหนูเย็นวันศุกร์นะคะ” เด็กหญิงกำชับ“แม่ไม่ลืมแน่นอนค่ะ ใครจะลืมลูกทั้งคนเนอะ” ใครจะลืม ถ้าไม่ใช่อดีตสามี ‘ไอ้บ้าหิน’ หญิงสาวอดคิดด่าฝ่ายนั้นในใจไม่ได้“โอเค นอนนะคะลูก คืนนี้แม่ขอนอนกอดหนูหน่อยนะคะ พรุ่งนี้แม่ต้องไปแล้ว” หญิงสาวเอื้อมมือไปหรี่ไฟเอนตัวนอนกอดเด็กหญิงไว้หลวมๆ ยังไม่ทันได้ห่างกันจริงๆ เธอก็ใจจะขาด แล้วต้องไปอยู่โน่นคนเดียวเป็นเดือนเธอจะทนไหวไหม กัทลีถามตัวเองเช้าวันต่อมากลุ่มเพื่อนๆ มาช่วยกัทลีขนของย้ายบ้านโดยที่เธอจะขนของที่จำเป็นไปทั้งหมดทีเดียว ยกเว้นของใช้ส่วนตัวของน้องบัวที่จะขนไปไว้ที่บ้านปู่เหมย่าจันทร์ชั่วคราว ในขณะที่เริ่มขนของขึ้นท้ายรถกระบะของวาตะที่ชายหนุ่มนำรถที่บ้านมาช่วยย้าย หิรัญก็ขับรถปิคอัพมาจอดที่หน้าบ้าน“ให้ไอ้หินมาช่วยขนของด้วยเหรอกล้วย” สไบนางถามเพื่อน“เปล่า ฉันยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าจะย้าย” กัทลีตอบพลางเดินไปหาแขกที่ไม่ได้เชิญว่าเขามาทำไม“คุณมาทำอะไรหิน”
น้องบัววิ่งเข้าไปหลบหลังแม่แล้วค่อยๆ โผล่หน้ามามองคนเป็นพ่อ หลังจากที่เห็นกันมาหลายครั้งแล้วเธอจึงไม่ตกใจมาก แต่ก็ยังมีท่าทีระแวงอยู่หิรัญย่อตัวลงนั่งลงบนส้นเท้าตัวเองเพื่อให้ใบหน้าตัวเองอยู่ในระดับสายตาของเด็กหญิง “น้องบัวคะพ่อมาหาค่ะลูก หนูออกมาหาพ่อได้ไหมคะ” “พ่อ...” เด็กหญิงทวนคำ “พ่อมาทำไมคะ” เพราะว่าเธอจำได้ว่าคนที่แม่เคยแนะนำว่าเป็น “คุณพ่อ” ช่วยเธอและแม่ไม่ให้คุณยายตีเมื่อเช้าวันนี้ เด็กหญิงจึงลดท่าทีไม่เป็นมิตรลงไปบ้างถ้าเทียบกับปฏิกิริยาของเธอในวันวาน“พ่อมาหาหนูไงคะลูก” หิรัญใจชื้นขึ้นเมื่อเด็กหญิงยอมพูดกับเขาบ้าง ดีกว่าท่าทางปฏิเสธเด็ดขาดแบบเมื่อวาน“น้องบัวออกไปบอกลุงลมให้ย่างหมูได้แล้วลูก เดี๋ยวแม่ตามออกไปนะคะ” กัทลีออกคำสั่งเบี่ยงเบนความสนใจของลูก ทำให้เด็กหญิงทำท่านึกออกว่าเธอกำลังจะออกไปหากลุ่มเพื่อนๆ ของแม่ “ค่ะแม่” เมื่อมารดาพยักหน้าให้เด็กหญิงก็เลยเลิกสนใจ ‘คุณพ่อ’ และวิ่งตื๋อออกไปอย่างรวดเร็วกัทลีมองตามหลังลูกจากนั้นกลับมามองอีกคนที่ยังอยู่ที่เดิม “เรื่องเมื่อเช้าขอบคุณมากแต่เมื่อไหร่คุณจะกลับไปสักทีฮะหิน” “วันนี้กล้วยจะฉลองกับเพื่อนเก่าไม่ใช่
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งผ่านประตูรั้วมาจอดไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่ “ใครมา อ้าวไอ้ลม ไอ้จิณพวกมันมากันทำไม” หิรัญมองเพื่อนเก่าสองคนที่ลงจากรถ“อ้าวไอ้หินมันอยู่ด้วยเหรอวะมึง” วาตะกระซิบถามจิรัช“กูก็มาพร้อมมึง แล้วก็เห็นมันยืนอยู่พร้อมกันกูจะรู้ไหมล่ะ” จิรัชตอบจากนั้นเขาทักทายหิรัญและเจ้าของบ้านสาว“ว่าไงวะมึงไอ้หิน กูได้ข่าวว่ามึงจะกลับมาอยู่บ้านถาวรเลยเหรอ” “เออว่ะ ตอนนี้ทางโน้นปิดงานหมดกูเลยว่าจะมาหาอะไรทำที่บ้าน” หิรัญเดินไปหาเพื่อนสองคนที่เขาเคยสนิทและมาห่างกันช่วงไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี“ละมึงมาทำไมกัน ขนอะไรกันมาเยอะแยะ” ชายหนุ่มมองข้าวของในมือของวาตะที่ส่งมาให้จิรัชและตน เขารับมาช่วยถืออย่างงงๆ และพบว่ามันเป็นพวกน้ำแข็ง เครื่องดื่มนานาชนิดนั่นเองยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะตอบ กัทลีก็แทรกขึ้น “แล้วอีกสองสาวล่ะ ยังไม่มาเหรอ” “วันนี้วันเสาร์วุ้นมันไปเคลียร์งานครึ่งวันบีเลยจะไปรับแล้วจะมาพร้อมกัน เดี๋ยวคงมาถึงตะกี้มันโทรมาถามว่าฉันสองคนซื้ออะไรมาแล้วบ้าง” วาตะเป็นคนตอบพลางเดินนำเข้าบ้านเปิดประตูบ้านอย่างคุ้นเคย ส่งเสียงทักทายสาวน้อยวัยเจ
“กล้วย กล้วยเอ้ย อยู่ไหมลูก” นางกินรีมาตะโกนเรียกบุตรสาวที่หน้าบ้านในเช้าวันต่อมา ทำให้กัทลีที่กำลังจะเก็บถ้วยจานที่ใช้ในมื้อเช้าไปล้างต้องชะงัก หญิงสาวสบตาน้องบัวที่ลอบทำหน้าเบื่อเมื่อได้ยินว่าคุณยายมา กัทลีไม่ได้ว่าอะไรลูกสาวเพราะเธอเองก็เบื่อหน่ายไม่แพ้กัน เนื่องจากนางกินรีถึงจะมาที่นี่ไม่บ่อยแต่ว่าหากจะมาทีไร ก็มีแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือร้อนหูมาให้ไม่เคยว่างเว้น“หนูขึ้นไปทำการบ้านข้างบนไหมลูก เดี๋ยวแม่ตามขึ้นไปดูค่ะ” แต่เด็กหญิงส่ายศีรษะทันที “ไม่ค่ะ หนูจะอยู่กับแม่”หญิงสาวออกมาเจอมารดาหน้าบ้าน ไม่ได้เชิญให้นางเข้าไปคุยกันข้างในแต่อย่างใด“มาที่นี่มีอะไรเหรอคะแม่” “กล้วย เอ็งพอมีเงินให้แม่สักหน่อยไหมขอแค่สามหมื่น แม่ต้องใช้ด่วนวันนี้เลย” หญิงวัยกลางคนเริ่มต้นพูดธุระทันที ไม่มีแม้แต่จะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ“ฉันไม่มีเงินให้แม่หรอก ถ้าแม่มาแค่เรื่องนี้ก็กลับไปเถอะ” ภาพที่นางกินรีหอบกระเป๋าใส่เงินห้าแสนที่นางเรียกเป็นค่าไม่ฟ้องผู้เยาว์หิรัญเมื่อแปดปีที่แล้ว ก่อนจะทิ้งเธอไว้กับครอบครัวของหิรัญยังคงชัดเจนในใจ“แต่พี่แกกำลังลำบากนะกล้วย แกเองก็ได้ดิบได้ดีแล้วไ
กัทลีมาถึงบ้านแต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่มารอ หิรัญนั่นเองเธอมองชายหนุ่มอย่างสงสัยว่าเขามาที่บ้านนี้ทำไมกัน“กล้วย น้องบัว” ชายหนุ่มลุกจากเทอเรซหน้าบ้านทันที เขาว่าเขาตามเธอออกมาจากบ้านเวลาห่างกันไม่ถึงยี่สิบนาที แต่มาถึงไม่เจอใครและต้องมานั่งรออยู่เกือบชั่วโมงแล้ว“มาที่นี่มีอะไรเหรอหิน” น้ำเสียงของกัทลีราบเรียบจนหิรัญเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เขากลับมาที่นี่อดีตภรรยาไม่เคยแสดงอาการเหวี่ยงวีนหรือโกรธเขาเลยสักครั้ง ต่างจากเมื่อเจ็ดปีก่อนลิบลับที่หลังจากคลอดน้องบัว กัทลีมักจะโทรหาเขาในตอนค่ำๆ หิรัญในตอนนั้นเรียนปีหนึ่งเทอมสองเป็นช่วงที่ชีวิตในรั้วมหาลัยเริ่มลงตัว มีสังคมใหม่ มีกิจวัตรใหม่ แรกๆ เขาก็รับสายของเธอดี แต่ช่วงหลังหิรัญเริ่มติดเพื่อน เริ่มมีไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทในคณะซึ่งส่วนมากก็เป็นการเที่ยวกลางคืน ทำให้เขาเริ่มไม่อยากรับสายกัทลีถึงรับก็พูดด้วยความเร่งรีบจนเธอเริ่มระแวงและหาเรื่องว่าเขาเปลี่ยนไป เมื่อถูกโวยวายชวนทะเลาะบ่อยๆ เขาเริ่มไม่รับสาย และยกเลิกการกลับบ้าน และจนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนไหนก็ไม่รู้ที่เขาไม่ได้สังเกตว่าเธอไม่ได้โทรหาเขาอีกเลย“เอ่อ ผมมาหาน้อง
“ไปค่ะ หนูจะเอาขนมอะไรแม่ให้เลือกได้สองอย่าง” กัทลีจอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อปากทางเข้าบ้านตามที่ลูกสาวร้องขอ“ค่ะแม่ แม่อยากกินอะไรไหมคะ” น้องบัวหันมาถาม“เรามีกับข้าวที่คุณย่าทำมาให้เยอะแล้วนะลูก ขนมก็มีไม่ใช่เหรอคะ”เด็กน้อยพยักหน้าตาม “จริงด้วยค่ะ งั้นเอาขนมไปไว้เผื่อกินพรุ่งนี้นะคะแม่ พรุ่งนี้วันอาทิตย์เผื่อไม่ได้ออกมา” กัทลีนึกขำในความ “ยังไงก็จะเอา” ให้ได้ของลูกสาว กระนั้นเธอก็อนุญาตเพราะคิดว่าดีเหมือนกัน พรุ่งนี้ลูกสาวจะได้ไม่รบเร้าให้พาออกมาซื้อของข้างนอกอีกใช้เวลาไม่นานสองแม่ลูกก็มาต่อแถวรอคิดเงิน กัทลีมองเด็กวัยรุ่นในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายชายหญิงคิวก่อนหน้าตนเองสามคิว ท่าทางบอกชัดว่าน่าจะเป็นคู่รักกันมากกว่าเพื่อน“ตัวเองจะยื่นพอร์ตที่ไหน เรายื่นที่เดียวกันนะ จะได้ไปเรียนที่เดียวกัน” เด็กหนุ่มพูด“เชียงใหม่ดีไหมเขาอยากไปเรียนเชียงใหม่ ไกลดี” เด็กสาวหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดต่อ “พูดเล่นน่ะ เราว่าไปกรุงเทพฯ ดีกว่า คณะ....น่าสนใจหรือตัวคิดยังไง” “ก็ดีเหมือนกัน คะแนนเขาน่าจะถึงเราเข้าวิศวะกันนะ ถ้าได้เข้าที่เดียวกันจะได้อยู่หอด้วยกัน”
Comments