กัทลีเริ่มต้นงานใหม่อย่างราบรื่น เพื่อนร่วมงานใหม่ องค์กรใหม่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยและเคยทำงานร่วมกันตั้งแต่อยู่หน่วยงานเก่าก่อนหน้านี้ หญิงสาวใช้เวลาช่วงเช้าในการทำความรู้จักกับแผนกอื่นๆ ที่จำเป็นต้องทำงานด้วยกัน หลังจากนั้นเธอก็เริ่มงานของตัวเองที่คนเดิมทำค้างไว้ก่อนย้ายไป
“นี่จ้ะกล้วย อันนี้พาสเวิร์ดของเรานะ” นารา นักวิชาการศึกษาระดับชำนาญการที่เป็นหัวหน้าคนใหม่ของเธอ ส่งซองขาวที่ภายในบรรจุรหัสเข้างานเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของเธอ
“ขอบคุณค่ะพี่นา” กัทลีรับซองมาเปิดดู เธอฉีกรอยปรุกระดาษคาร์บอนที่ภายในพิมพ์รหัสของตัวเองไว้ จากนั้นเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเข้ารหัส
“พี่สิต้องขอบใจเรา ย้ายมาถูกเวลาช่วยงานพี่ได้เยอะเลย” นาราถอนใจโล่งอกที่ในที่สุดเธอจะได้มีเพื่อนมาช่วยทำงานสักที หลังจากที่รับบทหนักเพราะต้องรับผิดชอบงานแทนคนที่ย้ายไปมาสักพักหนึ่งแล้ว ไหนจะงานตัวเองก็ต้องทำเหมือนเดิม
ไม่นานหลังจากที่กัทลีเริ่มลงมือทำงาน หน้าจอของเธอก็ปรากฏข้อความเชิญประชุมจากระบบงานภายในองค์กร
“กล้วย พรุ่งนี้เช้าไปประชุมแทนพี่ทีสิ พี่ต้องไปคุยกับโรงพิมพ์เรื่องจัดพิมพ์คู่มือเกษตรกรน่ะ” นาราบอกสาวรุ่นน้องหลังจากที่เธอส่งลิงก์เชิญประชุมให้กัทลี
“ได้ค่ะพี่นา ประชุมที่นี่ไหมคะ”
หญิงสาวมองรายละเอียดงานดังกล่าวพลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบก่อนจะกดตอบรับเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
"ประชุมพรุ่งนี้ที่ตึกอำนวยการไม่ใช่ตึกเราจ้ะ กล้วยเดินไปทางหลังตึกแล้วข้ามสะพานไม้เล็ก ๆ ไปก็ถึง" นาราอธิบายพลางชี้มือไปทางอาคารหลังหนึ่งที่อยู่เยื้องกับตึกที่พวกเธอนั่งทำงานกันอยู่ กัทลีพยักหน้าเข้าใจ
“ได้ค่ะพี่ งั้นพรุ่งนี้กล้วยเข้ามาเซ็นชื่อเข้างานก่อนแล้วเลยไปประชุมต่อนะคะ”
เช้าวันต่อมา กัทลีลงทะเบียนที่หน้าห้องประชุมเธอแจ้งชื่อแล้วจึงได้รับเอกสารประกอบการประชุมและป้ายชื่อ
“สวัสดีครับไม่ทราบว่าคุณคือคุณกัทลีจากฝ่ายส่งเสริมการศึกษารุ่นน้องของพี่นาใช่ไหมครับ ผมธนนท์นะมาจากตึกเดียวกับคุณครับอยู่ฝ่ายวิเคราะห์นโยบายและแผน” ชายหนุ่มในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีครีม อายุประมาณสามสิบกลางๆ ผิวสองสีแต่หน้าตาสะอาดสะอ้าน ดูภูมิฐานแต่ไม่เคร่งขรึม เขาส่งยิ้มเป็นมิตรให้ หญิงสาวยิ้มตอบแบบงงๆ
"ใช่ค่ะ เรียกชื่อเล่นว่ากล้วยก็ได้นะคะ”
“ครับงั้นกล้วยก็เรียกผมสั้นๆ ว่าพี่นนท์ได้เลย มานั่งตรงนี้เลยครับเจ้าหน้าที่จัดที่นั่งของกล้วยไว้ตรงนี้ เห็นเมื่อวานพี่นาบอกว่าแกไม่ว่างมาเองแต่จะมีน้องสาวมาฝากให้พี่ช่วยดูแลด้วย”
“ขอบคุณค่ะพี่นนท์ กล้วยเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันพี่นาคงเป็นห่วงน่ะค่ะ" กัทลียิ้มและตอบอย่างสุภาพ
"กลางวันนี้ไปทานข้าวกับพี่ไหม เดี๋ยวพี่พาไปร้านอาหารร้านประจำของกลุ่มเราเอง กล้วยเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่คงยังไม่เคยไปใช่ไหมครับ" ธนนท์พูดถึงร้านอาหารที่บรรดาข้าราชการของที่นี่มักไปรับประทานมื้อกลางวัน เนื่องจากความหลากหลายของอาหารครบทุกภาครวมทั้งเครื่องดื่มและของหวาน บวกกับปัจจัยราคาไม่สูงจนเกินไป
และเนื่องจากวันนี้เป็นวาระการประชุมภายในองค์กรและใช้เวลาเพียงครึ่งวัน ดังนั้นจึงไม่มีการเลี้ยงอาหารกลางวันให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม หญิงสาวลังเลเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าในที่สุด
"ได้ค่ะ ว่าแต่ต้องเผื่อเวลานั่งรถเยอะไหมคะ?"
"ไม่เลยครับ จากนี่ขับรถไปแค่สิบนาทีก็ถึง”
หลังจากการประชุมจบลง กัทลีก้าวขึ้นรถยนต์ของธนนท์รถกระบะสี่ประตูสีน้ำเงินเข้มของเขาดูสะอาดเรียบร้อย
"ทำงานใกล้บ้านก็ดีนะครับ จะได้อยู่ใกล้กับลูกด้วย" เขาพูดขึ้นระหว่างขับรถ โดยไม่หันมามอง
กัทลีเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ "พี่รู้ได้ไงว่ากล้วยมีลูกแล้วคะ?"
"อ้าว... พี่รู้จักพี่นาไง ข่าววงในไม่เคยรอดสายตาพี่นาได้หรอกนะ" เขาหัวเราะเสียงนุ่ม
หญิงสาวส่ายหน้าเบา ๆ พลางอมยิ้มกับตัวเองเมื่อคิดถึงเด็กหญิงบัวชมพู
“เทอมหน้ากล้วยจะรับลูกมาอยู่ด้วยกันแล้วค่ะ โรงเรียนก็อยู่ใกล้ๆ เทศบาลเดินทางสะดวกดี” เธอพูดได้ยาวขึ้นเมื่อเป็นหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับลูกสาว ทำให้บรรยากาศระหว่างเธอกับธนนท์เรียบง่ายเป็นไปด้วยความรู้สึกสบายๆ ไม่อึดอัด
“ดีนะครับ พี่เห็นด้วย ลูกมีเวลาอยู่กับเราได้อีกไม่กี่ปี พอเขาโตเขาก็จะมีสังคม มีเพื่อนของเขาแล้ว”
เมื่อถึงร้านอาหารใต้บรรยากาศร่มรื่นในตัวเมือง มันเป็นร้านแบบโอเพนแอร์ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีน้ำตกจำลองเล็ก ๆ อยู่ข้างโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้ม เธอกับธนนท์เลือกโต๊ะในมุมหนึ่งที่อากาศดูปลอดโปร่ง มองเห็นน้ำตกและไม่มีแดด
แต่ก่อนที่เมนูจะถูกเปิด กัทลีก็เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามาในร้าน
“หิน อย่าเดินเร็วนักสิ จ๋าเดินตามไม่ทัน”
เสียงนั้นคุ้นมาก... คุ้นจนหญิงสาวรู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร เบญจา อดีตเพื่อนสมัยเรียนชั้นมัธยม ส่วนชื่อที่ออกจากปากเพื่อนเก่าทำให้กัทลีต้องหันไปมองต้นเสียง
เธอกะพริบตาเมื่อเห็นอดีตสามีเดินตรงเข้ามาทางโต๊ะใกล้กันโดยไม่ทันมองว่าเธอนั่งอยู่มุมไหน
สายตาของหิรัญกวาดมองทั่วร้านเพราะกำลังมองหาโต๊ะว่าง เขาหยุดชะงักเมื่อมองเห็นเธอ… พร้อมผู้ชายอีกคนที่นั่งตรงข้าม
ความเงียบปกคลุมบรรยากาศในเสี้ยววินาทีก่อนที่เขาจะพยักหน้าน้อย ๆ เป็นการทักทาย สายตาของเขาไม่แสดงอะไรออกมามากนัก และวินาทีต่อมาเมื่อเบญจาหันมาเห็นเธออีกคน ฝ่ายนั้นก็ชะงักก่อนจะยิ้มร่าและเดินมาที่โต๊ะของกัทลีและธนนท์
“นึกว่าใคร กล้วยนี่เองได้ข่าวว่าย้ายมาทำงานเทศบาลที่นี่แล้วเหรอ”
“ใช่ เพิ่งย้ายมาน่ะ” กัทลีตอบ
หิรัญเดินตามมาช้า ๆ แล้วหยุดยืนใกล้โต๊ะของเธอกับนนท์
"สบายดีไหมกล้วย" หิรัญทักทายแม่ของลูก และมองเลยไปยังชายหนุ่มอีกคน
“ฉันสบายดี” กัทลีตอบและหันมาแนะนำชายหนุ่มสองคนตามมารยาท
“พี่นนท์คะนี่หิรัญค่ะอดีตสามีของกล้วยมากับจ๋าเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมค่ะ แล้วนี่พี่นนท์เพื่อนร่วมงานใหม่ของฉัน ” เธอแนะนำสั้นๆ ทันได้เห็นสีหน้าตึงขึ้นของหิรัญหลังจากเธอพูดจบ
ชายหนุ่มทั้งสองสบตากันและทักทายอย่างสุภาพ ธนนท์ลุกขึ้นก้มศีรษะเล็กน้อยพร้อมเอ่ยชวนคนที่มาใหม่ตามมารยาท
“ยินดีที่รู้จักครับ ตอนนี้โต๊ะว่างน่าจะหายากถ้าไม่รังเกียจร่วมโต๊ะด้วยกันก็ได้นะ”
หิรัญยังไม่ทันจะตอบอะไร เบญจาก็เป็นคนตัดสินใจเอง
“ยินดีมากค่ะ งั้นจ๋าไม่เกรงใจนะคะพี่นนท์” หญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างตัวกัทลี ทำให้หิรัญนั่งลงอีกฝั่งหรือข้างๆ ธนนท์
จากมื้อกลางวันที่ไม่น่าจะมีอะไรมาก แต่จู่ๆ เมื่อมีแขกที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหาร กลับกลายเป็นมีความอึมครึมจากอะไรบางอย่างที่กัทลีไม่แน่ใจว่ามื้อนี้จะราบรื่นแค่ไหน
หลังสอบปลายภาคเสร็จสิ้น น้องบัวก็ได้ย้ายมาอยู่กับแม่ที่บ้านเช่าในตัวเมืองตามที่กัทลีสัญญาไว้ หญิงสาวตั้งใจให้ลูกได้พักผ่อนเต็มที่ก่อนเริ่มต้นเทอมใหม่ และวางแผนจะย้ายโรงเรียนให้ลูกเข้าเรียนชั้นประถมปีที่สอง ซึ่งมีหลายโรงเรียนที่น่าสนใจและอยู่ใกล้ที่ทำงานของเธอเช้าวันที่เก็บของเตรียมย้ายบ้าน ปู่เหมกับย่าจันทร์หอมมายืนส่งหลานสาวที่หน้าบ้าน น้องบัวกอดย่าจันทร์หอมแน่น ส่วนปู่เหมก็ลูบเรือนผมนุ่มหลานสาวด้วยแววตาอาวรณ์“เอาไปเฉพาะของเล็กๆ ขนง่ายๆ ก็พอนะลูก ของชิ้นใหญ่ของเล่นของน้องบัวหลายๆ ลังเดี๋ยวแม่ให้ไอ้หินมันมาขนไปให้” ย่าบอกให้เด็กทำงานในบ้านช่วยกันขนของจุกจิกของหลานสาวใส่ท้ายรถยนต์ของกัทลี และหันมาคุยกับหลานสาว“ย่าจะคิดถึงหนูนะลูก”“บัวก็จะคิดถึงย่าค่ะ” เด็กหญิงตอบพร้อมน้ำตาคลอเบ้า“แม่จะพาหนูมาเยี่ยมย่ากับปู่ทุกเดือนเลยค่ะ หนูสัญญา”กัทลียิ้มบาง มองลูกแล้วหันไปสบตาคุณพ่อคุณแม่ของอดีตสามี “หนูจะพาน้องมาหาพ่อกับแม่ทุกเดือนจริง ๆ ค่ะ”“ดีแล้วลูก บ้านนี้ก็ยังเป็นบ้านของหนูเสมอ” ปู่เหมพูดช้าๆ ก่อนยื่นห่อขนมที่ย่าจันทร์ห่อไว้ให้ “เดินทางกันดีๆ นะกล้วย น้องบัว”น้องบัวชะเง้อมอ
เช้าวันนั้น หิรัญตื่นแต่เช้าและเดินทางไปยังแปลงที่ดินว่างในตัวเมืองตัส อยู่ในพื้นที่ชลประทานดินดีน้ำดี จำนวนขนาดพื้นที่ห้าไร่ที่นายเหมยกให้เมื่อรู้ว่าหิรัญตัดสินใจจะเริ่มต้นทำฟาร์มเมล่อนอย่างจริงจัง“พี่หิน พี่จะให้รถไถหมดเลยไหม” สิงห์ลูกน้องที่ชายหนุ่มขอแบ่งมาจากคนของบิดาวิ่งเข้ามาถามหิรัญพยักหน้า ชี้มือไปยังพื้นที่ที่วางแผนไว้ “ตรงโน้นไถแล้วเกลี่ยหน้าดินให้เสมอกันให้หมด” ชายหนุ่มเรียกรถไถมาปรับพื้นที่ หญ้ารกค่อยๆ ถูกแหวกออก เปิดหน้าแปลงดินที่รอการเพาะปลูก อีกส่วนของพื้นที่ก็กำลังจะทำการขุดบ่อพักน้ำเสียงเครื่องตักดินดังเป็นจังหวะในยามสาย แดดอ่อนยังไม่แรงพอจะทำให้เหงื่อไหล แต่หิรัญกลับรู้สึกว่าเสื้อยืดบนหลังเขาชุ่มไปหมดแล้ว แต่งานก็ยังมีอีกมากเสร็จจากขุดบ่อวันต่อไปเขาก็ต้องมาต่อท่อน้ำจากบ่อบาดาลเพื่อปล่อยน้ำลงบ่อให้เต็ม หิรัญยืนอยู่ข้างหลุมดินขนาดใหญ่ ที่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะกลายเป็นบ่อเก็บน้ำของฟาร์มเมล่อน ฟาร์มที่เขาตั้งใจจะให้เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง... แต่เพื่อคนตัวเล็กๆ ที่ชื่อบัวชมพูด้วย ชายหนุ่มยืนกอดอกใต้เงาต้นตะขบป่าที่ยังเหลืออยู่
เสียงกริ่งเลิกเรียนของโรงเรียนดังขึ้นในช่วงเย็น หิรัญยืนรออยู่หน้าอาคารเรียนของเด็กประถมต้นตามเวลาเลิกเรียน เขามาก่อนเวลาเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้น้องบัวต้องรอ สายตาชายหนุ่มกวาดไปทั่วสนามเด็กเล่นก่อนจะหยุดอยู่ที่ครูสาวคนเดิมที่คุ้นหน้าเดินจูงมือลูกสาวตัวน้อยในชุดนักเรียนออกมา"น้องบัว ทางนี้ลูก" เขาโบกมือเรียกเด็กหญิงตัวเล็กในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินขาวหันมาเห็นพ่อก็ยิ้มร่าและรีบวิ่งเข้ามากอดแน่นด้วยความคิดถึง หิรัญย่อตัวลงรับอ้อมกอดนั้นพลางลูบศีรษะลูกเบา ๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะรับกระเป๋านักเรียนมาถือไว้แล้วพาเธอเดินไปยังที่จอดรถแม้เขาจะยังไม่ถนัดกับการดูแลลูกเท่ากับกัทลี แต่เขาก็เริ่มคุ้นเคยแล้วกับหน้าที่พ่อหลายๆ อย่าง แม้จะดูว่าช้าเกินไปสำหรับบางคน แต่สำหรับเขามันคือโอกาสครั้งที่สองที่ไม่อยากปล่อยผ่านอีกเมื่อกลับถึงบ้าน หิรัญเปิดประตูด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหิ้วกระเป๋านักเรียนและกล่องข้าวที่ครูฝากส่งคืน ก่อนที่เขาจะบอกให้น้องบัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวอาบน้ำ ขณะที่ตนเองเดินไปจัดเสื้อผ้าชุดใหม่วางเตรียมไว้ให้ลูกสาว จากนั้นเขาเข้าครัวไปหยิบนมหนึ่งกล่องและขนมปังปิ้งทาแยมเ
กัทลีเริ่มต้นงานใหม่อย่างราบรื่น เพื่อนร่วมงานใหม่ องค์กรใหม่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยและเคยทำงานร่วมกันตั้งแต่อยู่หน่วยงานเก่าก่อนหน้านี้ หญิงสาวใช้เวลาช่วงเช้าในการทำความรู้จักกับแผนกอื่นๆ ที่จำเป็นต้องทำงานด้วยกัน หลังจากนั้นเธอก็เริ่มงานของตัวเองที่คนเดิมทำค้างไว้ก่อนย้ายไป“นี่จ้ะกล้วย อันนี้พาสเวิร์ดของเรานะ” นารา นักวิชาการศึกษาระดับชำนาญการที่เป็นหัวหน้าคนใหม่ของเธอ ส่งซองขาวที่ภายในบรรจุรหัสเข้างานเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของเธอ “ขอบคุณค่ะพี่นา” กัทลีรับซองมาเปิดดู เธอฉีกรอยปรุกระดาษคาร์บอนที่ภายในพิมพ์รหัสของตัวเองไว้ จากนั้นเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเข้ารหัส“พี่สิต้องขอบใจเรา ย้ายมาถูกเวลาช่วยงานพี่ได้เยอะเลย” นาราถอนใจโล่งอกที่ในที่สุดเธอจะได้มีเพื่อนมาช่วยทำงานสักที หลังจากที่รับบทหนักเพราะต้องรับผิดชอบงานแทนคนที่ย้ายไปมาสักพักหนึ่งแล้ว ไหนจะงานตัวเองก็ต้องทำเหมือนเดิมไม่นานหลังจากที่กัทลีเริ่มลงมือทำงาน หน้าจอของเธอก็ปรากฏข้อความเชิญประชุมจากระบบงานภายในองค์กร “กล้วย พรุ่งนี้เช้าไปประชุมแทนพี่ทีสิ พี่ต้องไปคุยกับโรงพิมพ์เรื่องจัดพิมพ์คู่
คืนนั้นหลังจากส่งลูกเข้านอน หิรัญออกมานั่งคุยกับบิดามารดาเนื่องจากทั้งสองนอนดึกตามประสาคนสูงวัย “แม่ นอกจากให้ไปเก็บค่าแผงมีงานอะไรให้ผมทำอีกไหม” สองปู่ย่ามองหน้ากันแล้วหันมามองลูกชาย “ว่างเหรอหิน หรืออยากได้ตังค์เพิ่ม” “แม่ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจจะอยากทำตัวให้มีประโยชน์” หิรัญย้อนถาม“ไม่คิด”“ไม่คิด”พ่อแม่ตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทำให้ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะยอมพูดความจริง “เอาตรงๆ ก็แบบนั้นล่ะฮะ วันละห้าร้อยไม่พอเลี้ยงลูกจริงๆ นะแม่” “ใช่ จะได้รู้ไงว่าเลี้ยงลูกไม่ง่าย แต่แม่เขาก็เลี้ยงมาได้นะกล้วยเงินเดือนไม่เท่าไหร่เอง” นางจันทร์หอมสอน “กล้วยน่ะเป็นข้าราชการ เงินเดือนบวกค่าตำแหน่ง ค่าอะไรต่างๆ ยังไม่ถึงสามหมื่นเลย ค่าเลี้ยงดูหลานพ่อสมทบให้ก็ยอมรับแค่ไม่เท่าไหร่ ไหนจะค่าน้ำไฟ ข้าวสาร แก๊ส ของกินของใช้ในบ้าน ค่าอุปกรณ์การเรียนค่าขนมลูกแต่ละวัน กล้วยได้เงินเดือนน้อยกว่าลูกสมัยทำงานที่กทม. อีกแต่ก็ยังเลี้ยงลูกมาได้อย่างดี” ปู่เหมเล่าอีกด้านของคนเป็นแม่ หิรัญหน้าสลดลง“ผมเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาผมเห็นแก่ตัวมาก ก็กำลังแก้ตัวอยู่นี่ไงแม่” “แล้วนอกจากเก็บค
กัทลีย้ายของเข้าบ้านใหม่ซึ่งเป็นบ้านเช่าขนาดห้าสิบห้าตารางวา เป็นบ้านแฝดชั้นเดียวสองห้องนอน หนึ่งห้องโถง สองห้องน้ำ มีห้องครัวแยกเป็นสัดส่วนและพื้นที่ซักล้างหลังบ้าน นอกจากนั้นยังมีส่วนพื้นดินให้ทำสวนครัวและสวนหย่อมเล็กๆ ได้อีกพอสมควรเธอมองบ้านที่ทำสัญญาเช่าไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนอย่างพอใจ มันเป็นบ้านสร้างใหม่ที่เจ้าของซื้อไว้และไม่มีโครงการมาอยู่จึงปล่อยเช่าไปก่อน “แม่ว่าหนูซื้อบ้านเลยดีไหมกล้วย จะได้ไม่ต้องกังวลค่าเช่าเดี๋ยวแม่เอาเงินในส่วนของเจ้าหินมาซื้อให้” แม่ย่าเคยออกปากจะซื้อบ้านให้ในวันก่อนที่นางมาเป็นเพื่อนเธอในตอนดูบ้าน“อย่าเพิ่งเลยค่ะแม่ หนูอยากรอดูงานให้เข้าที่เข้าทางก่อนดีกว่า อีกอย่างหนูไม่อยากได้เงินส่วนของหินด้วยค่ะ เกรงว่าถ้าเขารู้ทีหลังจะไม่พอใจ” “ก็ลองให้มันไม่พอใจดูสิ จริงๆ มันก็ยังเป็นเงินของแม่อยู่ แค่เคยคิดจะยกให้มันเฉยๆ แต่มันเองไม่สนใจตรงนี้ก็ช่วยไม่ได้” นางพูดถึงบรรดากิจการต่างๆ ที่นางลงทุนไว้ให้ผลิดอกออกผล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะพาร์ตเมนต์ บ้านเช่า ตลาดสดแม้แต่ที่จอดรถก็มีและเหตุผลที่ย่าจันทร์หอมเห็นด้วยกับการที่กัทลีหาบ้านเช่าที่ไม่เกี่ย