หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลง
หิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจัง
ในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง
“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น
“เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่
ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกันให้ได้มีตำแหน่งดีขึ้น อย่างสิงห์ที่เคยเป็นผู้ช่วยเขาปัจจุบันชายหนุ่มวัยเบญจเพสมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการคือผู้จัดการฟาร์ม
ป้าไหมซึ่งเคยเป็นแม่ครัวก็ได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแม่บ้าน ส่วนสามีของแกก็ได้รับเลื่อนเป็นหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุง
ส่วนป้าศรีที่เคยดูแลโรงเรือนก็เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการผลิต ดูแลงานในโรงเรือนทั้งหมดในฟาร์ม
หิรัญสร้างโซนจำหน่ายผักสด ไข่ไก่ และผลผลิตทางการเกษตรของฟาร์มไว้ที่บริเวณหน้าบ้านไม้น็อกดาวน์ที่ตอนนี้ชายหนุ่มดัดแปลงเป็นคาเฟ มีโต๊ะเล็กๆ ให้นั่งจิบกาแฟและชมวิวสวน
“แล้วก็นี่บัญชีคาเฟฉันตรวจดูแล้ว สองเดือนหลังขายดีมากเลยนะหิน เริ่มมีคนบ่นแล้วว่าที่นั่งเราไม่พอ อยากให้ขยายส่วนคาเฟให้กว้างขึ้น”
กัทลีพูดตามที่ได้รับรายงานมา เนื่องจากพิกัดของฟาร์มเป็นทางผ่านที่จะไปเขาใหญ่ ทำให้อยู่ในลิสต์แนะนำสถานที่เที่ยวในโซนนี้ของหลายเว็บไซต์
ยิ่งช่วงหลังมีทุ่งดอกไม้ก็ยิ่งดึงดูดคนให้เข้ามา โดยที่หิรัญเพิ่มพื้นที่ทำทุ่งให้กว้างขึ้นและไม่ได้เรียกเก็บค่าเข้าชม ทำให้เป็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกออนไลน์
ส่งผลให้คาเฟขายดีรวมถึงผลผลิตอื่นๆ โดยเฉพาะเมล่อนที่เป็นไฮไลท์ของฟาร์ม รับประกันความหวานในระดับที่ไม่น้อยกว่า 15[1]บริกซ์ ระยะหลังๆ มีคนจองตั้งแต่ติดลูกจนไม่พอขายหน้าร้าน
ส่วนตัวเขาเองย้ายไปสร้างบ้านพักแบบเป็นเรื่องเป็นราวในที่ดินผืนติดกันที่แยกส่วนพักอาศัยเป็นสัดเป็นส่วน ซึ่งปัจจุบันกัทลีและลูกก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เช่นกัน ด้วยเหตุผลว่าจะได้ดูแลฟาร์มได้สะดวก
กัทลีใช้เวลาในวันหยุดช่วยเขาออกแบบป้ายแนะนำชนิดของพืชผักแต่ละอย่าง และจัดทำสื่อเล็กๆ บอกเล่าเรื่องราวของฟาร์มให้ผู้คนที่มาได้รับรู้เรื่องราว เผื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่อยากเริ่มต้นในธุรกิจการเกษตรเช่นเดียวกับหิรัญ
ส่วนในด้านชีวิตส่วนตัว เธอจะยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะกลับมาเป็นสามีภรรยากับหิรัญอีกครั้งหรือไม่ แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธการมีส่วนร่วมกับการสร้างฟาร์มให้เป็นรูปเป็นร่าง
บ่ายวันหนึ่งของต้นฤดูหนาว ขณะที่แดดอ่อนส่องผ่านช่องไม้ไผ่ระแนงหน้าบ้าน หิรัญเดินเข้ามาพร้อมกล่องไม้ในมือ ภายในมีภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดที่เขาอัดล้างไว้จากกล้องฟิล์มตัวเก่าของพ่อเขา ทุกภาพคือภาพของลูกสาวในสวนเมล่อน บ้างกำลังยิ้ม บ้างกำลังยื่นมือจับผัก บ้างกำลังยืนข้างแม่ของเธอ
“ผมจะเอาไปใส่กรอบติดไว้ในมุมต้อนรับของฟาร์ม กล้วยช่วยเลือกหน่อยได้ไหมครับ ว่าภาพไหนดีสุด”
กัทลีเงยหน้าจากเอกสารบัญชีที่เธอกำลังตรวจดูอยู่ พลางรับภาพในมือมาไล่ดูทีละใบ แวบหนึ่งเธอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ภาพนี้สิ หนูบัวกำลังยิ้มโดยที่มีคุณกับฉันยืนอยู่ข้างหลัง ฉันชอบภาพที่เราทั้งสามอยู่ด้วยกัน”
หิรัญพยักหน้ารับเบาๆ “ผมก็ชอบเหมือนกัน”
เสียงหัวเราะของน้องบัวดังมาจากในสวน เธอกำลังวิ่งไล่จับผีเสื้อกับพี่เลี้ยงอย่างร่าเริง แสงแดดอ่อนสะท้อนจากเส้นผมของเธอเป็นประกายเหมือนทอง หิรัญหันกลับไปมองกัทลีอีกครั้ง ก่อนจะพูดเสียงเบา
“ผมยังไม่รู้หรอกนะกล้วย ว่าคุณจะให้โอกาสผมได้อยู่ในอนาคตของคุณไหม แต่แค่การที่คุณยังอยู่ตรงนี้ยังอยู่เป็นคนสำคัญในชีวิตของลูกกับผม มันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณให้ผมแล้ว”
กัทลีวางภาพลงในกล่อง แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะหิน ว่าอนาคตของเราจะเป็นยังไงแต่วันนี้... ฉันไม่ได้กลัวที่จะไว้ใจคุณอีกแล้ว”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า
“ขอบคุณนะหิน ที่พยายามขนาดนี้”
ชายหนุ่มยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะหลังมือของเธอเบาๆ เป็นจังหวะที่นิ่งนานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เธอไม่ได้ผละหนี แต่เพียงยิ้มบางๆ กลับมาเช่นกัน
“คุณหนาวไหมระวังจะเป็นหวัด” เขาถามเบาๆ เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มไอ
“นิดหน่อย”
“งั้นใส่เสื้อนี่นะ” เขายื่นเสื้อคลุมบางๆ แขนยาวที่เตรียมติดรถมาให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ” เธอรับมาโดยไม่ปฏิเสธ
ก่อนที่กัทลีจะเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมเอกสารที่เธอต้องใช้ หิรัญเอ่ยเบาๆ อีกครั้ง
“กล้วย... คืนนี้ท้องฟ้าจะเปิดนะ เราชวนลูกไปดูดาวกางเต็นท์นอนที่สนามดีไหม”
เธอหันมามองหน้าเขา แววตานั้นไม่มีคำปฏิเสธ
“ได้สิ”
คืนนั้นเมื่อท้องฟ้าโปร่งและอากาศเย็นสบาย สามคนพ่อแม่ลูกนั่งอยู่บนผ้าปูรองที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ไฟในฟาร์มดับลงเหลือแค่แสงจากโคมเล็ก ๆ และดาวนับพันเหนือศีรษะ
น้องบัวหลับไปก่อนบนตักของแม่ หิรัญขยับตัวมานั่งใกล้กัทลีมากขึ้น ก่อนจะเอนหลังลงนอนข้างกันมองฟ้าเงียบๆ
เขาไม่แตะต้องเธอ ไม่พูดอะไรอีก มีเพียงความใกล้ชิดในความเงียบสงบของค่ำคืนนั้นที่บอกเขาว่า... บางทีความรัก ไม่จำเป็นต้องพูด แค่ได้อยู่เคียงข้างกันในเวลาที่เหมาะสม ก็พอแล้ว
ทุ่งดอกไม้ของเด็กหญิงบัวชมพูค่อยๆ บานเต็มพื้นที่ข้างโรงเรือนเมล่อนในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา และกลายเป็นสัญลักษณ์ของฟาร์มอย่างไม่เป็นทางการ
ทุกคนที่แวะมาเยี่ยมล้วนถามถึง “ทุ่งของบัวชมพู” และได้ยินเรื่องราวของเด็กหญิงที่เป็นแรงบันดาลใจให้พ่อของเธอ เปลี่ยนแปลงผืนดินที่ว่างเปล่าเป็นฟาร์มที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง
[1] บริกซ์ ระดับความหวานของเมล่อนที่วัดได้โดยเครื่องวัดความหวานแบบบริกซ์ (Brix refractometer) ซึ่ง 15 บริกซ์ถือว่าอยู่ในช่วงที่จัดว่าเป็นความหวานที่เหมาะสม ความหวานในระดับนี้ถือว่ามีรสชาติหวานอร่อยตามมาตรฐานของเมล่อน
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั